วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คนเราแสวงหาสุขแท้กับสุขเทียมได้ อย่างไร


ทุกคนอยากที่จะมีความสุขด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนแสวงหาแต่ความสุข แต่ความสุขที่เราแสวงหาได้เป็นความสุขประเภทที่ พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า “ความสุขของมนุษย์ในโลกนั้น เปรียบเหมือนกับน้ำผึ้งบนใบมีด” ในขณะที่เราเลียน้ำผึ้งหวานบนใบมีดนั้น เราก็เสี่ยงกับการที่ลิ้นของเราจะถูกเชือดเฉือนไปด้วย นั่นหมายถึง ความสุขที่ตั้งอยู่บนความทุกข์อันมหันต์ ความสุขแบบนี้ทุกท่านต้องการไหม? ถึงแม้ว่าจะได้ความสุขนั้นมา แต่เราก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตไป จนเกิดความทุกข์อันยิ่งใหญ่ ในสังคมของเราก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ? หลายคนชอบแสวงหาความสุขที่ไม่ถูกทาง พระพุทธองค์จึงเปรียบตรงนี้ว่า เป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนความทุกข์อันยิ่งใหญ่ของเรา ไม่คุ้มกับการที่เราจะไปแลกด้วยเลย

   ในสมัยก่อนมีชายคนหนึ่ง ชายคนนี้มีภรรยาอยู่ 4 คน ภรรยาคนแรกคู่ทุกข์คู่ยาก ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ลำบากมาด้วยกัน แต่ชายผู้นี้เขาไม่เคยเห็นความดีของภรรยาคนนี้เลย ชายผู้นี้เขาชอบภรรยาคนที่ 4 มากที่สุด แค่ภรรยาคนนี้คิดอยากได้อะไร ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากขอ ชายผู้นี้ก็จะหามาให้หมด อยู่มาวันหนึ่ง ชายผู้นี้จะตาย หมอบอกว่าไม่รอดแน่ ชายผู้นี้ก็คิดว่ามีภรรยาตั้ง 4 คน 

   คนแรก เป็นภรรยาที่เขาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

   คนที่สอง เป็นภรรยาที่พอเจอกันก็มีความสุข พอจากกันก็มีความทุกข์ ชายผู้นี้จึงไม่ค่อยได้เจอ     ภรรยาคนที่สองนี้เท่าไหร่นัก

   คนที่สาม ในสมัยก่อนเคยลำบากด้วยกัน แต่พอรวยแล้ว ชายผู้นี้ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ยัง   มีแวะเวียนไปหาบ้าง

   คนที่สี่ เป็นคนที่เขารักมาก ไปไหนไปด้วย ไม่เคยให้ห่างจากกาย

   เขาจึงได้เรียกภรรยาคนที่สี่เข้ามา แล้วบอกว่า “ในบรรดาภรรยา 4 คน ฉันรักเธอมากที่สุด มีอะไรฉันก็ทุ่มเทให้เธอ วันนี้ฉันกำลังจะตายแล้ว ฉันรู้ว่าถ้าฉันตายไป หนทางนั้น นรกแน่นอน ว้าเหว่ โดดเดี่ยว อย่ากระนั้นเลย เธอไปกับฉันเถอะ” ภรรยาคนที่สี่ ตกใจ! แล้วก็โวยวายว่า “เธอจะตายมันก็เรื่องของเธอ ฉันจะไปกับเธอได้อย่างไรกัน ดูฉันสิ ฉันยังสาวยังสวย ถึงเธอจะจากไปแล้ว ฉันก็ยังมีที่ไปของฉันได้ เราก็ไม่เกี่ยวอะไรกันแล้ว”  ชายผู้นี้ได้ยินคำพูดของภรรยาคนที่สี่ ซึ่งเขารักมากพูดอย่างนี้ก็เสียใจมาก เขาจึงให้ภรรยาคนที่สี่ออกไปจากห้อง แล้วก็เรียกภรรยาคนที่สามเข้ามาแทน เมื่อภรรยาคนที่สามเข้ามา เขาก็พูดเหมือนเดิม ภรรยาคนที่สามก็ตกใจ แล้วบอกกับชายผู้นั้นว่า “ได้ยังไงกัน ดูอย่างเจ้าภรรยาคนที่สี่ วันๆเอาแต่แต่งตัว ไม่เห็นทำอะไรเลย ฉันซะอีกที่ต้องลำบาก เวลาที่เธอตายไปฉันยังต้องไปส่งศพเธออีก ฉันยังต้องจัดการเรื่องราวในครอบครัวให้เรียบร้อยอีก ถ้าฉันไปกับเธอแล้วใครจะส่งศพเธอล่ะ เพราะฉะนั้นฉันไปกับเธอด้วยไม่ได้หรอก” แล้วภรรยาคนที่สามก็ออกไปจากห้อง ชายผู้นั้นก็เรียกภรรยาคนที่สองเข้ามา แล้วพูดเหมือนเดิม ภรรยาคนที่สอง รีบพูดออกมาเลยว่า “ได้ยังไงกัน ดูสิฉันยังสาวยังสวย พอเธอตายไป ฉันยังสามารถที่จะไปหาใหม่ได้อีก” ได้ฟังตรงนั้นแล้วก็เสียดแทงหัวใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เสียใจ สักครู่ชายผู้นี้ก็คิดได้ว่า เขายังมีภรรยาอีก 1 คน ที่ตัวเองไม่เยเหลียวแลเลย เมื่อนึกได้ เขาจึงเรียกภรรยาคนที่หนึ่งเข้ามาในห้อง เมื่อเจอหน้าภรรยาเขาก็พูดเหมือนเดิม ภรรยาคนแรกได้ฟังก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่มีคำปฏิเสธใดๆ ไม่ต้องแม้แต่จะคิด แล้วเขาก็กล่าวออกมาว่า “แต่งกับวัวก็ต้องเป็นวัว แต่งกับหมูแล้วก็ต้องเป็นหมู แต่ตอนนี้ฉันได้แต่งกับเธอแล้ว ฉันก็เป็นของเธอ ฉันก็จะต้องติดตามเธอไปแน่นอน ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน”ชายผู้นั้นเมื่อได้ยินแล้วก็เกิดความดีใจเป็นอย่างมาก กอดคอภรรยา สุดท้ายก็ตายจากไป.

   นิทานเรื่องนี้ เป็นนิทานที่อยู่ในพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงแสดงให้กับพระภิกษุสงฆ์ ฆราวาส ได้ฟัง ความหมายของภรรยาทั้ง 4 นั้นหมายความดังนี้

   ภรรยาคนที่สี่ เป็นภรรยาคนที่รักมาก หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ประเคนยกให้หมด เรียกว่าหาเงินมาให้ใช้กิน อยู่  ภรรยาคนที่สี่นี้ก็คือ กายสังขารของเรา เนื้อหนังมังสาของเรา ชีวิตทั้งชีวิตของเราก็ทำเพื่อกายสังขารนี้ใช่ไหม? แต่งตัวสวยก็เพื่อกายสังขาร กินดีอยู่ดีก็เพื่อกายสังขาร ทุกสิ่งทุกอย่างเราเราหามาเหน็ดเหนื่อยกาย ลำบาก ก็เพื่อกายสังขารนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า มนุษย์ในปัจจุบันนี้ ต่างก็รักภรรยาคนที่สี่นี้มากที่สุด เรารักกายสังขารนี้มากที่สุด ทะนุถนอมกายนี้ รู้ทั้งรู้ว่าวันนึงมันจะต้องจากเราไปใช่หรือไม่? เวลาเราตาย กายนี้มันตายไปกับเราหรือเปล่า? มันไม่ได้ไปกับเราหรอก กายนี้มาจากไหน? มาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้ง 4 มันมีที่มา ถึงเวลามันก็มีที่ไป เรากับมันแยกออกจากกัน จิตวิญญาณของเราก็ไปชดใช้หนี้กรรม กายสังขารนี้ก็กลับสู่โลก
   แต่ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ เราจึงไม่ได้คิดถึง เรากินเนื้อของคนอื่นเขา เรากินเนื้อสัตว์ เราฆ่าสัตว์เพื่อที่จะมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของกายตัวนี้แหละ ถึงเวลาคนที่ไปใช้กรรมคือกายไหนกันแน่! ในตัวของเราประกอบไปด้วย กายจริงกับกายเท็จ กายจริงก็คือ จิตวิญญาณ กายเท็จก็คือกายสังขาร วันนี้เราทำทุกอย่างก็เพื่อกายสังขารซึ่งเป็นกายเท็จ พอถึงเวลาไปเวียนว่ายตายเกิด กายไหนล่ะที่ไปเวียนว่ายตายเกิด? กายไหนล่ะที่จะต้องเป็นผู้ชดใช้หนี้เวรกรรม? กายจริงแท้ของเราใช่ไหม นั่นก็คือจิตวิญญาณของเรา คิดแล้วน่าใจหายนะ
   คราวนี้มาถึงภรรยาคนที่สาม ซึ่งก็คือ ญาติพี่น้องของเรา เวลาเราตายไปญาติพี่น้องไปกับเราด้วยหรือเปล่า เปล่าเลย เพราะว่าเวลาเราตายไปใครล่ะที่ต้องดูแลงานศพ พี่น้องที่เหลือ คนที่อยู่ข้างหลังในสมัยก่อน ลำบากมาด้วยกัน กว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ แต่พอรวยแล้ว หลายคนก็ลืมญาติพี่น้อง    ภรรยาคนที่สอง ก็คือ ทรัพย์สินเงินทอง เวลาตายไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ของเราอีกแล้ว เงินทองวันนี้อยู่ที่เราก็เป็นของเรา พรุ่งนี้เราเอาเงินไปซื้อของ เงินนั้นก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว เพราะฉะนั้นทรัพย์สินเงินทอง ก็ไม่ใช่สิ่งที่จีรัง ยั่งยืน เปรียบเหมือนภรรยาคนที่สอง เราตายไปมันก็ไม่ได้ไปกับเรา

   ส่วนภรรยาคนแรก เป็นภรรยาที่เรามีมาแต่แรกเริ่มเดิมที แต่เราก็หลงลืม เปรียบเสมือนอะไรของเรา?ในตัวเรามีกายจริง  มีตัวจริงแท้มีพุทธจิต แต่เมื่อถามตัวเราเองว่า เคยไปสนใจอะไรกับมันไหม? ไม่เคย เราไม่เคยสนใจพุทธจิตของตัวเอง เราไมเคยคิดที่จะแสวงหาหนทาง ที่จะให้พุทธจิตดวงนี้ออกไปในทางที่ถูกต้องเลย ไม่เคยบำเพ็ญจิตพุทธะของเราเลย ข้างในจิตของเรามีสภาวะของพระพุทธะอยู่ แต่เราไม่เคยภรรยาคนแรก จึงเปรียบเหมือน พุทธจิตธรรมญาณของเรา อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนจะตายเรายังจำได้ว่าเรามี พอถึงเวลาเราก็ไปเวียนว่ายตายเกิด ไปชดใช้กรรมด้วยกัน

   พระพุทธองค์ทรงเปรียบนิทานเรื่องนี้ อุปมาอุปมัยให้เราตระหนักว่า มนุษย์นั้นใช้ชีวิตไม่คุ้มค่ากับตัวจริงแท้ ภรรยาที่มีมาแต่แรกเริ่ม ไม่คิดจะดูแลรักษาให้ดี เรามีจิตพุทธะที่เราไม่เคยไปสนใจ ทุกคนล้วนต้องการความสุข แต่เราต้องพิจารณาให้ดีว่า ความสุขของเราที่ได้รับนั้น คือความสุขที่จีรังยั่งยืนแล้วหรือยัง และคงอยู่กับเรานานแค่ไหน เงินทองมากมาย เมื่อตายแล้วเอาไปได้หรือเปล่า ในเมื่อเวลาที่เราเกิดมา เราก็มาตัวเปล่า เมื่อถึงเวลากลับ เราก็ต้องกลับตัวเปล่าเช่นเดียวกัน

   เพราะฉะนั้นในโลกมนุษย์นี้ จึงไม่มีสิ่งใสที่เป็นของเราอย่างจีรังยั่งยืน ไม่มีสิ่งของใดที่จะสามารถนำกลับไปด้วยได้ ถ้าจะมีก็มีเพียงบุญกุศล บุญกุศลคือสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันก็จะติดตัวเราไปตลอด เมื่อเราละกายสังขารนี้ไปแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น