การนอนหลับ กับ การทำสมาธิ คลื่นสมองต่างกันอย่างไร
ในเอ็นทรี่ที่ผ่านมา ได้เคยเสนอเรื่อง "การพักผ่อนที่ดีกว่าการนอนหลับ
และการหาความสุขทันใจนึก" นั้น เป็นการนำเสนอในแง่ธรรมะ ในครั้งนี้
ลองมามองในแง่วิทยาศาสตร์ดูบ้าง เพื่อให้มองในแง่สมดุล ส่วนจะต่าง
กันไปบ้าง ก็ไม่มีปัญหาอะไร
การพักผ่อนที่ดีกว่าการนอนหลับ และการหาความสุขทันใจนึกนั้น สรุป
โดยย่อที่สุด ก็คือ การทำอานาปานสติ หรือสติกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก
นั่นเอง
***
ในแง่วิทยาศาสตร์ จะมีการวัดคลื่นสมองเปรียบเทียบ ระหว่างการนอนหลับ
และการทำสมาธิ แต่ก่อนที่จะมีการวัดคลื่นสมอง มาทำความเข้าใจ
เรื่องคลื่นสมองกันก่อนสักเล็กน้อย ดังนี้
คลื่นสมองของคนเราจะอยู่ในรูปของความถี่แบบผสม ปกติจะมีอยู่ 4 คลื่น
ด้วยกัน คือ คลื่นเบต้า (Beta wave), คลื่นอัลฟา (Alpha wave),
คลื่นธีต้า (Theta wave) และคลื่น เดลต้า (Delta wave) ซึ่งคลื่น
เหล่านี้มีการทำงานที่แตกต่างกัน
1. คลื่นเบต้า (Beta wave)
เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะปกติทั่วไป ในสภาวะปกติสมองจะรับ
ข้อมูลต่าง ๆ จากภายนอกเป็นจำนวนมาก จนถึงก่อให้เกิดความสับสน
วุ่นวาย คลื่นสมองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะมีความถี่สูง เรียกคลื่นสมอง
ช่วงนี้ว่า "คลื่นเบต้า" (Beta Wave) ซึ่งมีความถี่ประมาณ 13-40 รอบ
ต่อวินาที ยิ่งความถี่ของคลื่นสมองสูงขึ้นไปมากเท่าไร จิตใจของเราก็
จะวุ่นวายสับสนมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น รูปร่างของคลื่นเบต้ามีลักษณะคล้าย
เส้นกราฟที่ขยุกขยิกขึ้น-ลง ขึ้น-ลง สลับกัน คล้าย ๆ เวลาเราลากเส้น
สลับฟันปลานั่นเอง
ถ้าสมองมีเรื่องต้องคิดวุ่นวายมาก เส้นกราฟจะขยุกขยิกมากด้วย ภาวะ
เช่นนี้จะรู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย ประสิทธิภาพในการคิดตัดสินใจไม่ดี
ยิ่งคลื่นสมองยิ่งสูง ยิ่งทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบได้มากเท่านั้น คนที่ไม่ฝึก
สมาธิ จะมีคลื่นสมองเบต้า (Beta wave) มากกว่าคนที่ฝึกสมาธิ
2. คลื่นอัลฟา (Alpha wave)
เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะของคนที่มีจิตใจสงบเยือกเย็น เรียกว่า
"คลื่นอัลฟา" (Alpha Wave) ซึ่งมีความถี่ประมาณ 8-13 รอบต่อวินาที
มีจังหวะที่ช้ากว่า มีขนาดใหญ่กว่าและมีพลังงานมากกว่าคลื่นเบต้า
(Beta wave) รูปร่างของคลื่นอัลฟามีลักษณะคล้ายรูปลูกคลื่น ไม่ขยุกขยิก
เหมือนคลื่นเบต้า คลื่นอัลฟานี้ช่วยทำให้ความสับสนวุ่นวายในสมองลดลง
จิตใจจึงสงบและเยือกเย็นขึ้น ซึ่งพร้อมทีจะทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมี
ประสิทธิภาพ
3. คลื่นธีต้า (Theta wave)
เมื่อคลื่นอัลฟาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นที่มีจังหวะช้าลง ๆ แต่กลับมีพลังงาน
สูงขึ้นๆ ถ้าคลื่นสมองของคนเรามีความถี่ 5-7 รอบต่อวินาที จะส่งคลื่น
ธีต้า (Theta wave) ออกมา คลื่นธีต้า เป็นคลื่นสมองชนิดหนึ่งซึ่งจะ
ปรากฏตัวขึ้นมาเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแว่บเดียวเท่านั้น เป็นแว่บสุดท้าย
อยู่ในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่น และเมื่อหลับแล้วจริงๆ คลื่นสมองจะ
ปรากฏไปอีกแบบหนึ่งซึ่งจะแตกต่างจากคลื่นธีต้า (Theta wave)
4. คลื่นเดลต้า (Delta wave)
เป็นคลื่นที่เกิดขึ้น ในสภาวะของคนนอนหลับ เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่
ของสมองที่ต่ำที่สุด แต่มีพลังงานสูง จะอยู่ระหว่าง 4 รอบต่อวินาที
จนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง ระหว่างนี้ สมองของคนเรา จะส่งคลื่นเดลต้า
(Delta wave) ออกมา
ภาพกราฟคลื่นสมอง
ที่มา : เว็บไซต์ http://www.expert2you.com/view_article.php?
art_id=2594 เรื่อง : คลื่นสมอง 4 ชนิด ในสมองซีกซ้ายและขวา ก่อเกิด
การเพิ่มพลังจิตให้มีระดับสูงขึ้น บทความโดย mikayu เมื่อวันที่ 5 ก.ย.
2548
***
คลื่นสมองของคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิและคนที่ฝึกสมาธิ
พระธรรมวิสุทธิกวี ได้บรรยายไว้ในหนังสือ "รู้ตัว รู้ใจ ก็ไปนิพพาน
ทางแห่งความสุข" ว่า
ในการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่าสมาธิขั้นต่างๆนั้น ปรากฏ
ออกมาเป็นคลื่นสมอง เขาเปรียบเทียบคลื่นสมองไว้เป็น 5 คลื่นใหญ่
คือ
1. คลื่นเบต้า คือ คลื่นสมองของคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ
2. คลื่นอัลฟา คือ คลื่นสมองของคนที่เริ่มฝึกสมาธิ
3. คลื่นเธต้า คือ คลื่นสมองของคนที่จิตสงบเข้าไปมากจนถึงขั้น
เกือบจะเป็นอุปจารสมาธิ
4. คลื่นเดลต้า คือ คลื่นสมองของคนที่มีจิตสงบมากขึ้น และ
5. คลื่นคอสมิก คือ คลื่นสมองของคนที่มีจิตใจสงบมากเป็นสมาธิ ขั้นสูง
ซึ่งบางท่านบอกว่าถึงขั้นอัปปนาสมาธิทีเดียว
***
อาจารย์เกียรติวรรณ อมาตยกุล ได้ให้ความรู้ไว้ในหนังสือ "คิด-ทำ ด้าน
บวก" เป็นแนวคิดนีโอฮิวแมนนิส ไว้อย่างน่าสนใจ ว่าจะต้องพยายาม
มีคลื่นสมองต่ำอยู่เสมอ
“ต้องมีคลื่นสมองต่ำอยู่เสมอ” เป็นมุมมองตามพื้นฐานความเชื่อบนแนวคิด
นีโอฮิวแมนนิส กล่าวว่า คนเราแตกต่างจากการทำงานของเครื่องจักร เนื่อง
จากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นผลมาจากความสุขและความรักในการที่
จะกระทำต่อสิ่งนั้น โดยขณะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งสมองของคนเราจะมีการส่ง
คลื่นสมองที่แตกต่างกันตาม อารมณ์ ความรู้สึก ความทุกข์ ความสุขของเรา
แนวคิดนีโอฮิวแมนนีสจึงให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับคลื่นสมอง
โดยคลื่นอัลฟาหรือช่วงคลื่นสมองต่ำจะมีประโยชน์ต่อคนเรา เพราะสมอง
จะ ส่งคลื่นที่มีพลังสูง กว้าง ลึก ช้า สงบ ออกมา ส่งผลให้สมองซีกซ้าย
และซีกขวาทำงานอย่างสมดุล ร่างกายและจิตใจจะมีความผ่อนคลายสูง
ไม่มีความวิตกกังวลหรือความเครียด ระบบการทำงานของอวัยวะภายใน
ของร่างกายทำงานได้ดีที่สุด การกระทำภารกิจของคนเราก็จะมี
ประสิทธิภาพสูงสุด ความจำ ความคิดสร้างสรรค์ และความคิดด้านบวก
จะสูงขึ้น
ทั้งนี้ หากเข้าสู่สภาวะอัลฟาหรือคลื่นสมองต่ำอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เรา
เข้าสู่สภาวะอัลฟาหรือคลื่นสมองต่ำได้ง่ายขึ้นหรือเคยชินมากขึ้นการผ่อนคลาย (Relaxed) ที่จะทำให้เราสามารถเข้าสู่สภาวะอัลฟาหรือ
คลื่นสมองต่ำได้ง่าย ประกอบด้วย
1) เสียงเพลงที่มีคลื่นสมองต่ำ เพื่อสร้างบรรยากาศและปล่อยจิตใจให้
ล่องลอยไปตามเสียงเพลง
2) หลับตา
3) การหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ให้เต็มปอด
4) การสั่งให้ทุกส่วนของร่างกายผ่อนคลาย และ
5) การอยู่ใกล้กับธรรมชาติหรือการจินตนาการถึงธรรมชาติ
ดังนั้นเราสามารถนำแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสเกี่ยวกับการมีคลื่นสมองต่ำ
ไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน โดยปัจจัยที่ผลต่อคลื่นสมองต่ำของคนเรา
คือ การนั่งสมาธิ การทำโยคะ อาหาร คำพูด และคนรอบข้าง
จากพื้นฐานความเชื่อบนแนวคิดนีโอฮิวแมนนิส เป็นการนำประโยชน์ของ
สิ่งที่มีอยู่ภายในตนของเรามาเป็นตัวช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวันให้มี
ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะส่วนของสมองของเราที่จะมีการส่งคลื่นสมอง
ออกมาขณะที่เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามอารมณ์ ความรู้สึก ความทุกข์
และความสุขของเรา มากำหนดตัวเราเองหรือควบคุมตัวเราเอง ถือเป็น
แนวคิดที่ถูกต้องตามสำนวนไทยที่กล่าวว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
สมองหรือจิตเป็นตัวกำหนดหรือควบคุมการแสดงออกของอารมณ์และ
ร่างกาย เช่น เมื่อใดที่เรามีอารมณ์โกรธ มักจะแสดงออกมาทางสีหน้า
ท่าทาง อันเป็นผลมาจากการตอบสนองที่จิตใจและสั่งการสมองให้ออก
แสดงพฤติกรรมออกมา
การทำให้คลื่นสมองต่ำอยู่เสมอ จะทำให้เรารับรู้ตัวตนของเราให้มีสติ
อยู่ตลอดเวลา และมีความผ่อนคลายจากสภาวะแวดล้อมอันเกิดจากการ
ดำรงชีวิตประจำวันของตัวเรา
ประโยชน์จากการมีคลื่นสมองต่ำอยู่เสมอ จะทำให้ตัวเราสามารถผ่อน
คลาย จิตใจและร่างกายอันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและการ
ดำรงอยู่ของชีวิต การฝึกจิตให้มีสมาธิจนเกิดจากคลื่นสมองต่ำ เป็นวิธี
ที่ง่ายที่สุดที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา และชนะอุปสรรคในการดำเนิน
ชีวิตแต่ละวันของบุคคล เมื่อเราปฏิบัติบ่อย ๆ สม่ำเสมอ จะส่งผลต่อ
คลื่นสมองของตัวเราและส่งคลื่นสมองต่ำให้บุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น
พ่อแม่ พี่น้อง แฟน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน โดยช่วยให้บุคคลรอบข้าง
ค่อย ๆ พัฒนาให้มีคลื่นสมองต่ำเช่นเดียวกับเรา จะทำให้บุคคลรอบข้าง
เหล่านั้นสามารถผ่อนคลายและหาความสุขในชีวิตประจำวันด้วยวิธี
ประหยัดง่าย ๆ ที่สามารถทำได้เอง ซึ่งส่งผลยิ่งใหญ่ต่อการอยู่ร่วมกัน
ในสังคม ที่จะมีแต่ความสุข โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากตัวเราและคน
รอบข้างที่ส่งผ่านความสุขและความดีต่อสังคม
***
คราวนี้ เราลองมาเปรียบเทียบระหว่าง การนอนหลับ กับ การทำสมาธิ
คลื่นสมองต่างกันอย่างไร กรุณาดูตารางแสดงระดับคลื่นความถี่สมอง
ตารางแสดงระดับคลื่นความถี่สมอง
ที่มา : เว็บไซต์ศูนย์พัฒนาพลังชีวิต http://www.powerlifecenter.com/
เรื่อง ศิลปะการบำบัดชั้นสูงจากยุคโบราณ
จะเห็นได้จากตารางข้างต้น ว่า การนอนหลับลึก (Deep Sleep)
คลื่นสมองเป็นคลื่นเดลต้า ส่วนการทำสมาธิ (Meditation) คลื่นสมอง
เป็นคลื่นเธต้า
ที่จริงแล้ว การนอนหลับก็มีหลายระดับ เช่น การนอนหลับ ขั้นตอนที่ 1,
การนอนหลับ ขั้นตอนที่ 2, การนอนหลับ ขั้นตอนที่ 3 (Delta Sleep)
หรือหลับลึก และขั้นตอนที่ 4 (Rem Sleep)
ส่วนการทำสมาธิ ก็มีหลายระดับ เช่น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และ
อัปนาสมาธิ
(ตามตารางข้างต้น ไม่ได้ระบุให้แน่ชัดว่าเป็นสมาธิในระดับใด แต่ระบุ
การนอนหลับ เป็นการนอนหลับลึก)
จึงเพียงให้ทราบข้อมูลตามตารางในเบื้องต้นก่อนเท่านั้น
***
ศาสตราจารย์นายแพทย์สิระ บุณยะรัตเวช ศัลยกรรมประสาท
โรงพยาบาลรามคำแหง ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการนอนหลับที่ปกติ
ที่น่าสนใจ ไว้ดังนี้
การนอนหลับที่ปกตินั้น หมายถึงการนอนหลับรวดเดียวตลอดทั้งคืน และ
เมื่อตื่นขึ้นจะแจ่มใส สดชื่น พร้อมที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติ ระยะ
เวลาของการนอนหลับในหนึ่งคืนนั้น โดยเฉลี่ยประมาณ 6-9 ชั่วโมง ซึ่งจะ
แตกต่างไป แล้วแต่ตัวบุคคล บางคนนอนเพียง 6 ชั่วโมงก็เพียงพอ บางคน
อาจจะต้องการ การนอนหลับถึง 9 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ทำ
วิจัยเรื่องการนอนหลับเห็นพ้องต้องกันว่า ระยะเวลาของการนอนหลับนั้น
ไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของการนอนหลับ ซึ่งโดยปกติจะประกอบขึ้นด้วย
สองระยะที่สลับกันไปมาทั้งคืน คือ rem sleep และ non-rem sleep ถ้า
หากระยะทั้งสองอย่างนี้มีอัตราส่วนที่เหมาะสมก็นับว่าเป็นการนอนหลับที่ปกติ
Rem (เร็ม) นั้นย่อมาจาก rapid eye movement ซึ่งหมายถึง การกลอกตา
ทั้งสองข้างไปมาอย่างรวดเร็วในขณะนอนหลับ ส่วน non-rem sleep นั้นคือ
การนอนหลับในระยะที่ลูกตาสองข้างไม่กลอกไปมา ทั้งสองระยะนี้จะสลับ
กันไปมาคืนละหลายครั้ง เรายังไม่ทราบว่าหน้าที่ที่แท้จริงของ rem นั้นคือ
อะไร แต่พบว่ามันมีความสำคัญมากต่อสุขภาพของสมอง
คนเราต้องการการนอนหลับทั้งสองชนิดด้วยอัตราที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกาย
และสมองได้พัก ได้จัดระบบใหม่ เตรียมพร้อมที่จะทำงานวันรุ่งขึ้นต่อไป
การนอนไม่หลับนั้น อาจจะเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวได้กับทุกคน แต่ถ้า
เกิดนอนไม่หลับ หรือนอนไม่พอ เป็นระยะเวลานานแล้วไม่แก้ไข อาจจะทำ
ให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ภายหลัง
ผู้ที่นอนไม่หลับ หรือหลับไม่ปกติที่เป็นเรื้อรังมานาน จะมีหน้าตาไม่แจ่มใส
ดูแก่กว่าอายุจริง ไม่มีสมาธิต่อการปฏิบัติหน้าที่ หงุดหงิด สัมพันธภาพต่อ
คนทั่วไปไม่ดี ซึมเศร้า เบื่อชีวิต เบื่อการดำเนินชีวิต
***
จึงสรุปได้ว่า คนเราควรที่จะนอนหลับพักผ่อนให้ได้เพียงพอ และควรจะ
นอนอย่างมีคุณภาพ คือ นอนหลับลึก ในจำนวนชั่วโมงที่เพียงพอด้วย
หากนอนน้อย ก็ควรหาเวลานอนชดเชย หรือชดเชยด้วยการทำสมาธิ
การนอนงีบ ถึงแม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม เป็นต้น
ในโอกาสปกติ ก็ควรทำสมาธิเป็นประจำ หรือการหาวิธีทำให้คลื่นสมอง
ต่ำอยู่เสมอ ก็จะเป็นประโยชน์ในการสร้างเสริมประสิทธิภาพในการดำเนิน
ชีวิตได้เป็นอย่างดี ตามวิธีดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
--------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง : 1. พระธรรมวิสุทธิกวี. รู้ตัว รู้ใจ ก็ไปนิพพาน ทางแห่งความสุข.
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์กรีน-ปัญญาญาณ, 2551
2. เกียรติวรรณ อมาตยกุล. คิด-ทำ ด้านบวก. กรุงเทพฯ :
ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์, 2545.
ที่มา http://oknation.nationtv.tv/blog/surasakc/2009/05/17/entry-1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น