วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คนเราแสวงหาสุขแท้กับสุขเทียมได้ อย่างไร


ทุกคนอยากที่จะมีความสุขด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนแสวงหาแต่ความสุข แต่ความสุขที่เราแสวงหาได้เป็นความสุขประเภทที่ พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า “ความสุขของมนุษย์ในโลกนั้น เปรียบเหมือนกับน้ำผึ้งบนใบมีด” ในขณะที่เราเลียน้ำผึ้งหวานบนใบมีดนั้น เราก็เสี่ยงกับการที่ลิ้นของเราจะถูกเชือดเฉือนไปด้วย นั่นหมายถึง ความสุขที่ตั้งอยู่บนความทุกข์อันมหันต์ ความสุขแบบนี้ทุกท่านต้องการไหม? ถึงแม้ว่าจะได้ความสุขนั้นมา แต่เราก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตไป จนเกิดความทุกข์อันยิ่งใหญ่ ในสังคมของเราก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ? หลายคนชอบแสวงหาความสุขที่ไม่ถูกทาง พระพุทธองค์จึงเปรียบตรงนี้ว่า เป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนความทุกข์อันยิ่งใหญ่ของเรา ไม่คุ้มกับการที่เราจะไปแลกด้วยเลย

   ในสมัยก่อนมีชายคนหนึ่ง ชายคนนี้มีภรรยาอยู่ 4 คน ภรรยาคนแรกคู่ทุกข์คู่ยาก ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ลำบากมาด้วยกัน แต่ชายผู้นี้เขาไม่เคยเห็นความดีของภรรยาคนนี้เลย ชายผู้นี้เขาชอบภรรยาคนที่ 4 มากที่สุด แค่ภรรยาคนนี้คิดอยากได้อะไร ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากขอ ชายผู้นี้ก็จะหามาให้หมด อยู่มาวันหนึ่ง ชายผู้นี้จะตาย หมอบอกว่าไม่รอดแน่ ชายผู้นี้ก็คิดว่ามีภรรยาตั้ง 4 คน 

   คนแรก เป็นภรรยาที่เขาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

   คนที่สอง เป็นภรรยาที่พอเจอกันก็มีความสุข พอจากกันก็มีความทุกข์ ชายผู้นี้จึงไม่ค่อยได้เจอ     ภรรยาคนที่สองนี้เท่าไหร่นัก

   คนที่สาม ในสมัยก่อนเคยลำบากด้วยกัน แต่พอรวยแล้ว ชายผู้นี้ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ยัง   มีแวะเวียนไปหาบ้าง

   คนที่สี่ เป็นคนที่เขารักมาก ไปไหนไปด้วย ไม่เคยให้ห่างจากกาย

   เขาจึงได้เรียกภรรยาคนที่สี่เข้ามา แล้วบอกว่า “ในบรรดาภรรยา 4 คน ฉันรักเธอมากที่สุด มีอะไรฉันก็ทุ่มเทให้เธอ วันนี้ฉันกำลังจะตายแล้ว ฉันรู้ว่าถ้าฉันตายไป หนทางนั้น นรกแน่นอน ว้าเหว่ โดดเดี่ยว อย่ากระนั้นเลย เธอไปกับฉันเถอะ” ภรรยาคนที่สี่ ตกใจ! แล้วก็โวยวายว่า “เธอจะตายมันก็เรื่องของเธอ ฉันจะไปกับเธอได้อย่างไรกัน ดูฉันสิ ฉันยังสาวยังสวย ถึงเธอจะจากไปแล้ว ฉันก็ยังมีที่ไปของฉันได้ เราก็ไม่เกี่ยวอะไรกันแล้ว”  ชายผู้นี้ได้ยินคำพูดของภรรยาคนที่สี่ ซึ่งเขารักมากพูดอย่างนี้ก็เสียใจมาก เขาจึงให้ภรรยาคนที่สี่ออกไปจากห้อง แล้วก็เรียกภรรยาคนที่สามเข้ามาแทน เมื่อภรรยาคนที่สามเข้ามา เขาก็พูดเหมือนเดิม ภรรยาคนที่สามก็ตกใจ แล้วบอกกับชายผู้นั้นว่า “ได้ยังไงกัน ดูอย่างเจ้าภรรยาคนที่สี่ วันๆเอาแต่แต่งตัว ไม่เห็นทำอะไรเลย ฉันซะอีกที่ต้องลำบาก เวลาที่เธอตายไปฉันยังต้องไปส่งศพเธออีก ฉันยังต้องจัดการเรื่องราวในครอบครัวให้เรียบร้อยอีก ถ้าฉันไปกับเธอแล้วใครจะส่งศพเธอล่ะ เพราะฉะนั้นฉันไปกับเธอด้วยไม่ได้หรอก” แล้วภรรยาคนที่สามก็ออกไปจากห้อง ชายผู้นั้นก็เรียกภรรยาคนที่สองเข้ามา แล้วพูดเหมือนเดิม ภรรยาคนที่สอง รีบพูดออกมาเลยว่า “ได้ยังไงกัน ดูสิฉันยังสาวยังสวย พอเธอตายไป ฉันยังสามารถที่จะไปหาใหม่ได้อีก” ได้ฟังตรงนั้นแล้วก็เสียดแทงหัวใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เสียใจ สักครู่ชายผู้นี้ก็คิดได้ว่า เขายังมีภรรยาอีก 1 คน ที่ตัวเองไม่เยเหลียวแลเลย เมื่อนึกได้ เขาจึงเรียกภรรยาคนที่หนึ่งเข้ามาในห้อง เมื่อเจอหน้าภรรยาเขาก็พูดเหมือนเดิม ภรรยาคนแรกได้ฟังก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่มีคำปฏิเสธใดๆ ไม่ต้องแม้แต่จะคิด แล้วเขาก็กล่าวออกมาว่า “แต่งกับวัวก็ต้องเป็นวัว แต่งกับหมูแล้วก็ต้องเป็นหมู แต่ตอนนี้ฉันได้แต่งกับเธอแล้ว ฉันก็เป็นของเธอ ฉันก็จะต้องติดตามเธอไปแน่นอน ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน”ชายผู้นั้นเมื่อได้ยินแล้วก็เกิดความดีใจเป็นอย่างมาก กอดคอภรรยา สุดท้ายก็ตายจากไป.

   นิทานเรื่องนี้ เป็นนิทานที่อยู่ในพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงแสดงให้กับพระภิกษุสงฆ์ ฆราวาส ได้ฟัง ความหมายของภรรยาทั้ง 4 นั้นหมายความดังนี้

   ภรรยาคนที่สี่ เป็นภรรยาคนที่รักมาก หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ประเคนยกให้หมด เรียกว่าหาเงินมาให้ใช้กิน อยู่  ภรรยาคนที่สี่นี้ก็คือ กายสังขารของเรา เนื้อหนังมังสาของเรา ชีวิตทั้งชีวิตของเราก็ทำเพื่อกายสังขารนี้ใช่ไหม? แต่งตัวสวยก็เพื่อกายสังขาร กินดีอยู่ดีก็เพื่อกายสังขาร ทุกสิ่งทุกอย่างเราเราหามาเหน็ดเหนื่อยกาย ลำบาก ก็เพื่อกายสังขารนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า มนุษย์ในปัจจุบันนี้ ต่างก็รักภรรยาคนที่สี่นี้มากที่สุด เรารักกายสังขารนี้มากที่สุด ทะนุถนอมกายนี้ รู้ทั้งรู้ว่าวันนึงมันจะต้องจากเราไปใช่หรือไม่? เวลาเราตาย กายนี้มันตายไปกับเราหรือเปล่า? มันไม่ได้ไปกับเราหรอก กายนี้มาจากไหน? มาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้ง 4 มันมีที่มา ถึงเวลามันก็มีที่ไป เรากับมันแยกออกจากกัน จิตวิญญาณของเราก็ไปชดใช้หนี้กรรม กายสังขารนี้ก็กลับสู่โลก
   แต่ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ เราจึงไม่ได้คิดถึง เรากินเนื้อของคนอื่นเขา เรากินเนื้อสัตว์ เราฆ่าสัตว์เพื่อที่จะมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของกายตัวนี้แหละ ถึงเวลาคนที่ไปใช้กรรมคือกายไหนกันแน่! ในตัวของเราประกอบไปด้วย กายจริงกับกายเท็จ กายจริงก็คือ จิตวิญญาณ กายเท็จก็คือกายสังขาร วันนี้เราทำทุกอย่างก็เพื่อกายสังขารซึ่งเป็นกายเท็จ พอถึงเวลาไปเวียนว่ายตายเกิด กายไหนล่ะที่ไปเวียนว่ายตายเกิด? กายไหนล่ะที่จะต้องเป็นผู้ชดใช้หนี้เวรกรรม? กายจริงแท้ของเราใช่ไหม นั่นก็คือจิตวิญญาณของเรา คิดแล้วน่าใจหายนะ
   คราวนี้มาถึงภรรยาคนที่สาม ซึ่งก็คือ ญาติพี่น้องของเรา เวลาเราตายไปญาติพี่น้องไปกับเราด้วยหรือเปล่า เปล่าเลย เพราะว่าเวลาเราตายไปใครล่ะที่ต้องดูแลงานศพ พี่น้องที่เหลือ คนที่อยู่ข้างหลังในสมัยก่อน ลำบากมาด้วยกัน กว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ แต่พอรวยแล้ว หลายคนก็ลืมญาติพี่น้อง    ภรรยาคนที่สอง ก็คือ ทรัพย์สินเงินทอง เวลาตายไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ของเราอีกแล้ว เงินทองวันนี้อยู่ที่เราก็เป็นของเรา พรุ่งนี้เราเอาเงินไปซื้อของ เงินนั้นก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว เพราะฉะนั้นทรัพย์สินเงินทอง ก็ไม่ใช่สิ่งที่จีรัง ยั่งยืน เปรียบเหมือนภรรยาคนที่สอง เราตายไปมันก็ไม่ได้ไปกับเรา

   ส่วนภรรยาคนแรก เป็นภรรยาที่เรามีมาแต่แรกเริ่มเดิมที แต่เราก็หลงลืม เปรียบเสมือนอะไรของเรา?ในตัวเรามีกายจริง  มีตัวจริงแท้มีพุทธจิต แต่เมื่อถามตัวเราเองว่า เคยไปสนใจอะไรกับมันไหม? ไม่เคย เราไม่เคยสนใจพุทธจิตของตัวเอง เราไมเคยคิดที่จะแสวงหาหนทาง ที่จะให้พุทธจิตดวงนี้ออกไปในทางที่ถูกต้องเลย ไม่เคยบำเพ็ญจิตพุทธะของเราเลย ข้างในจิตของเรามีสภาวะของพระพุทธะอยู่ แต่เราไม่เคยภรรยาคนแรก จึงเปรียบเหมือน พุทธจิตธรรมญาณของเรา อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนจะตายเรายังจำได้ว่าเรามี พอถึงเวลาเราก็ไปเวียนว่ายตายเกิด ไปชดใช้กรรมด้วยกัน

   พระพุทธองค์ทรงเปรียบนิทานเรื่องนี้ อุปมาอุปมัยให้เราตระหนักว่า มนุษย์นั้นใช้ชีวิตไม่คุ้มค่ากับตัวจริงแท้ ภรรยาที่มีมาแต่แรกเริ่ม ไม่คิดจะดูแลรักษาให้ดี เรามีจิตพุทธะที่เราไม่เคยไปสนใจ ทุกคนล้วนต้องการความสุข แต่เราต้องพิจารณาให้ดีว่า ความสุขของเราที่ได้รับนั้น คือความสุขที่จีรังยั่งยืนแล้วหรือยัง และคงอยู่กับเรานานแค่ไหน เงินทองมากมาย เมื่อตายแล้วเอาไปได้หรือเปล่า ในเมื่อเวลาที่เราเกิดมา เราก็มาตัวเปล่า เมื่อถึงเวลากลับ เราก็ต้องกลับตัวเปล่าเช่นเดียวกัน

   เพราะฉะนั้นในโลกมนุษย์นี้ จึงไม่มีสิ่งใสที่เป็นของเราอย่างจีรังยั่งยืน ไม่มีสิ่งของใดที่จะสามารถนำกลับไปด้วยได้ ถ้าจะมีก็มีเพียงบุญกุศล บุญกุศลคือสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันก็จะติดตัวเราไปตลอด เมื่อเราละกายสังขารนี้ไปแล้ว

กระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal)


ขั้วแม่เหล็กโลก กลับทิศมากว่า 400 ครั้ง ในช่วง 330 ล้านปี โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 780,000 ปีที่ผ่านมา และพบการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง ด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อปี หากคงไว้ที่อัตราดังกล่าว ขั้วแม่เหล็กโลก จะอยู่ที่ไซบีเรีย ในอีก 50 ปี ด้านผู้เชี่ยวชาญกรมทรัพยากรธรณีไทย เผย ปรากฏการณ์ดังกล่าว ไม่ทำมนุษย์สูญพันธุ์
ทางด้าน ศ.นพ.เทพนม เมืองแมน ระบุว่า ภายในปี 2557 โลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลก แบบกลับเหนือ-ใต้ ซึ่งจะทำให้เกิดพายุหมุน แผ่นดินไหว อุณหภูมิโลกเปลี่ยนและไทยยังต้องเผชิญกับหิมะตกเชื่อกันว่า การกลับขั้วของแม่เหล็กโลกนั้น เกิดขึ้นเมื่อการไหลเวียนของนิกเกิลเหลว (liquid nickel) และเหล็กเหลว (liquid iron) ในแกนกลางชั้นนอกของโลก กระจัดกระจาย จากนั้น ก็จัดเรียงตัวใหม่ ในทิศทางตรงกันข้าม แต่ยังไม่มีใครทราบ ถึงสาเหตุของการกระจัดกระจายดังกล่าว
หลักฐานการกลับขั้ว พบได้ในสันเขากลางมหาสมุทร (mid-ocean ridges) ซึ่งแผ่นเปลือกโลกเทคโทนิค (tectonic plates) ได้แยกออกจากกัน และที่ก้นมหาสมุทร ก็เต็มไปด้วยแมกมา ซึ่งไหลซึมออกมาจากเปลือกโลกชั้นใน (mantle) อนุภาคแม่เหล็ก ในของเหลวร้อนดังกล่าว ได้พลิกทิศทางของสนามแม่เหล็กโลก ในเวลานั้น
ทั้งนี้ ขั้วแม่เหล็กโลกกับขั้วโลก (Geographic pole) นั้น เป็นคนละขั้ว และไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกัน จากข้อมูลของหน่วยงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งแคนาดา (Geological Survey of Canada) ระบุว่าในช่วง 330 ล้านปี ที่ผ่านมา มีการกลับขั้วของขั้วแม่เหล็กโลกมากกว่า400 ครั้ง โดยเฉลี่ย 700,000 ปี จะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่ช่วงเวลาระหว่างการกลับขั้ว ก็ไม่คงที่ บางครั้งเกิดห่างกันน้อยกว่า 100,000ปี และการคำนวณพบว่า ช่วงหลังการกลับขั้ว เกิดขึ้นทุกๆ 200,000 ปี แต่การกลับขั้วครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อ 780,000 ปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน นายวรวุฒิ ตันติวนิช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ข้อมูลว่าการเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็ก เป็นเรื่องปกติโดยพบมาหลายพันครั้งแล้วในอดีต แต่ขั้วแม่เหล็กโลก ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมานานพอสมควร โดยครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นประมาณ ล้านปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นแล้ว และการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์แต่อย่างใด
"นักวิทยาศาสตร์ จึงคาดกันว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็กโลก ไม่น่าจะทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงถึงมนุษย์ขั้นสูญพันธุ์ แต่ผลกระทบ อาจเกิดแก่เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ต้องอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาทิ การสื่อสารวิทยุ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ที่มีมอเตอร์ และได้นาโม เป็นต้น รวมทั้งสุขภาพของคน เนื่องจาก สนามแม่เหล็กโลก จะช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิต จากรังสีนอกโลก หากมีการเปลี่ยนแปลงก็อาจทำให้พลังงานจากนอกโลกเข้ามาทำอันตรายสิ่งมีชีวิตได้"
นายวรวุฒิกล่าวพร้อมระบุว่า มีการศึกษาเรื่องการกลับขั้วแม่เหล็กโลกไม่มากนัก จึงยังไม่แน่ใจว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็กโลกนั้น เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ก็พบว่า ขั้วแม่เหล็กโลกกำลังค่อยๆ เคลื่อนที่ ออกจากแคนาดา เมื่อปี 2374 นักวิทยาศาสตร์ของแคนาดา ได้เดินเรือสำรวจขั้วแม่เหล็กเหนือ (North Magenetic Pole) ของโลกเป็นครั้งแรก และคาดว่า มีตำแหน่งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรบูเธีย (Boothia Peninsula) ซึ่งอยู่ตอนเหนือสุดของแคนาดา
จากนั้น ก็มีการสำรวจตำแหน่งของขั้วแม่เหล็กเหนือ มาเรื่อยๆ และพบตำแหน่งที่ต่างกัน โดยระหว่างศตวรรษที่ 20 นี้ ขั้วแม่เหล็กเหนือ ได้เปลี่ยนตำแหน่งไป ราว 1,100 กิโลเมตรแล้ว ปัจจุบันพบว่า ความเป็นของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งขั้วแม่เหล็กโลก ได้เพิ่มขึ้นเป็น 41 กิโลเมตรต่อปี หากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง เกิดขึ้นด้วยความเร็วเท่าเดิม ในทิศทางเดิม ขั้วแม่เหล็กเหนือ จะไปอยู่บริเวณไซบีเรีย ในอีก 50 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงของขั้วแม่เหล็กโลกนั้น จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้างมีเพียงจินตนาการจากภาพยนตร์ แสดงให้เห็นความหนาวเย็น ที่ไม่อาจคาดเดาว่า จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขณะที่การสำรวจตำแหน่งของแม่เหล็กโลก ก็ยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชน เกิดความหวาดหวั่น ด้วยการออกมาเปิดเผยว่า การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก จะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากการศึกษาร่วมกัน ของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง กับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์ จะสิ้นสุดระยะเวลา ที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012
โดยครั้งล่าสุด กระบวนการนี้ ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมา จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัย และการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้ จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012
คำถาม ? โลกจะเป็นอย่างไร เมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่า จะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่า ค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลง จนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้น จะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถาม ? จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก โดยปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบัง ที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะ ที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก ในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลก จะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจน บนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศ ด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้น ประกอบด้วย รังสีคอสมิก และรังสีอีกมากมาย รวมถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล
คำถาม ? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับพายุสุริยะ "ฮารัลด์ เลสช์" (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย "มิวนิค" ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลก ขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่า โลกเราจะเป็นอย่างไร หากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ "ฮารัลด์ เลสช์" สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้น แสดงให้เห็นว่า เมื่อมวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่ และทรงพลังพอ ที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิก ที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ เบนออกสู่อวกาศ
แต่ทว่า โลกเรานั้น สามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้ว กระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆ มีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น ไม่ได้เสถียรเหมือนแม่เหล็กโลกเดิม
ฉะนั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลก ย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆ มีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือ พื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั่นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีป หรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมา จากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆ ที่ โดยไม่หยุด จนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากพายุสุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีก ถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่า การกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์ จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลก จะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น จะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิก สามารถหลุดรอด มาจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตาย จากโรคมะเร็งและความร้อน
คำถาม ? เมื่อสนามแม่เหล็กโลก เกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์ จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ อาจะเหลือเชื่อ แต่ตามหลักการแล้ว ย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะ จากพายุสุริยะแค่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะ จากการหมุนกลับทางของโลก ที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ และ ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์ เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ ก็เปรียบกับการพลิกด้าน ของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง
คำถาม ? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อโลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลือ อาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทาง ย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือ จะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง
หายนะที่ได้กล่าวมานี้ อาจจะไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่กล่าวมา (หรืออาจร้ายแรงกว่า) ขึ้นอยู่กับว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวนั้น จะใช้เวลานานขนาดใหนน่าแปลกใจว่า เพราะอะไร คำการทำนายจากหลายแหล่ง ตรงกันที่ปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ประกาศจากองค์การ NASA ระบุว่า วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้น แกนโลกของเรา จะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเอง จากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังสีต่างๆจากอวกาศแล้ววันนั้น จะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปี ล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังสีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)22 ธ.ค. พ.ศ. 2555 จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก และการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ มันคือวันหายนะภัยพิบัติของโลก 
ในวันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012 โลกจะอวสานจริงๆหรือ ????? 


1.ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่า สนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
2.ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่า จะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์
3.ทางโบราณคดี ชาวมายา มีปฏิทินถึงเพียงแค่ ปี 2012 และระบุ วันจุดจบของโลกไว้
4.ทางการทำนาย นอสตราดามุส ได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์
5.ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ อ้างว่า มนุษย์ต่างดาวได้บอกเค้า 6.ทางศาสนา พุทธและคริสต์ ได้ระบุวันจุดจบไว้แล้ว ทั้งเป็นปีพุทธศักราช และคริสตศักราช (พ.ศ. 2555 ค.ศ. 2012)
คำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกนี้ มาจากวันในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน ซึ่งทำนายว่า จะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้ว ชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่น กับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้น เป็นไปได้ว่า อาจจะมีบางสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบัน แม้ไม่ต้องใช้การสังเกตุอะไรนัก คนทั่วโลก ก็ได้เห็นกันอยู่ทุกวันแล้วว่า ตอนนี้ ธรรมชาติเต็มไปด้วยภัยพิบัติ ในรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
เมื่อกลับมามองดูปี 2012 หากพิจารณาดูเล่น ๆ จากการนับเลขฐานสิบ ซึ่งจะนับศูนย์ถึงเก้า ถ้าเราตัดเลขสองออก ก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข เรียงตัวกัน ตัว 5 5 5
ขอโยงไปเรื่องโหราศาสตร์ ที่จะมี โลก กาเล็กซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลก หรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้น ยังมีอีกมากมาย ทั้งในอวกาศและจักรวาล
Planet X NIBIRU ดาวสีแดงดวงนี้ มีวงโคจร ตัดกับวงโคจรของโลกเรา และมีการผ่านมาที่วงโคจรของโลกเรา ทุกๆ 3,600 ปี นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ทวีปแอตแลนติกหายไป นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดเรื่องโนอาห์ กับยุคสมัยน้ำท่วมโลก โดยดาวดวงนี้ จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อปี 2009 ก็สามารถมองเห็นได้ ทางขั้วโลกใต้ ด้วยกล้องส่องดาว ในปี 2011 ก็สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า ซึ่งมันมีขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ปี 2012 ดาวดวงนี้ อาจจะเริ่มมีปฏิกิริยา ต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศ ที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื้นโลก เป็นฝนดาวตก อันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 อาจจะเกิดหายนะครั้งยิ่งใหญ่ เท่าที่เคยเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างที่ใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้น เป็นวันที่ โลก +นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไป อาจส่งผลให้ โลก หยุดหมุนรอบตัวเอง เป็นเวลา วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเล จะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะทะลักขึ้นมา เกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย
                21 December2012นับถอยหลังสู่วันสิ้นโลก?????
*น่าแปลกใจมาก ทำไมการทำนายหลายๆอย่างในโลก มันถึงมาตรงกันที่ปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)*
เรื่องภัยพิบัติจากทั่วโลก น่าแปลกใจมาก ทำไมการทำนายหลายๆอย่างในโลก มันถึงมาตรงกันที่ปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เวลาที่เหลืออีกแค่ ปี ประกาศจากองค์การ NASA วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังสีต่างๆจากอวกาศแล้ววันนั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังสีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
  22 ธ.ค. พ.ศ. 2555 จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก และการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ มันคือวันหายนะภัยพิบัติของโลก] To The End Of The Earth - Keane บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด 21 December 2012 นับถอยหลังสู่วันสิ้นโลก?????
ในวันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012 โลกจะอวสานจริงๆหรือ ?????
1.ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่าสนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
2.ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่าจะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์
3.ทางโบราณคดี ชาวมายามีปฏิทินถึงเพียงแค่ปี 2012 และระบุวันจุดจบของโลกไว้
4.ทางการทำนาย นอสตราดามุสได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์
5.ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวได้บอกเค้า (แล้วแต่ความเชื่อ)
6.ทางศาสนา พุทธและคริส ได้ระบุวันจุดจบไว้แล้วในปี พุทธศักราชและคริสศักราช (พ.ศ. 2555 ค.ศ. 2012)*
คำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกนี้ มาจากวันในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน (ชาวเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาตอนกลาง) ซึ่งทำนายว่าจะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้วชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้นน่าจะมีอะไรเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบันผมมั่นใจว่ามันน่าจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยสังเกตจากผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี่เอง เมื่อกลับมามองดูปี 2012 ก็เลยมานั่งพิจารณาดูเล่น ๆ (การนับเลขฐานสิบจะนับศูนย์ถึงเก้า) ถ้าเราตัดเลขสองออกก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข เรียงตัวกัน ตัวผมขอโยงไปเรื่องโหราศาสตร์ที่จะมี โลก กาเล็กซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลกหรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้นยังมีอีกมากมายทั้งในอวกาศและจักรวาล
Planet X NIBIRU ที่มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกเราจะตัดผ่านมาใกล้โลกอีกครั้ง ดาวดวงนี้จะผ่านมาที่วงโคจรของเราทุกๆ3600 ปี นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทวีปแอตแลนติกหายไป นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องโนฮากับเรือสมัยน้ำท่วมโลก ดาวดวงนี้จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆปี 2009 จะสามารถมองเห็นทางขั้วโลกใต้ด้วยกล้องส่องดาว ปี 2011 จะสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ดาวดวงนี้เป็นสีแดง ปี 2012 จะเริ่มมีปฏิกิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื้นโลก เป็นฝนดาวตกอันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก วันที่ 21 ธันวาคม 2012 หายนะครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน  วัน14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้นเป็นวันที่ โลก +นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไป โลก จะหยุดหมุนรอบตัวเอง วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเลจะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะถลักขึ้นมาเกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย

ที่มา https://sites.google.com/site/pramaha2521/2012

คำทำนายจากผู้ใช้สมาธิ มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจดูอนาคต




คำทำนายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้..! 

            (จากนักปฎิบัติธรรมสายมโนมยิทธิท่านหนึ่งโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยตัวเองครับ )
            หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีฯ พาไปศึกษาธรรมในส่วนคำพยากรณ์ฯ กับพระฯ มีดังนี้ (โดยเฉพาะข้อที่ ๑๐ )
            ในอนาคตอันใกล้นี้คนไทยจะปกครองโลกธาตุและจักรวาล เพราะเวลานี้พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านได้มาถือกำเนิดบนแผ่นดินไทยมานานแล้ว 
            ถ้าหากว่าผู้ใดบำเพ็ญบารมีมาถูกต้องตามแบบแผนและกฎกติกาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายบัญญัติไว้จริง โอกาสที่จะไปทำบุญและเข้าถึงธรรมจากท่านก็มีอยู่มาก 
            ถึงแม้ผู้ที่มาปฏิบัติจะเข้าถึงธรรมอันบริสุทธิ์ได้มากก็จริงอยู่ แต่ถ้าจะไปรู้เรื่องส่วนตัว ที่ละเอียดของพระโพธิสัตว์แต่ละท่านย่อมเป็นไปไม่ได้ 
            เช่น จะไม่รู้ว่าท่านเป็นใครมาเกิด บำเพ็ญบารมีมาแล้วเท่าไร ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดมา ในพุทธกาลนี้มีชื่อสมมติว่าอะไร และในพุทธกาลหน้ามีชื่อสมมติว่าอะไร 



เหตุปัจจัยที่จะทำให้คนไทยเป็นใหญ่ในโลกธาตุคือ 

            ๑) ทรัพยากรบุคคล อันได้แก่ พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่าน ซึ่งมาเกิดเป็นคนไทย ท่านเหล่านี้มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ แม้แต่พรหมเทวดาที่อยู่ในทุกๆ ภพภูมิ ก็ยังให้ความเคารพท่านอยู่ตลอดเวลา 
            ๒) ทรัพยากรธรรมชาติ อันมีอยู่มากมายในผืนแผ่นดินไทย เช่น น้ำมัน ทองคำ ยูเรเนียม รัตนชาติ รวมทั้งแร่ธาตุต่างๆ อีกจำนวนมาก 

หมายเหตุ 
            ขนาดพระเลวที่พาคนไปอยู่นรกเป็นจำนวนมาก สังคมโลกยังให้เกียรติมอบรางวัลพิเศษให้ขนาดนั้น 
            แล้วพระที่สอนนิพพานได้ถูกต้องตามที่ศาสดาเอกในโลกบัญญัติไว้ สังคมโลกจะไม่ยอมรับเป็นทางการกันบ้างหรือ 
            อย่างไรเสียชาวโลกก็ต้องยอมรับความจริงให้เกียรติสูงสุดกันอยู่แล้วกันอยู่แล้ว คนไทยจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณทางโลกธาตุทั้งหมด 
            พระฯ ท่านบอกว่าเวลานี้พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านต่างก็จำศีลภาวนากันอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ในโลกธาตุยังไม่คิดถึงท่าน 
            เพราะไปมัวเพลิดเพลินแต่ความสุขอันจอมปลอม เช่น กามสุขและอบายมุขต่างๆ 
            ถ้าหากไม่ใกล้ตายด้วยมหันตภัยร้ายแรงเกือบทั้งโลก ก็ยากที่จะระลึกถึงท่านด้วยความจริงใจ 
            แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของสัตว์โลก 

            เหตุที่ผู้เขียนเชื่อ ก็เพราะคำสอนศาสดาเอกในโลกเท่านั้นที่จะหยุดยั้ง การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกให้ไปนิพพานได้ 
            เพราะศาสดาพยากรณ์อื่นสอนไม่ถึงนิพพาน สอนได้เพียงเทวโลกและพรหมโลกเท่านั้น 
            และผู้ก่อตั้งศาสนาอื่นทั้งหมดเวลานี้มาเกิดในเมืองไทยหมดแล้ว ซึ่งผู้เขียนทำบันทึกไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ แล้ว 
            ถ้าอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ ต้องไปหากับพระและครูสอนกรรมฐานในสายมโนมยิทธิ ที่พบนิพพานและพระพุทธเจ้าจริง (เพราะถ้าได้พบนิพพานและพระพุทธเจ้าจริง การที่จะรู้เห็นเรื่องคำพยากรณ์ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของยากเลย) 

            นิมิตและสิ่งบอกเหตุอีกหลายอย่างที่จะปรากฏก่อนที่จะได้พบผู้มีบุญออกมาทำงานใหญ่ อาทิ 

            ๑) สัตว์จะเริ่มเข้าใจภาษาคนมากขึ้น (เพราะสัตว์จำนวนมากกำลังหมดกรรม หรือเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ) ส่วนคนจะเริ่มไม่เข้าใจภาษาคน (คนส่วนใหญ่มักจะประกอบกรรมชั่ว ไม่คิดปฏิบัติตามคำสอนที่ดีกัน) 
            ๒) โรคภัยไข้เจ็บชนิดแปลกๆ จะเกิดขึ้นมาท้าทายวงการแพทย์ ซึ่งหมอสมัยใหม่ก็ยากที่จะเยียวยา หรือรักษาให้หายขาดได้ แต่จะมาแพ้ยาโบราณและอภิญญาของพระโพธิสัตว์ 
            ๓) สัตว์ชนิดแปลกๆ ที่มนุษย์คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว และสัตว์โลกใหม่ๆ ที่มนุษย์ยังไม่เคยเห็นจะออกมาปรากฏ 
            ๔) ยานพาหนะของมนุษย์ที่อยู่ต่างโลกธาตุ จักรวาลจะปรากฏเหนือน่านฟ้าโลกเรามากขึ้นในหลายรูปแบบ 
            ๕) ต่อไปชาวธรรมจำนวนมาก จะแยกเดียรถีย์อลัชชี ออกจากผู้บำเพ็ญได้ถูกต้อง 
            ๖) ดวงดาวต่างๆ จะค่อยๆ โคจรเข้ามาใกล้ระบบสุริยะเรามากขึ้น 
            ๗) อากาศจะวิปริตแปรปรวน ยิ่งใกล้เวลาที่กำหนดไว้ คือเวลาที่มนุษย์จำนวนมาก ต้องสังเวยชีวิตกับภัยธรรมชาติและภัยสงคราม อากาศจะมืดครึ้มอย่างชอบกล แม้ในวันเดียวกันจะมีอากาศในลักษณะ ๓ ฤดู 
            ๘) จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงติดๆ กัน ภูเขาไฟระเบิด พายุโหมกระหน่ำ น้ำท่วมฉับพลัน ไฟไหม้ อุบัติเหตุร้ายแรงจะเกิดขึ้นถี่ขึ้นในทวีปต่างๆ และยิ่งใกล้ถึงเวลาอุกกาบาตเล็กและใหญ่ จะตกลงมาถี่ขึ้นบนพื้นผิวโลก 
            ๙) พรหม เทวดา พญาครุฑ พญานาค ยักษ์ ชาวลับแล ฯลฯ ที่อยู่ในโลกธาตุนี้และโลกธาตุจักรวาลอื่น จะออกมาทำบุญกันหลายรูปแบบในสถานที่บำเพ็ญบุญแห่งใหม่ 
            ๑๐) หลวงปู่อุปคุตที่จำพรรษาอยู่กลางสะดือทะเลอันเป็นวังใหญ่ของพญานาค ซึ่งเป็นสถานที่เก็บถาดทองคำ (ภาชนะที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ฉันข้าวมธุปายาสก่อนตรัสรู้) ของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ ในกัปนี้ จะออกมาให้ชาวโลกได้พบและทำบุญ 
            ๑๑) ญาติพระเทวทัต และพระโพธิสัตว์จอมปลอม จะถูกเปิดเผยความชั่ว ที่เลวยิ่งกว่ามหาโจรใดๆ ทั้งสิ้นในโลก 

หมายเหตุ 

            ให้ตามหากันเอาเอง ถ้ารู้จักพญายมจริงไม่ใช่ของยาก ไม่ขอบอกเพราะถ้ารู้แล้วจะเลิกคบคนอีกเยอะ แต่รู้ไว้ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองเพราะจะได้ไม่ไปทำบุญกับสัตว์นรก เพื่อจะได้ไม่อยู่นรกตาม เพราะที่ผ่านมาชาวธรรมจำนวนมากโดนหลอกอยู่ 
            ๑๒) พระสาวกของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมาเป็นประธานในพิธีต่างๆ ณ บริเวณสำคัญแห่งใหม่ของโลกก่อนยุคสุดท้าย 
            ๑๓) พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านจะนำพระธาตุ พระบรมธาตุ จากชาวเทพ หรือชาวลับแล ที่เก็บไว้ รวมทั้งวัตถุมงคลใช้ป้องกันรังสีจากอาวุธสงครามสมัยใหม่ ออกมามอบให้แก่ผู้ที่ศรัทธาไว้เคารพบูชาเพื่อป้องกันภัยจากสงครามใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้ 

หมายเหตุ ๑ 

            ในเรื่องของพระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ ต้องดูคนแจกด้วย เพราะมีคนแอบอ้างสวมรอยพระโพธิสัตว์เยอะ 
            ถ้าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงรวมทั้งพระที่พระโพธิสัตว์ใหญ่ปลุกเสกจริงจะต้องเสด็จออกมาสอนกรรมฐาน 
            ทั้งหมดที่เขียนเอาไว้ได้ เพราะผู้เขียนก็ได้จากหลวงพ่อฯ หลักสูตรกรรมฐานทั้งหมดที่เขียน ก็ได้มาจากครูบาอาจารย์คนเดียวกัน 
            ถ้าเสด็จออกมาสอนไม่ได้ ก็เป็นแค่กรวดหินดินทรายธรรมดาที่มีลักษณะคล้ายพระธาตุเท่านั้น 
            ของจริงต้องอยู่กับคนที่มีบุญจริง ชาวธรรมทั้งหลายอย่าหลงเชื่อพวกต้องการความยิ่งใหญ่ทางโลกธรรม 
            พระและครูกรรมฐานหลงเยอะ ยังไม่ได้อริยประเพณี แต่กลับโดดมาทำผลของพุทธประเพณี 

หมายเหตุ ๒ 

            พระบรมธาตุ และวัตถุมงคลบางอย่างก็ใช้ป้องกันไม่ได้ คือพระพุทธเจ้าไม่ได้อธิษฐานไว้ 
            แต่ให้พระโพธิสัตว์มาอธิษฐานเอาใหม่ ยกตัวอย่างเช่น พระของหลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน ก็ไม่ได้ทำเอาไว้ 
            มีแต่หลวงพ่อฤาษีฯ ทำ และให้ผู้เขียนอาราธนาหลวงพ่อฯ และหลวงปู่ปานมาทำด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำมากมายอะไร เพราะไม่ได้ทำไว้เพื่อขาย 

            ๑๔) พวกเปรตอสุรกายที่แฝงกายอยู่ในคราบนักบุญและนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของโลก จะถือเอาเหตุปัจจัยความแตกต่างทางศาสนาและนิกายมาเป็นเครื่องยุยงให้ชาวโลก แตกออกเป็นสองฝ่าย 
            และก็จะเริ่มค่อยๆ ประหัตประหารไปทีละจุด ๆ ในที่สุด (ความขัดแย้งในเรื่องลัทธิ นิกาย และศาสนาจะบานปลายเป็นสงครามใหญ่ภายหลัง) เพราะกิเลสในใจผู้นำของแต่ละศาสนามีมาก (อย่ามองข้ามเหตุที่เกิดในประเทศไทย เพราะในเมืองไทยก็เป็นชนวนใหญ่เช่นกัน) 

หมายเหตุ 

            นักปฏิบัติในประเทศไทย ใครคบกับใครชาวธรรมโปรดดูให้ดี ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าในปัจจุบัน และผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จะไม่คบกับสัตว์นรกเป็นอันขาด 
            ผู้สนใจในธรรมถ้ากลัวนรก ควรตรวจสอบในเรื่องนี้ดูให้ดี ก็ไม่แน่นักผู้เขียนอาจเป็นสัตว์นรกตัวสำคัญที่สุดของอริยวงศ์และพุทธวงศ์ก็ได้ 
            อะไรที่ไม่ควรเชื่อถือก็อย่าเชื่อถือชาวธรรมต้องระวัง ผู้ที่มาทำหน้าที่นี้ต้องเป็นผู้ที่พระใหญ่ใช้มา และครูบาอาจารย์ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจฝากงานไว้เท่านั้น 
            ต้องพิสูจน์ความรู้หลายอย่างด้วยไม่ใช่เชื่อกันแบบงมงาย ที่ผ่านมาหลวงปู่ฯ หลวงพ่อฯ บอกว่ายังไม่ใช่ตัวจริง 
            ตัวจริงของจริงยังไม่มีใครรู้จัก และทุกอย่างจะต้องมีการพิสูจน์ความรู้ความสามารถ และพฤติกรรมมามากกว่าที่เห็น 
            กรรมใดเป็นการฝืนกฎแห่งการบำเพ็ญฯ ถ้าหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษีฯ ไม่ได้สั่งงานให้ข้าพเจ้าทำเรื่องพิเศษบางส่วนต่อจากท่าน รวมทั้งไม่ได้ศึกษาธรรมในส่วนคำพยากรณ์จากพระฯ จริงๆ 
            ขอให้ปรับโทษอนันตริยกรรมสูงสุดแก่ข้าพเจ้าให้ยิ่งกว่าพระเทวทัตและผู้กระทำความผิดทุกๆ พุทธศาสนาในอดีตทั้งหมดด้วยเทอญ

ทุกข์เกิดจากความไม่รู้หรืออวิชชา ในวงจรปฏิจจสมุปบาท



จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ส่วนหนึ่งของ
ศาสนาพุทธ

Dhamma Cakra.svg สถานีย่อย

ศาสดา
จุดมุ่งหมาย
นิพพาน
พระรัตนตรัย
ความเชื่อและการปฏิบัติ
ศีล (ศีลห้า) · ธรรม(เบญจธรรม)
สมถะ · วิปัสสนา
บทสวดมนต์และพระคาถา
คัมภีร์และหนังสือ
พระไตรปิฎก
พระวินัยปิฎก · พระสุตตันตปิฎก· พระอภิธรรมปิฎก
หลักธรรม
ไตรลักษณ์ · อริยสัจ 4 · มรรค 8· ปฏิจจสมุปบาท · มงคล 38
นิกาย
เถรวาท · มหายาน · วัชรยาน
สังคมศาสนาพุทธ
ปฏิทิน · บุคคล · วันสำคัญ · ศาสนสถาน
การจาริกแสวงบุญ
พุทธสังเวชนียสถาน ·
การแสวงบุญในพุทธภูมิ
ดูเพิ่มเติม
อภิธานศัพท์ศาสนาพุทธ
หมวดหมู่ศาสนาพุทธ
ปฏิจจสมุปบาท (/ปะติดจะสะหฺมุบบาด/) (บาลีPaticcasamuppādaสันสกฤตPratītyasamutpāda) เป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา
หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา

ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์[แก้]

ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ
ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ
ภพ จะดับไปได้เพราะ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ
อุปาทาน จะดับไปได้เพราะ ตัณหา (ความอยาก) ดับ
ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ) ดับ
เวทนา จะดับไปได้เพราะ ผัสสะ (การสัมผัส) ดับ
ผัสสะ จะดับไปได้เพราะ สฬายตนะ (อายตนะใน๖+นอก๖) ดับ
สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รูปขันธ์) ดับ
นามรูป จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ดับ
วิญญาณ จะดับไปได้เพราะ สังขาร (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-เจตสิก) ดับ
สังขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ

สมุทยวาร-นิโรธวาร[แก้]

การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวารคือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สอง (สมุทัยสัจจ์) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท
(ดังแสดงสองตัวอย่างที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับ)
การแสดงตรงกันข้ามกับข้างต้นนี้ เรียกว่า นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สาม (นิโรธสัจจ์) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย สืบทอดกันไป เช่น
เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ
ดังนี้เรียกว่า อนุโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท
ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ

อิทัปปัจจยตา ธรรมนิยาม ปัจจยาการ[แก้]

ปฏิจจสมุปบาทนี้ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา(ภาวะที่มีอันนี้ๆเป็นปัจจัย) และปัจจยาการ (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน)

ข้อความอ้างอิง[แก้]

จาก มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร ...
ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
จาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖
ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท (ภิกฺขเว ยา ตตฺร ตถตา อวิตถตา อนฺถตา อิทปฺปจฺจยตา อย วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท)

อ้างอิง[แก้]


https://www.youtube.com/watch?v=0i9t4Tg3dhk


ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็น  ตถาคต  ผู้ใดเห็นตถาคต  ผู้นั้นเห็นปฎิจจสมุปบาท
..สมัยหนึ่งพระผู้มีภาคเจ้าประทับอยูี่ ณ วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผูุ้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
ดูก่อนก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้น พระพุธทเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนาเพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีมรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็ชรามรณะเป็นไฉน  ความแก่  ภาวะของความแก่ฟันหลุด  ผมหลุด  หนังเหี่ยวย่น  ความเสื่อมแห่งอายุ  ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ  นี้เรียกว่าชรา
ก็มรณะเป็นไฉน  ความเคลื่อน  ภาวะของความเคลื่อน  ความแตกทำลาย  ความหายไป  มฤตยู  ความตาย  การทำกาละ  ความทำลายแห่งขันธ์  ความทอดทิ้งแห่งซากศพไว้  ความขาดดิ้นแห่งตินทรีย์  ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่า  มรณะ
ก็ชาติเป็นไฉน  ความเกิด  ความก่อเกิด  ความยั่งลงเกิด  ความบังเกิด  ความเกิดโดยเฉพาะ  ความปรากฎแห่งขันธื  ความได้แห่งอายาตนะครบ  ในหมู่สัตว์นั้นๆ  แห่งหมูุุ่สัตว์นั้นๆ  นี้เรียกว่าชาติ
ก็ภพเป็นไฉน  ภพ3 เหล่านี้  คือ  กามภพ  รูปภพ  อรูปภพ  นี้เรียกว่าภพ
ก็อุปาทานเป็นไฉน  อุปาทาน 4  เหล่านี้  คือ  กามุปาทาน  ทิฎฐุปาทาน  สีลัพพตุปาทาน  อัตตวาทุปาทาน  นี้เรียกว่า  อุปาทาน
ก็ตัณหาเป็นไฉน  ตัณหา 6 หมวด  เหล่านี้คือ  รูปตัณหา  สัททตัณหา  คันธตัณหา  รสตัณหา  โผฐัพพตัณหา  ธัมมาตัณหา  นี้เรียกว่าตัณหา
ก็เวทนเป็นไฉน  เวทนา  6 หมวดเหล่านี้  คือ  จักขุสัมผัสสชาเวทนา  โสตสัมผัสสชาเวทนา  ฆานสัมผัสสชาเวทนา  ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา  กายสัมผัสสชาเวทนา  มโนสัมผัสสชาเวทนา  นี้เรียกว่า  เวทนา
ก็ผัสสะเป็นไฉน  ผัสสะ 6 หมวดเหล่านี้คือ  จักษุสัมผัส  โสตสัมผัส  ฆานสัมผัส  ชิวหาสัมผัส  กายสัมผัส  มโนสัมผัส  นี้เรียกว่า  ผัสสะ
ก็สฬายตนะเป็นไฉน  อายตนะ 6 คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ
นี้เรียกว่า  สฬายตนะ
ก็นามรูปเป็นไฉน  เวทนา  สัญญา  เจตนา  ผัสสะ  มนสิการ  นี้เรียกว่านาม  มหาภูตรูป  ที่อาศัยภูตรูป4  นี้เรียกว่ารูป  สองสิ่งเรียกว่านามรูป
ก็วิญญาณเป็นไฉน  วิญญาณ 6 เหล่านี้คือ  จักษุวิญญาณ  โสตวิญญาณ  ฆานวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ  กายวิญญาณ  มโนวิญญาณ  นี้เรียกว่า  วิญญาณ
ก็สังขารเป็นไฉน  สังขาร 3 เหล่านี้คือ  กายสังขาร  วจีสังขาร  จิตตสังขาร  นี้เรียกว่าสังขาร
ก็อวิชาเป็นไฉน  ความไม่รู้ในทุกข์  ความไม่รู้ในเหตุเกิดทุกข์  ความไม่รู้ในความดับทุกข์  ความไม่รู้ในปฎิปทาให้ถึงความดับทุกข์  นี้        เรียกว่า  อวิชา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เพราะอวิชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร  เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ  เพราะวิญญณานเป็นปัจจัยจึงมีนามมรูป  เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ  เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ  เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา  เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา  เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน  เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ  เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ  เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา  มรณะ  โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์  โทมนัสและอุปายาส  ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์มวลนี้  ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ก็เพราะอวิชานั่นแหละดับ  โดยไม่มีส่วนเหลือ  สังขารจึงดับ   เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ   เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ  เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ   เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ   เพราะผัสะดับเวทนาจึงดับ   เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ   เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ   เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ   เพราะภพดับชาติจึงดับ   เพราะชาติดับ  ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสและอุปายาสจึงดับ  ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ 
 

ที่มา http://dpadipa.org/menu-type/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%9C