วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ธรรมะเปิดโลก ตอนที่ 16 **หนีทุกข์**


ธรรมะเปิดโลก วันที่ 3 พฤษภาคม 2558
ตอนที่ 16 **หนีทุกข์**

ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา กับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้ 
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. หนีทุกข์ แล้วพ้นมั้ยลูก หาความสุขแล้วเจอมั้ยลูก
บ่อยครั้งที่คนทุกคนชอบหนีความทุกข์ แต่ท้ายที่สุดก็หนีทุกข์ไม่พ้นเลย..
ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใดก็ทุกข์อยู่ดี .. เพราะตนหนีไม่ถูกทาง เพราะตนเดินทางผิด
-- ยิ่งเดิน จึงยิ่งทุกข์ ยิ่งหนีจึงยิ่งทุกข์ --
บ่อยครั้งที่บางคน พยายามหาความสุขเข้ามาให้กับตนเอง เพื่อตนนั้นจะได้รับความสุข ในชีวิตของตน 
ขึ้นชื่อว่า ความสุข ใครๆ เมื่อได้ยิน ก็ย่อมปรารถนาความสุขนั้น ให้เกิดขึ้นกับตน
ทุกคนปรารถนาที่จะมีความสุข > จึงดิ้นรนและแสวงหามัน
แต่พระยาธรรมเอ๋ย.. ความสุขนั้น ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ ก็ไม่เจอหรอกลูก 
เมื่อเราหนีความทุกข์ไป ก็ไม่พ้นอยู่ดี แสวงหาความสุข หาไป ก็ไม่เจออยู่ดี
ทำไปทำมา จนเราเหนื่อย // เหนื่อยแล้วก็เลยหยุดหา หยุดหนี
< ทีนี้ความสุข เลยก่อเกิดอยู่ในตัวของเรานี้เอง.. และเป็นความสุขที่แท้จริง >
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ความทุกข์นี้มีอยู่ในเรา ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน 
หากเราไม่ได้เอาความทุกข์ ออกจากจิตใจ ออกจากตัวของเรานั้น เราย่อมหนีมันไปไม่พ้นหรอกลูก
ความทุกข์ อยู่กับการมีตัวตน.. เมื่อมีตัวของเรา จึง..
มีสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวเนื่องกับตัวเรา 
มีสิ่งที่เราต้องการ และไม่ต้องการ 
มีสิ่งต่างๆที่จะต้องมาปรุงเสริม เติมแต่งในตัวของเรา
เมื่อเจอสิ่งที่ไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ไม่ต้องการ -- ความทุกข์ก็เลยมี 
แต่หากว่าเรานั้น ปล่อยวาง มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพียงเรื่องปกติ.. ปกติของโลกที่มันเป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราปล่อยวาง.. เราก็จะไม่ทุกข์เลย 
ไม่มีสิ่งที่ปรารถนา และไม่ปรารถนาแล้ว.. เราก็จะไม่ทุกข์เลย
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. แท้ที่จริงทุกข์นั้น มีอยู่ในเรา อยู่ในความต้องการ และไม่ต้องการของเรา 
เสียงสรรเสริญ ยังต้องการอยู่ 
เสียงนินทา ยังไม่ต้องการอยู่ 
... จึงเป็นทุกข์อยู่ในเรา.. 
ความทุกข์ทั้งหลาย เกิดขึ้น / มีอยู่ในเรา.. ลูกเอ๋ย
< ไม่ว่าลูกนั้นจะหนีไปไกลแค่ไหน ความทุกข์นั้นก็ไม่หายไปหรอกลูก >
จงหมั่นภาวนา ตั้งสติให้มั่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ 
แล้วทำให้จิตแห่งตนนั้นสงบ เย็น สบายอยู่ในตัวของเราเถิด..ลูกเอ๋ย 
เพราะถ้าเราทำเช่นนั้นได้ เราก็จะมองเห็นตัวทุกข์ 
เราก็จะเข้าใจว่าตัวทุกข์ ว่าทุกข์นั้นอยู่ที่ไหน / ทุกข์คืออะไรบ้าง
แล้วเราก็จะค่อยๆหยิบทีละอย่างๆ ออกไปจากชีวิตของเรา 
เรานั่งนิ่งๆ ทำจิตให้สงบ ตั้งสติให้ดี เราก็จะรู้ว่า “โกรธ” คือ *ทุกข์*
เมื่อเราโกรธใครสักคนหนึ่ง ก็ทำให้เราเป็นทุกข์ ทำให้เราเร่าร้อน 
สร้างกรรมจากวาจาก็ดี จากการกระทำต่างๆ ก็ดี แล้วทำให้เราเป็นทุกข์ 
... ทีนี้เราก็จะหาวิธีที่จะทำให้เราไม่โกรธ
โกรธไป โกรธมา 
เมื่อเรารู้แล้วว่า “โกรธเอ๋ย”โกรธ นั้นเป็นทุกข์ 
-- ทุกข์สำหรับเรา.. ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามไม่โกรธอีกแล้ว --
เมื่อเรามีสติตั้งมั่น เราก็จะรู้ว่า “รัก” รักนั้นเป็นทุกข์ เป็นเหตุของทุกข์
เมื่อเรารู้เช่นนั้น พิจารณาจนแจ่มแจ้งเช่นนั้นแล้ว เราก็จะเข้าใจว่า “รักเอ๋ย” รักเป็นเหตุของทุกข์
ที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ ทุกข์มาก หากเรานั้นรักใครมาก
แต่หากว่า เราไม่รักใครแล้ว เราก็จะไม่เกิดความทุกข์แล้ว 
เมื่อเรารู้ทันมันเช่นนี้ เราก็จะหาวิธีดับตัว”ความรัก”นั้นลงไป 
ไม่ให้เรานั้นเกิดความรัก ..ทำให้เราเป็นทุกข์
เมื่อเราอยู่นิ่งๆ เราก็จะมองเห็นว่า “ความโลภ” .. ความโลภ ทำให้เราเกิดความทุกข์
ไม่รู้จักพอสักที มีเท่าไหร่แล้ว ก็ไม่พอ มีมากก็อยากให้มีมากเพิ่มขึ้นอีก 
ทำให้เราดิ้นรนขวนขวาย ไม่รู้จักจบสิ้น 
- โลภมากในการกิน 
- โลภมากในการอยู่
- โลภมากในสิ่งของ ข้าวของ
- โลภมากในบุคคลที่รัก
- โลภมากในเกียรติยศ หน้าตา ศักดิ์ศรีในสังคม
- โลภมากในทรัพย์สินเงินทอง 
- โลภมากในสิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง
ความโลภของเรานี้ ไม่มีจุดสิ้นสุดเลย จึงทำให้เราดิ้นรนขวนขวาย และไม่พ้นทุกข์เสียที
เมื่อเราเห็นตัวความโลภนั้น อย่างชัดเจนแล้วว่า “ความโลภเอ๋ย เธอคือ เหตุของทุกข์”
ที่ทำให้เรานี้ต้องเหนื่อย ต้องทุกข์ ต้องลำบาก ดิ้นรนขวนขวาย เพราะเธอนี้เอง 
ทีนี้เราก็จะหาวิธีดับความโลภ เมื่อเราค่อยๆดับความโลภลงไปๆ 
ความโลภของเราไม่มี > เราก็ไม่มีความอยาก.. เราก็ไม่ได้สนใจในสิ่งใดๆ 
...ทำทุกอย่างตามเหตุตามปัจจัย...
ทีนี้เมื่อเราอยู่เฉยๆ ภาวนาจนเกิดสติและปัญญาขึ้นมาว่า เราก็จะรู้ว่า“ความหลง” 
ความลุ่มหลงในสรรพสิ่ง ทำให้เราไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง เลยทำให้เรานี้เป็นทุกข์
ทุกข์เพราะลุ่มหลงในสรรพสิ่งนั้นว่าเป็นเรา เป็นของเรา
... แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่เช่นนั้นเลย…
เมื่อถึงเวลาที่เขาจะมา เขาก็มาของเขาเอง หรือเราจะทำนิดทำหน่อย เขาก็มา
แต่เมื่อถึงเวลาจะไปแล้ว ต่อให้เราจะยึดเขาไว้ มัดเขาไว้ ดึงเขาไว้ -- ท้ายที่สุดเขาก็ต้องจากเราไป 
ไม่ว่าเขาผู้นั้น จะเป็นบุคคลที่เรารักทั้งหลาย เป็นสิ่งของ ข้าวของ เป็นทรัพย์สินเงินทอง 
เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเราก็ตาม.. เขาก็จะไปตามทางของเขา
เมื่อถึงเวลา ถ้าไม่พลัดพรากจากโดยการจากกันไป // ก็จะต้องพลัดพรากจากโดยการเสียไป ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
ถ้าเราไม่เสียไป สิ่งต่างๆเหล่านั้น ก็จะต้องเสียไป คือ ตายไป หรือสูญหาย / สูญเสียจากชีวิตเราไป
เมื่อเรารู้ตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้วว่า สรรพสิ่งนั้นไม่เที่ยงแท้ สรรพสิ่งนั้นไม่มีอะไรเป็นของเรา.. 
ความลุ่มหลงนั้น ก็จะไม่มีอยู่ในเราอีก เพราะเราได้เข้าใจ รู้แจ้งตามความเป็นจริงแล้ว 
-- ความหลงก็จะไม่มีอยู่ในเราอีก --
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. แค่เราทำจิตให้ตั้งมั่น นั่งให้สงบ มีสติและปัญญา รู้ทันในสิ่งนี้ สิ่งที่กล่าวมาทั้งหลายนี้ 
.. เราก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้แล้ว 
* ถ้าไม่มีความรัก อยู่ในเรา
* ถ้าไม่มีความโกรธ อยู่ในเรา
* ไม่มีความโลภ ไม่มีความหลง อยู่ในเรา
-- เราจะทุกข์ได้อย่างไรเล่า --
นั่นคือ การหยิบเอาความทุกข์ออกไปจากตัวของเรา แต่ไม่ใช่ให้เราหนีไปจากความทุกข์เหล่านั้น 
ถึงแม้เราจะหนีไปไหน หากเรายังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในเรา.. ความทุกข์นั้นก็ย่อมตามเป็นเงา อยู่ในเราเสมอ
อย่าว่าแต่หนีไปอยู่ในที่ใดของโลกใบนี้เลย..ลูกเอ๋ย 
ถึงแม้เราจะตายไปแล้ว ก็ยังไปเป็นผี ที่มีความทุกข์
ถึงแม้สร้างบุญมาก ได้เกิดเป็นเทวดา.. ถ้าความรัก โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่ในเราอยู่ 
-- เราก็ไม่เป็นสุข // เราก็ย่อมเป็นทุกข์อยู่ดี --
ลูกทั้งหลาย.. การที่เราจะหนีจากความทุกข์ได้นั้น คือ เราต้องดับเขาในเรา** 
แล้วจะทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง และเป็นทางที่ถูกต้อง
แต่การที่เราวิ่งหนีปัญหาต่างๆ วิ่งหนีเขา.. มันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้เลย
บ่อยครั้งที่คนเรามักจะหาความสุข โดยการแสวงหาบุคคลที่รัก สักคนหนึ่ง เพื่อเราจะได้เป็นสุข
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็แค่เกิดมา ตามกรรมของตนเอง 
และที่สำคัญคือ ทุกคนก็เกิดมา ถูกอำนาจของความรัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหา สิ่งต่างๆทั้งหลายครอบงำเอาไว้
และจิตของเขา ก็ยังตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอยู่
เมื่อมีสิ่งมาทดสอบ มีสิ่งมาหลอกล่อ เขาก็ต้องการ และไปตามทางของเขา
ตามที่ใจของเขาปรารถนา เช่นเดียวกันกับเรา เพราะเขาเองก็คิดว่า สิ่งเหล่านั้น คือ ความสุขของเขา
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็จะตามหาความสุข ที่เขานั้นคิดว่า.. คงจะเป็นความสุขสำหรับเขา
เช่นดังพ่อแม่ ฝากความสุขไว้กับลูก 
แต่เมื่อครั้งลูกเติบโตมา ลูกก็จะฝากความสุขไว้กับคู่ครอง คู่ชีวิต
เมื่อมีคู่ชีวิตแล้ว ก็มีลูก เมื่อมีลูก ก็มักจะฝากความหวังไว้กับลูก 
ลูกโตมา ก็จะฝากความหวังไว้กับคู่ครอง คู่ชีวิต
.. เป็นเช่นนั้นไม่จบไม่สิ้น
ยุคแล้ว ยุคเล่า ภพแล้ว ภพเล่า เป็นอยู่เช่นนั้น
.. หาความสุขที่แท้จริงไม่เจอ
ท้ายที่สุดก็เป็นทุกข์ การฝากความสุขไว้กับบุคคลภายนอกนั้น เป็นทุกข์ เพราะต้องพลัดพราก ต้องผิดหวัง ไม่สมหวัง มีการไม่เป็นดังที่ใจเราตั้งความหวังเอาไว้ 
-- ความผิดหวังนั้นมีมากกว่า ความทุกข์นั้นมีมากกว่า --
เพราะแท้ที่จริงแล้ว ความสมหวัง ซ่อนอยู่กับความทุกข์ 
ถึงแม้วันนี้เราจะสมหวัง แต่ท้ายที่สุดเมื่อเราต้องพลัดพรากจากไป 
-- ความสมหวังของเรานั้นก็ไม่มีอยู่จริง -- ต้องกลายเป็นทุกข์
แม้วันนี้เรามีความสุข แต่ถ้ามันคือ *ความสุขอันจอมปลอม* 
ท้ายที่สุดแล้ว ความสุขเหล่านั้นก็สลายไป.. กลับกลายเป็นความทุกข์กลับมาสู่เรานั้นเอง
บ่อยครั้ง ที่คนเรามักจะหาความสุข จากสิ่งภายนอก คือ ลาภยศ ตำแหน่ง สรรเสริญ ทรัพย์สิน ข้าวของ เงินทอง บ้านเรือน รถรา แสวงหาความสุขจากสิ่งเหล่านั้น ...
แต่แท้ที่จริงแล้วลูกเอ๋ย.. สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความสุขเลย
เขามีกาลเวลาของเขาที่จะมีอยู่ และ..
// การแสวงหา ดิ้นรนขวนขวาย นั้นก็เป็นทุกข์ 
// การได้มาครอบครองแล้วต้องดูแล นั้นก็เป็นทุกข์ 
// การต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นทุกข์ 
// การทำหน้าที่ หรือดูแลสิ่งเหล่านั้นอยู่ ก็เป็นทุกข์
ฉะนั้น ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุขเลย
จงหยุดเถิดลูก หยุดแสวงหามัน ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกำลังบุญ กำลังบารมี 
ทำตามเหตุ ตามปัจจัย มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ 
อย่ายึดติด.. ยึดมั่นถือมั่น.. อย่ายึดสิ่งเหล่านั้นมาเป็นความสุขของเราเลย
เมื่อเราหยุดตามหาความสุข หยุดหนีความทุกข์
-- ความสุขที่แท้จริง จะเกิดขึ้นในตัวของเราเอง --
ลูกทั้งหลาย.. ไม่มีอะไรหรอกลูกที่จะเป็นความสุขที่แท้จริงให้กับเราได้.. 
นอกจากการปล่อยวาง ไม่ยึดติด ไม่ลุ่มหลง ไม่ดิ้นรน ขวนขวาย จนเกินกำลัง 
และทำจิตแห่งตนให้สงบ รู้แจ้ง เห็นชัดในสรรพสิ่ง
ทำตนให้เป็นสุข อยู่ในตัวตนของเรา ยกจิตแห่งตนให้สูงขึ้น ยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะสำเร็จเข้าสู่พระนิพพาน 
เป็นดวงจิตที่มีสุขอยู่ในตัวของเรานี้ จึงจะเป็นความสุขที่เที่ยงแท้ และตลอดไป > ไม่กลับมาทุกข์อีก
-- ความสุขที่แท้จริง มีอยู่ในเรานี้ อย่าวิ่งไปแสวงหาที่ใดเลย.. ลูกเอ๋ย
-- ความทุกข์ที่แท้จริง ก็อยู่ในเรานี้ จงหยิบมันออกไปเถิด อย่าวิ่งหนีเลย.. ลูกเอ๋ย
แล้วลูกนั้นก็จะเจอกับความสุขที่แท้จริง ที่มีอยู่ในตัวตน อยู่ในจิตของตน แล้วจิตนั้นจึงจะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง 
นี่คือ *ทางเดินแห่งทางพ้นทุกข์*
จงทำความเข้าใจเช่นนี้เถิด 
อย่าวิ่งหนีความทุกข์ให้เสียเวลาเลย 
อย่าตามหาความสุข ให้หมดเวลาเปล่าๆเลย
-- หยุดหา และหยุดหนีเถิด ลูกนั้น จะเป็นสุขอย่างแท้จริง --
สาธุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น