วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อฤาษีพบพระพุทธเจ้าครั้งแรก ด้วยตาเนื้อ ที่วัดบางนมโค



ระยะต่อมา วันที่สอง ตอนเช้าก็ออกมาบิณฑบาตกับเขา
ทำวัตรทำวาเสร็จก็เข้าป่าช้าไป เงียบ บ้านใครบ้านมัน
คิดว่า เราตั้งใจจะบวช จำศัพท์ได้ว่า
"นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา"
หลวงพ่อปานท่านแปลว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาพัสตร์
มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
เราต้องการนิพพาน นิพพานจะอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า
ถ้าทำถึงเมื่อไรจะพบเมื่อนั้น เวลานี้เรายังมองไม่เห็น
พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เราต้องทำให้พบ เวลาก่อนภาวนา
ก็นึกถึงนิพพาน นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม
นึกถึงพระอริยสงฆ์ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป นึกถึง
หลวงพ่อปาน นึกถึงหลวงพ่อเล็ก นึกถึงหลวงพ่อจง
หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อปั้น ว่ากันเรื่อยตามชอบอกชอบใจ
ว่าตามสบาย นึกในใจไว้ แล้วขอให้ช่วยลงท้าย ช่วยให้
พบความเป็นมาของนิพพานหรือนิพพานจริง ๆ
แล้วมาตอนเวลาประมาณสัก ๔ โมงเย็นเศษ จิตมันนึก
ขึ้นมาหลังจากสรงน้ำเสร็จว่า พระพุทธเจ้าเมื่อสมัยที่
ทรงพระชนม์อยู่มีพระรูปพระโฉมเป็นอย่างไร ถ้าบุญบารมี
ของเรามีจริง ถ้าชาตินี้จะพึงไปนิพพานได้จริง ขอให้เห็น
ภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ความจริงไม่จำกัดแต่วันนั้นนะว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
จนกว่าจะตาย ขอให้ได้เห็นรูปพระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่
ในสมัยที่มีชีวิต หลังจากนั้น ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ
๕ โมงเย็นเศษ ๆ ก็นั่งเล่นอยู่หน้ากระท่อม เอาหลังพิงกอไผ่
ที่ถางเสียเตียนแล้ว นั่งอยู่โคนกอไผ่ ลมพัดเย็น ๆ สบาย ๆ
หันหน้าไปทิศตะวันตก ภาวนาว่า พุทโธบ้าง คิดถึง
พระนิพพานบ้าง ก็คิดในใจว่า ป่าช้าเขาเป็นที่เก็บผี
ไม่ช้าเราก็เป็นผีเหมือนเขา เมื่อคิดมาคิดไปตามนั้น
ต่อมาก็ภาวนาว่า พุทโธ จิตก็สงบ ตอนหลังนี่ไม่เอาแล้ว
ไม่คิดแล้ว เอาพุทโธอย่างเดียว
จิตสงบ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น ตั้งใจตามนี้
คิดไว้ก่อน คิดว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น
อย่างไร ๆ เราก็ตายกันแน่ แล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ ๆๆๆ
หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ ลมหายใจ
อ่อนลงไป ทีละน้อย ๆ ๆ มีความรู้สึกน้อย จนกระทั่ง
มีอารมณ์วูบ อารมณ์วูบ วื้ด คล้าย ๆ กับตกจากที่สูง
มีอารมณ์สงัด มีอารมณ์โปร่ง เบา มีความสุขมาก
ปรากฏมีอาการสว่างมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลืมตา สว่างจ้า
ข้างหน้า รู้สึกชื่นใจ พอมองไปข้างหน้า เห็นแท่นใหญ่
สวยมาก เป็นแท่นทองประดับแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ
สวยสดงดงามมาก แล้วก็มีพระนั่งอยู่บนแท่นองค์หนึ่ง
แล้วก็มีคนนั่งใกล้ ๆ แท่นคนหนึ่ง เป็นผู้ชาย ผิวดำ รูปร่าง
ทรวดทรงตามปกติ หมายความว่า ทรวดทรงธรรมดา ๆ
ไม่อ้วน แล้วก็ไม่ผอม แต่ว่าผิวดำ
เสียงพระท่านเรียกว่า มหาพุฒ ๆ คำว่า มหาพุฒ เป็นชื่อ
ของคน ๆ นั้น เมื่อมองดูพระองค์นั้น ท่านก็ยิ้ม สวยจริง ๆ
ผิวเหลือง เหลืองมาก จีวรท่านก็เหลือง คล้ายสีทอง
ส่วนสัดต่าง ๆ สมบูรณ์ทุกอย่าง สวยจริง ๆ แขนก็กลมบ่อง
นิ้วก็กลมบ่อง จะมีริ้วรอยสักนิดหนึ่งก็ไม่มี สวยจริง ๆ
พระเนตร คือ ลูกตาก็สวย คิ้วก็สวย คางก็สวย ปากก็สวย
แหม...อีตอนนี้ลืมคนรัก ลืมสาวที่เคยรักว่า เคยสวย
มันเทียบกันไม่ได้เลย ความสวยทำให้จิตใจปลื้มมีอารมณ์ปีติ
เวลานั้นกำลังหลับตาอยู่ แต่นึกในใจว่า คำว่าอุปาทานนี่
ชาวบ้านเขาชอบพูดกัน แต่ว่า การเห็นภาพแบบนี้ หลวงพ่อปาน
ก็ไม่เคยห้าม แต่ก็ยังไม่แนะนำให้จับภาพ ในวันแรกเลยไม่รู้เรื่อง
เห็นภาพ ก็อยากดูภาพนั่น ดูเสียชื่นใจ นาน หลับตา
ลองลืมตาขึ้นมาก็เห็นแฮะ หลับตากับลืมตาก็เห็นเท่ากัน
เสียงท่านบอกว่า ลืมตาก็ได้ หลับตาก็ได้ แล้วเสียงท่านถามว่า
ต้องการนิพพานรึ
ก็กราบเรียนบอกว่าต้องการนิพพาน ถามท่านว่า ท่านเป็นใคร
กราบท่านก่อนนะ ตอนนั้นก็เหมือนกับคุยกับคนธรรมดานี่แหละ
แต่โอ้โฮ...แท่น หน้าตักท่านประมาณสัก ๘ ศอก แล้วที่บริเวณ
เวลานั้นมันไม่ใช่กอไผ่นี่ เวลาที่เห็นท่าน มันเหมือนกับนั่งอยู่
ในวิหารใหญ่ ๆ เหมือนในวังอะไรก็ไม่รู้หรอก เหมือนธรรมดา ๆ
ไม่มีกอผ่งกอไผ่ ความจริงเรานั่งอยู่ที่กอไผ่
ถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านถามว่า เธอนึกถึงใครล่ะ ขณะที่ภาวนา
นึกถึงใคร ตอนท้ายนี่ ก็เลยบอกท่านบอกว่า ก่อนที่ชีวิตจะตาย
อยากจะมาพบพระพุทธเจ้า อยากจะเห็นพระรูปพระโฉมของท่าน
สมัยที่มีพระชนม์อยู่ ท่านก็เลยบอกว่า เธออยากเห็นใคร ฉันก็คือบุคคลคนนั้น พอท่านพูดอย่างนั้น ก็มีความเข้าใจจริงว่า นี่คือ
พระพุทธเจ้า
ลุกขึ้นกราบอีก ๓ ครั้ง ท่านบอกว่า แต่กราบเฉย ๆ นี่ดีมาก
ถ้าจิตใจยังคิดอยากกราบอยู่ ถ้านึกอยากจะกราบ แต่ยังไม่ทัน
จะกราบ ก็มีบุญแล้ว เวลาตายก็ตกนรกไม่ได้ แต่ความจริง
ถ้าอยากจะให้มีคุณจริง ๆ มีอานิสงส์จริง คือ ไม่ต้องกราบ
ด้วยกายก็ได้ นึกกราบในใจไว้เรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงตถาคตเมื่อไร
ก็ตั้งใจกราบ แล้วก็จงจำภาพนี้ไว้ ภาพนี้จะปรากฏให้เธอเห็น
ชัดทั้งหลับตา และลืมตาเป็นครั้งแรกในชีวิตจำภาพนี้ไว้ให้ดี
ต่อไปจะไม่เห็นอีกละ
แต่ว่าถ้านึกเมื่อไร ภาพนี้จะปรากฏกับใจของเธอทันที ให้เธอ
จำภาพนี้ไว้ ถ้าเธอจำภาพนี้ไว้เพียงใด คำที่อาจารย์ของเธอ
สอนว่า นิพพานมีจริง แต่ไม่สามารถจะบอกได้ ภายในไม่ช้านัก
เธอจะพบนิพพาน ก็ถามท่านว่า จะพบนี่ จะพบเมื่อตายแล้ว
หรือยังไม่ตาย ท่านบอกว่า คำว่า ตายแล้วมันไม่มีความหมาย
ต้องพบกันก่อนตายซิ ของมีจริงนี่
เมื่อเราทำจริง ตั้งใจจริง แต่ก็อย่าลืมนะ อันดับแรก สังโยชน์ ๓
บารมี ๑๐ ต้องครบ สังโยชน์ ๓ ต้องตัดให้ได้ และตัดเรื่อย ๆ
ไปจนกว่าจะถึงสังโยชน์ ๑๐ แต่จะตัดได้หรือไม่ได้ นี่ไม่เป็นไร
ถ้ากำลังใจมีความมั่นคงในพระพุทธเจ้า เธอมีความมั่นคง
ในบารมี ๑๐ ประการ เธอจะพบนิพพานในชาตินี้

บทสวดมนต์ “ปรมินทมหาภูมิพละอตุลยะเตชะมหาราชัสสะปัตติทานคาถา”

บทสวดมนต์ “ปรมินทมหาภูมิพละอตุลยะเตชะมหาราชัสสะปัตติทานคาถา”
.
**รวมใจเป็นหนึ่ง บทสวดมนต์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร**
.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
( ๓ จบ )
.
ยถาปิ ปะระมินโท โส ภูมิพะโล มหิสสะโร
สวีริโย สะมุสสาโห ทีฆะทัสสี วิจักขะโณ
อะธิราชา มะหารัญญา โลกะภาเค มะหิตตะเล
ทัยยานัง เทวะภูโต โข ธะระมาโน ปสังสิโต
สักกะโต ชะนะตาเยวะ สัมมานิโตภิปูชิโต
ทัยยะวาสีนะมัตถายะ หิตายะ จะ สุขายะ จะ
สัตตะติวัสสะกาเล วะ รัชชัง ธัมเมนะ การะยิ
เอวัง ชะรา จะ มัจจุ จะ อะธิวัตตันติ ภูปติง
ขัตติเย พราหมะเณ เวสเส สุทเท จัณฑาละปุกกุเส
น กิญจิ ปริวัชเชติ สัพพะเมวาภิมัททะติ.
ตัสะมา หิ ปัณฑิโต โปโส สัมปัสสัง อัตถะมัตตะโน
สัมปเทยเยวะ ภิยโยโส อัปปะมาเทนะ ชีวิตัง
อัปปะมัตโต อุโภ อัตเถ อะธิคัณหาติ เจตะโส
ทิฐเฐ ธัมเม จะ โย อัตโถ โย จัตโถ สัมปรายิโก
สะวากขาตัสสะ ปาฐัสสะ อัตถัง อัญญายะ สาธุกัง.
ปฏิปัชเชถะ เมธาวี อะโมฆัง ชีวิตัง ยะถา
ยันทานิ เม กตัง ปุญญัง เตนาเนนุททิเสนะ จะ
ยา กาจิ กุสลา มะยาสา สุเขนะ สิชฌะตัง สะทา
ปะระมินทะมหาราชา ภาคี โหตุ วะ ปัตติยา
เขมัปปะทัญจะ ปัปโปตุ ตัสสาสา สิชฌะตัง สุภาติ ฯ

คำแปล คาถาถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีพระวิริยอุตสาหะ มีพระวิสัยทัศน์ยาวไกล มีปัญญาฉลาดหลักแหลมในการปกครองประเทศ ทรงเป็นพระมหาราชผู้ยิ่งใหญ่กว่าพระมหาราชใดๆ ในโลก ทรงได้รับการสรรเสริญ สักการะ นับถือ บูชา ยกย่องว่าเป็นเทวดาที่ยังมีชีวิตอยู่ของปวงพสกนิกรชาวไทย ทรงครองสิริราชสมบัติเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามสิ้นกาลเวลา ๗๐ ปี

แม้ฉันใด แต่ความชราและความตายย่อมพรากองค์พระภูมินทร์ฉันนั้น ความตายหาได้ละเว้นใครๆ ไม่ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร คนจัณฑาล ความตายย่อมทำลายทุกสิ่งถ้วนทั่ว เพราะฉะนั้นแล ผู้เป็นบัณฑิต เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ส่วนตนก็พึงดำเนินชีวิตของตนให้ยิ่งด้วยความไม่ประมาท บุคคลผู้ไม่ประมาทย่อมจะได้รับประโยชน์ทั้ง ๒ ส่วน คือ ประโยชน์ปัจจุบันและประโยชน์ในภายภาคหน้า ผู้มีปัญญารู้อรรถสาระแห่งพระบาลีตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสไว้ดีแล้วน้อมปฏิบัติ โดยประการที่ชีวิตจะเป็นชีวิตที่มีสาระ ไม่เป็นชีวิตเปล่าประโยชน์ (ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท) บุญอันใดที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้ว ณ กาลบัดนี้ ด้วยเหตุแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้ว และด้วยการถวายพระราชกุศลอันนี้ ด้วยความปรารถนาอันใดอันหนึ่งที่เป็นกุศลของข้าพเจ้า ขอบุญและความหวังนั้นจงสำเร็จโดยง่ายทุกเมื่อ ขอพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จงทรงเป็นผู้มีส่วนแห่งปัตติทานของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอพระองค์จงถึงซึ่งบทอันเกษม คือ พระนิพพาน ขอความปรารถนาอันดีงามของพระองค์ทั้งปวงนั้นจงสำเร็จโดยพลัน เทอญ ฯ
.
๐ คำถวายพระราชกุศล ๐
แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
.
อิทัง ปุญญะผะลัง
ปะระมินทะระมะหาภูมิพะละ
อะตุละยะเตชัสสะ โหตุ
.
ขอบุญกุศลนี้จงสำเร็จเป็นบารมีธรรม
แด่องค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยด้วยเทอญ
...
สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร ผู้แต่งและแปล
...
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า พสกนิกรชาวไทยผู้จงรัก และภักดี

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อานุภาพ ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม

: อานุภาพ ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม :
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ...ลูกศิษย์บันทึก
เรื่องเล่าโดย  พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์  สืบสงวน
เหตุการณ์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๒๐

       
ในสมัยนั้น ผกค. (ผู้ก่อการร้ายคอมมูนิสต์)  มีอิทธิพลสูง
ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้จะต้องใช้กำลังหลายกองพล   และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ  พล.ต.ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นปัจจุบันมียศ พล.ท.)    ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ  หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร  แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ดังนี้...​

       
๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร
       
       
๒. แจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน  (ผ้ายันต์สีแดง)
       
       
๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร  ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล  ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา
        ​
       
ผมจำได้ว่า   หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก   เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น.ถ่ายไว้    ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อเท่านั้น    ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ    เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร เมื่อบรรยายจบปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถาม  ได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ​

       
ขณะนี้พวกผกค.เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือพร้อม ๆ กันหลายคน   และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ   บางคนไม่ฉลาดถาม  ก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ

       
จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่น ๆ ผมฟังไป ๆ คงจะตื่นเต้นมาก เลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัวขอเวลานอกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา   และผมคงจะพิจารณาทุกข์   ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือ เห็นอริยสัจ   เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่าให้ปฏิบัติตลอดเวลาทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือ เป็นอกาลิโก   ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน   พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้ว ก็ออกมารีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะหายไป ​

       
ไม่พบใครสักคนเลย หันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่งท่านจำผมได้   เห็นผมจึงถามว่าคุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ ทหารผู้นั้นก็บอกว่าหลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี  ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่า...งง)  แต่เคราะห์ยังดีที่  นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็ก พร้อมคนขับให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่านรีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุก ๆ คนที่ได้หัวเราะกันจนฉี่จะออก
       
       
หลังจากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่าง ๆ แล้วก็กลับไป กทม.   และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่หนึ่งกองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของผกค.เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน  ผลปรากฏว่าดีมากเกินคาดหมาย  แต่มีรายงานจากวิทยุว่ามี ทหารเสียชีวิต ๑ นาย ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่า   ทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย   ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง ​

       
โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่าไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว   ท่านรู้สึกผิดหวังมากที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงแดงไปด้วยทั้ง ๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ    ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์สีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากท่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ

       
วันที่สอง ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็นสองกองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุจากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่น   ความลับไม่มีในโลกทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าวรู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ  ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์ สีแดง  จะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป  จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ    ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้นเพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน
       
       
วันที่ ๓ ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม ๑๐๐% ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมดชนิดที่ ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี้ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อ ๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น ​

       
และไม่มีใครเสียชีวิตเลย ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็น ผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด  เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้าคงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น  (เหมือนในสมัยขุนแผน   ท่านเป็นแม่ทัพเสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ   ท่านพร้อมคณะไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา

       
หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อ ๆ ได้ดังนี้...
       
       
๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค. ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว

       
๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้าย ๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น​

       
๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่าว่าขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิงปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่าทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนี่ยวนัก เลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า  แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่

       
๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึกที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่าคงเป็นอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ “ นะจังงัง ” ขึ้น  หรือเพราะมันตกใจจริง ๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง

       
๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้มีทั้งร.พ.และเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพละศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่าต้องใส่รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี​

       
๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน   มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้   จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็น ผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก​

       
๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นตันมา ผกค. ก็หายซ่าไปเลย
       
       
เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมาก ยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วนกลับไม่ได้ผลหรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิด   หากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น  ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไป ก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน “ปฐมเทศนา” ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป,ขี้เกียจมากไป) จะไม่มีผล ให้เดินสายกลาง ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบ ขอสรุปเรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงครามไว้ เพื่อเตือนความจำ ดังนี้...
       
       
๑. ความศักดิ์สิทธิ์ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
       
       
๒. ผู้นำไปใช้หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจรปล้น-ฆ่าเขา-ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิงลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุออกท้ายทอยทุกราย
       

๓. ธงมหาพิชัยสงครามไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
       
       
๔. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงครามกับผ้ายันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกันทุกประการ ใช้แทนกันได้
       
       
๕. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน, พายุใหญ่ หรือวาตภัย มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่ที่ความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย

: หมายเหตุจาก...ผู้โพสต์  ทุกวันนี้ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม
ยังคงมีให้เช่าบูชาได้  ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี  และที่บ้านสายลม
กทม. มีสองขนาด  ผืนใหญ่ กับ ผืนเล็ก  จำราคาผืนเล็กได้ว่าราคา  ๓๒๐.- บาท ส่วนผืนใหญ่ไม่ทราบราคา  ลองโทรสอบถามราคาได้ที่บ้านสายลม เบอร์ 02-6167177 

       
ขอแนะนำว่าส่วนตัวผู้โพสต์   ได้นำผ้ายันต์ฯ   ผืนเล็กไปเคลือบพลาสติกแบบเต็มแผ่น  บูชาไว้ที่บ้าน ๑ ผืน  ติดไว้ที่หน้ารถยนต์ ๑ ผืน  ไว้ที่โต๊ะทำงาน ๑ ผืน    หรือท่านจะพับผ้ายันต์ให้เล็กลงแล้วนำไปอัดกรอบพลาสติก    โดยให้รูปพระที่ผ้ายันต์อยู่ด้านหน้ากรอบ  (ลองพับดูครับจะได้รูปพระพอดี)  แล้วนำมาห้อยคอแบบพระเครื่องก็ได้จะสะดวกดีครับ

อานุภาพพระบรมสารีริกธาตุ พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"

อานุภาพพระบรมสารีริกธาตุ
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"

“เรื่องพระธาตุรวมตัว ที่พระ...ท่านสัมผัสได้ว่า
แต่ละองค์มีรัศมีป้องกันเขตพื้นที่ไปในระยะ
๑๐ กิโลเมตรนั้น เป็นความจริง และสมควรที่จัก
ได้กระจัดกระจายไปตามวัด และสถานที่ต่าง ๆ
ตามที่สมควร อย่าพะวงว่าเขาทำไม่ได้ทุกอย่าง
เป็นไปได้ตามที่พระธาตุเหล่านั้นได้เสด็จมา
ตามจุดประสงค์เพื่อรักษาเขตประเทศไทย
ในยามเกิดสงครามใหญ่โดยเฉพาะ”

“แต่อย่าคิดเชียวนะว่า ผู้มีพระธาตุบูชาจักไม่ตาย
เพราะที่สุดในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนหรือสัตว์
วัตถุธาตุพังหมด จักมายึดว่ามีพระธาตุบูชา แล้ว
จักพ้นความตายไปนั้นไม่ได้

ท่านเพียงแต่ป้องกันอันตรายจากภัยสงคราม
ชีวิตหรือทรัพย์สิน หากไม่พ้นกฎของกรรม
ท่านก็ช่วยได้เท่านั้น แต่ถ้าหากจักต้องชดใช้
กฎของกรรม ท่านก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”

“ภิกษุใด นักบวชใด ที่ไม่เชื่อในพุทธคุณ
จงอย่าให้ เพราะเขาไม่เชื่อหรอกว่าเป็นพระธาตุ
พวกนี้อวดว่าตนเองมีความรู้ดี ทั้ง ๆ ที่สังโยชน์ ๑๐
ยังอยู่ครบ จะเป็นเหตุให้เขาต้องโทษปรามาส
พระรัตนตรัยได้โดยไม่รู้ตัว”

“สำหรับฆราวาสที่เชื่อถือในพุทธคุณ ก็ให้เขา
ไปบูชาได้ บอกว่ามีอานุภาพป้องกันภัยสงคราม
เท่านั้นก็พอ”

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ

: วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ : (ตอนที่ ๑)

*** โลกเบื้องสูง (พรหมโลก) ***

.......วัฏสงสาร หมายถึงภูมิ (คำว่า "ภูมิ" ก็คือที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์)  แห่งการเวียนว่ายตายเกิด  ที่จิตของเราท่านยังไม่ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  ก็ต้องท่องเที่ยวไปในอาการที่เป็นวัฏฏะ  การหมุนวนอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด จึงเรียกว่า "วัฏสงสาร"

........สงสารวัฏ หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ (คำว่าภพ ก็คือชาติที่เราเกิดมาแต่ละครั้ง)   ภูมิต่างๆ  ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม วิบาก หมุนวนอยู่เช่นนั้นตราบเท่าที่ยังตัดกิเลส กรรม วิบากไม่ได้ 

........พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย  เป็นพระผู้หลุดพ้นออกไปจาก ๓๑ ภูมิแล้วอย่างสิ้นเชิง  สถิตเสถียรอยู่ในโลกุตตรภูมิ นอกโลกเหนือโลก  พ้นไปจากวัฏสงสาร  ที่สัตว์โลกจะต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ต่อไป  วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ  ที่พวกเราท่านยังจะต้องท่องเที่ยวอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้   มีดังต่อไปนี้...

*** โลกเบื้องสูง (พรหมโลก) ***

พรหมโลกมีทั้งหมด ๒๐ ภูมิ  เป็นรูปพรหม ๑๖ ภูมิ  เป็นอรูปพรหม ๔ ภูมิ

........ที่มาเกิดได้ด้วยผลจากการทำฌาณ และบุพกรรมดีขณะเป็นมนุษย์ ฌาณเป็นการทำสมาธิในระดับลึก ซึ่งสมาธิมีอยู่ ๓ ระดับ

สมาธิขั้นต้น เรียกว่า ขณิกสมาธิ
สมาธิขั้นกลาง เรียกว่า อุปจารสมาธิ
และสมาธิขั้นสูงเรียกว่า อัปปนาสมาธิ
ฉะนั้น จิตที่ดับลงในขณะที่เข้าฌานทั้ง ๓ ขั้นส่งผลดังนี้

ปฐมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, และพรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ ๑๐-๒๐  (แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์)   รูปพรหม ชั้นที่ ๑-๑๖     อรูปพรหม ชั้นที่ ๑๗-๒๐

*** สภาวะของพรหม ***

สภาวะของพรหมเป็นอย่างนี้  พรหมอยู่กันอย่างสงบสงัด  แล้วบรรดาพรหมทั้งหลายไม่มีเพศ   ผู้หญิงก็ตาม   ผู้ชายก็ตาม
ถ้าตายจากความเป็นคนแล้วไปเกิดเป็นพรหม    หาความเป็นผู้หญิง  ผู้ชายไม่ได้     เป็นอันว่าเรื่องราวของการต้องการทางเพศ  ไม่มีสำหรับพรหม  พรหมแต่ละท่านก็เป็นพรหมประเภทที่มีความสงบ  คืออยู่ด้วยความเป็นสุข  ด้วยกำลังของธรรมปิติ

*** บุพกรรม ที่นำมาเกิดในโลกเบื้องสูง ***

*** อรูปพรหม ***

*พรหมโลก ชั้นที่ ๒๐ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยความประณีตเป็นอย่างยิ่ง มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ อรูปพรหม อายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้อากิญจัญญายตนฌาน และสำเร็จเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑๙ คือ อากิญจัญญายตนภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌาณที่อาศัยนัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤาษีผู้ได้วิญญาณัญจายตนฌาณ และสำเร็จอากิญจัญญายตนฌาน

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑๘ คือ วิญญาณัญจายตนภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยวิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้อากาสานัญจายตนฌาน และสำเร็จวิญญาณัญจายตนฌาน

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑๗ คือ อากาสานัญจายตนภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติซึ่งไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๒๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤาษีผู้ได้จตุตถฌานแล้ว และสำเร็จอากาสานัญจายตนฌาน

*** รูปพรหม ***

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑๖ คือ อกนิฎฐาสุทธาวาสภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวิเศษโดยไม่มีความเป็นรองกัน พระพรหมอนาคามี อายุ ๑๖,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมีปัญญินทรีย์แก่กล้า

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑๕ คือ สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่า พระพรหมอนาคามี อายุ ๘,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌาน และเจริญวิปัสสนาภาวนาสำเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมีสมาธินทรีย์แก่กล้า

* พรหมโลก ชั้นที่ ๑๔ คือ สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใส พระพรหมอนาคามี อายุ ๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลโดยมีสตินทรีย์แก่กล้า

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑๓ คือ อตัปปาสุทธาวาสภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือดร้อน พระพรหมอนาคามี อายุ ๒,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จ เป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมีวิริยินทรีย์แก่กล้า

* พรหมโลก ชั้นที่ ๑๒ คือ อวิหาสุทธาวาสภูมิ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมคลายในสมบัติของตน พระพรหมอนาคามี อายุ ๑,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาจนสำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมีสัทธินทรีย์แก่กล้า

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑๑ คือ อสัญญสัตตาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งกลาย ผู้ไม่มีสัญญา (พรหมลูกฟัก) อายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญมสมถภาวนาสำเร็จจตุตถฌาน และเป็นผู้มีสัญญาวิราคภาวนา

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑๐ คือ เวทัปผลาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์ พระพรหม อายุ ๕๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่เจริญสมถภาวนาสำเร็จจตุตถฌาน

*พรหมโลก ชั้นที่ ๙ คือ สุภกิณหาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงาม แห่งรัศมีออกสลับปะปนไปอยู่เสมอตลอดสรีระกาย พระพรหม อายุ ๖๔ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ ต้องสำเร็จตติยฌานได้อย่างประณีต

*พรหมโลก ชั้นที่ ๘ คือ อัปปมาณสุภาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มีประมาณ พระพรหม อายุ ๓๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ต้องสำเร็จตติยฌานได้อย่างปานกลาง

*พรหมโลก ชั้นที่ ๗ คือ ปริตตสุภาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงาม แห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย พระพรหม อายุ ๑๖ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จตติยฌานได้อย่างสามัญ

*พรหมโลก ชั้นที่ ๖ คือ อาภัสสราภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีประกายรุ่งโรจน์แห่งรัศมีนานาแสง พระพรหม อายุ ๘ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จทุติยฌานได้อย่างประณีต

*พรหมโลก ชั้นที่ ๕ คือ อัปปมาณาภาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีรุ่งเรืองมาก มายหาประมาณมิได้ พระพรหม อายุ ๔ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จทุติยฌานได้อย่างปานกลาง

*พรหมโลก ชั้นที่ ๔ คือ ปริตตาภาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน พระพรหม อายุ ๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นนี้ได้ต้องสำเร็จทุติยฌานได้อย่างสามัญ

*พรหมโลก ชั้นที่ ๓ คือ มหาพรหมาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย พระพรหม อายุ ๑ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานอย่างประณีต

*พรหมโลก ชั้นที่ ๒ คือ พรหมปุโรหิตาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ทรงฐานะอันประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่านมหาพรหม พระพรหม อายุ ๓๒ อันตรกัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานอย่างปานกลาง

*พรหมโลก ชั้นที่ ๑ คือ พรหมปาริสัชชาภูมิ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหม ผู้เป็นบริษัทท้าวมหาพรหม พระพรหม อายุ ๒๑ อันตรกัปเศษ บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสำเร็จปฐมฌานได้อย่างสามัญ

*** โลกเบื้องกลาง (โลกสวรรค์ โลกมนุษย์) ***

.......วัฏสงสาร หมายถึงภูมิ (คำว่า "ภูมิ" ก็คือที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์) แห่งการเวียนว่ายตายเกิด ที่จิตของเราท่านยังไม่ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ก็ต้องท่องเที่ยวไปในอาการที่เป็นวัฏฏะ การหมุนวนอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด จึงเรียกว่า "วัฏสงสาร"

........สงสารวัฏ หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ (คำว่าภพ ก็คือชาติที่เราเกิดมาแต่ละครั้ง) ภูมิต่างๆ ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม วิบาก หมุนวนอยู่เช่นนั้นตราบเท่าที่ยังตัดกิเลส กรรม วิบากไม่ได้

........พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นพระผู้หลุดพ้นออกไปจาก ๓๑ ภูมิแล้วอย่างสิ้นเชิง สถิตเสถียรอยู่ในโลกุตตรภูมิ นอกโลกเหนือโลก พ้นไปจากวัฏสงสาร ที่สัตว์โลกจะต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ต่อไป วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ ที่พวกเราท่านยังจะต้องท่องเที่ยวอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ มีดังต่อไปนี้... (ตอนที่ ๒ โลกเบื้องกลาง)

*** โลกเบื้องกลาง (โลกสวรรค์ โลกมนุษย์) ***

.....ผู้ที่จะมาเกิดได้ด้วยผลจากการทำฌาน รักษาศีลอย่างเคร่งครัด  และการทำทานดี  การรักษาศีล ๕   อย่างสมบูรณ์ ส่งผล อย่างน้อยมนุษย์สมบัติ  รักษาศีล ๘  ศีลอุโบสถสมบูรณ์ ส่งผลอย่างน้อยสวรรค์สมบัติ ดังนี้...

.....เทวภูมิ ๖ กับ โลกมนุษย์ ๑ (แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๔๒,๐๐๐ โยชน์)

*** โลกสวรรค์ และบุพกรรม ที่มานำเกิดในโลกสวรรค์ ***

.....*สวรรค์ ชั้นที่ ๖ คือ ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ แบ่งเป็น ฝ่ายเทพดา มีท้าวปรนิมมิตเทวราช ปกครอง กับ ฝ่ายมาร มีท้าวปปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช  เป็นผู้ปกครอง อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ (๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์)     บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฏ์     อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม     เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ต้องบำเพ็ญกันอย่างจริงๆ มากไป    ด้วยศรัทธาปสาทะอย่างยิ่งยวดและถูกต้อง ในการให้ทาน  เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน  ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน   เช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลายแต่กาลก่อน” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส” เพราะวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงยิ่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้

.....*สวรรค์ ชั้นที่ ๕ คือ นิมมานรตีภูมิ เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้ยินดีในกามคุณอารมณ์ ซึ่งเนรมิตรขึ้นมาตามความพอใจ มีท้าว
มุนิมมิตเทวราช ปกครอง อายุ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ (๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์)   บุพกรรม   เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราหุงหากินได้แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลาย ไม่ได้หุงหากิน   เราหุงหากินได้  จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า     “เราจักจำแนกแจกทานเช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลายในกาลก่อน” ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาดได้ มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยะอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก  เพราะผลวิบากแห่งทาน  และศีลอันสูงเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้

.....*สวรรค์ ชั้นที่ ๔ คือ ดุสิตาภูมิ เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นเป็นนิจ  มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง อายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ (๕๗๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดีมากในการบริจาคทาน  ในการให้ทาน   เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน   ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน    ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน  ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี”  แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั่งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงกิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” ทรงศีล ทรงธรรม ชอบฟังพระธรรมเทศนา หรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก ฯลฯ

.....*สวรรค์ ชั้นที่ ๓ คือ ยามาภูมิ เป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้มีแต่ความสุขอันเป็นทิพย์   มีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๒,๐๐๐ ปี ทิพย์ (๑๔๔ ล้านปีมนุษย์)     บุพกรรม เป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ พยายามสร้างเสบียง ไม่หวั่นไหวในการบำเพ็ญบุญกุศล ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทำที่ดี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี” รักษาศีล มิจิตขวนขวายในพระธรรม ทำความดีด้วยใจจริง

.....*สวรรค์ ชั้นที่ ๒ คือ ตาวติงสาภูมิ หรือที่เรียกว่าไตรตรึงษ์หรือดาวดึงส์ เป็นเมืองใหญ่มี ๑,๐๐๐ ประตู มีพระเกศจุฬามณีเจดีย์ มีไม้ทิพย์ชื่อปาริชาตกัลปพฤกษ์ สมเด็จพระอมรินทราธิราช เป็นผู้ปกครอง อายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์   (๓๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ยินดีในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้   ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “ตายแล้วเราจักได้เสวยผลทานนี้” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทำดี” งดงามด้วยพยายามรักษาศีล ไม่ดูหมิ่นดูแคลนผู้ใหญ่ในตระกูล ฯลฯ

.....*สวรรค์ ชั้นที่ ๑ คือ จาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า  มีท้าวมหาราช ๔ พระองค์ ปกครองคือ
๑.ท้าวธตรฐมหาราช
๒.ท้าววิรุฬหกมหาราช
๓.ท้าววิรูปักษ์มหาราช และ
๔.ท้าวเวสสุวัณมหาราช (ท้าวกุเวร)
อายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ (๙ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ ชอบทำความดี  สันโดษ  ยินดีแต่ของๆ ตน   ชักชวนให้ผู้อื่นประกอบการกุศล ชอบให้ทาน ในการให้ทาน เป็นผู้มีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราตายแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้” และเป็นผู้มีศีล ฯลฯ

*** โลกมนุษย์ และบุพกรรม ที่นำมาเกิดในโลกมนุษย์ ***

.....มนุษย์ภูมิ เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูงในเชิงกล้าหาญ ที่จะประกอบกรรมต่าง ๆ ทั้งที่เป็น กุศลกรรมและ อกุศลกรรม   แบ่งเป็น ๔ จำพวก ได้แก่

๑.ผู้มืดมาแล้วมืดไป บุคคลที่เกิดในตระกูลอันต่ำ ยากจน ขัดสน ลำบาก  ฝืดเคืองอย่างมากในการหาเลี้ยงชีพ   มีปัจจัย ๔ อย่างหยาบ  เช่น มีอาหารและน้ำน้อย   มีเครื่องนุ่มห่มเก่า   ร่างกายมอซอ  หม่นหมอง  หรือมีร่างกายไม่สมประกอบ   บ้า ใบ้ บอด หนวก หาที่นอน ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคไม่ใคร่ได้ และเขากลับประพฤติ  ทุจริตทางกาย วาจา ใจ   เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย

๒.ผู้มืดมาแล้วสว่างไป บุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ผิวพรรณหยาบ ฯลฯ  แต่เขาเป็นคนมีศรัทธา  ไม่มีความตระหนี่   เป็นคนมีความดำริประเสริฐ   มีใจไม่ฟุ้งซ่าน  ย่อมให้ทาน   ย่อมลุกรับสมณะชีพราหมณ์ หรือวณิพกอื่น ๆ ย่อมสำเหนียกใน กิริยามารยาทเรียบร้อย  ไม่ห้ามคนที่กำลังจะให้ทาน   เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

๓.ผู้สว่างมาแล้วมืดไป เป็นบุคคลผู้อุบัติเกิดในตระกูลสูง เป็นคนมั่งคั่งมั่งมี   มีโภคสมบัติมาก เป็นผู้มีปัจจัย ๔ อันประณีต ทั้งเป็นคนที่มีรูปร่างสมส่วน  สะสวย  งดงาม  ผิวพรรณดูน่าชม แต่กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา   ตระหนี่ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ กรุณาอาทร มีใจหยาบช้า  มักขึงโกรธ  ย่อมด่า   ย่อมบริภาษบุคคลต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง มารดาบิดา สมณะชีพราหมณ์ ย่อมห้ามคนที่กำลังให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย

๔.ผู้สว่างมาแล้วสว่างไป เป็นบุคคลที่อุบัติเกิดในตระกูลสูง มีผิวพรรณงาม และเขาย่อมประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

*** บุพกรรม ที่นำมาเกิดในโลกมนุษย์ ***

.....กรรมของมนุษย์ที่ทำในกาลก่อน ส่งผลให้มีปฏิปทาต่างกัน เช่นบางคนเป็นคนดี บางคนบ้า บางคนรวย บางคนจน บางคนมีปัญญา บางคนเขลา ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัยต่าง ๆ อาทิ

-ปฏิปทาให้มีอายุสั้น เพราะเป็นคนเหี้ยมโหด ดุร้าย มักคร่าชีวิตสัตว์

-ปฏิปทาให้มีอายุยืน เป็นผู้เว้นขาดจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป มีความละอาย เอ็นดูอนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลสรรพสัตว์และภูตอยู่

-ปฏิปทามีโรคมาก เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ ท่อนไม้ ก้อนดิน ก้อนหิน หรือศาสตราอาวุธต่าง ๆ

-ปฏิปทามีโรคน้อย ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ หรือศาตราอาวุธต่าง ๆ มีมีด ขวาน ดาบ ปืน เป็นต้น

-ปฏิปทาให้มีผิวพรรณทราม เป็นคนมักโกรธ มากไปด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจโกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเครียดให้ปรากฏ

-ปฏิปทาให้มีผิวพรรณงาม เป็นคนไม่มักโกรธ ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำความโกรธความร้าย และความขึ้งเครียดให้ปรากฏ

-ปฏิปทาให้เป็นคนมีศักดาน้อย คือเป็นคนมีใจริษยา มุ่งร้าย ผูกใจในการอิจฉาริษยาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น

-ปฏิปทาให้เป็นคนมีศักดามาก เป็นคนไม่มีใจริษยา ไม่มุ่งร้าย ยินดีด้วยในลาภสักการะ ความเคารพ การนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น

-ปฏิปทาให้มีโภคะน้อย เป็นผู้ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยา ที่นอน ที่อาศัย เป็นต้น

-ปฏิปทาให้มีโภคะมาก ชอบให้ทาน มีอาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ของหอม  ที่นอน  ที่อาศัย  เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือชีพราหมณ์ เป็นต้น

-ปฏิปทาให้เกิดในตระกูลต่ำ เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่ควรให้ ไม่ให้ทางแก่คนที่ควรให้ทาง เป็นต้น

-ปฏิปทาให้เกิดในตระกูลสูง เป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน วจีไพเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟื้อ รู้จักยืนเคารพ ยืนรับ ยืนคำนับ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ สักการะแก่คนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา เป็นต้น

-ปฏิปทาทำให้มีปัญญาทราม   คือเป็นผู้ไม่เคยเข้าไปหาบัณฑิต สมณะหรือชีพราหมณ์แล้วสอบถามว่า  อะไรเป็นกุศล  อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ เป็นต้น

-ปฏิปทาทำให้มีปัญญาหลักแหลม    เป็นผู้มักเข้าไปสอบถาม บัณฑิตสมณะหรือชีพราหมณ์  อะไรเป็นกุศล อะไรไม่เป็นกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรเมื่อทำลงไปแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล   เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน อะไรเมื่อทำไปแล้วย่อมเป็นไปเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ดังนี้

: วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ :
*** โลกเบื้องต่ำ และบุพกรรม ***
(อบายภูมิ ๔ คือ ๑.เดรัจฉาน ๒.เปรต ๓.อสุรกาย และ ๔.นรก)

.......วัฏสงสาร หมายถึงภูมิ (คำว่า "ภูมิ" ก็คือที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์) แห่งการเวียนว่ายตายเกิด ที่จิตของเราท่านยังไม่ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ก็ต้องท่องเที่ยวไปในอาการที่เป็นวัฏฏะ การหมุนวนอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด จึงเรียกว่า "วัฏสงสาร"

........สงสารวัฏ หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ (คำว่าภพ ก็คือชาติที่เราเกิดมาแต่ละครั้ง) ภูมิต่างๆ ของสัตว์โลกด้วยอำนาจกิเลส กรรม วิบาก หมุนวนอยู่เช่นนั้นตราบเท่าที่ยังตัดกิเลส กรรม วิบากไม่ได้

........พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นพระผู้หลุดพ้นออกไปจาก ๓๑ ภูมิแล้วอย่างสิ้นเชิง สถิตเสถียรอยู่ในโลกุตตรภูมิ นอกโลกเหนือโลก พ้นไปจากวัฏสงสาร ที่สัตว์โลกจะต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ต่อไป วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ ที่พวกเราท่านยังจะต้องท่องเที่ยวอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ มีดังต่อไปนี้... (ตอนที่ ๓ โลกเบื้องต่ำ และบุพกรรม)

*** โลกเบื้องต่ำ และบุพกรรม ***
(อบายภูมิ ๔ คือ ๑.เดรัจฉาน ๒.เปรต ๓.อสุรกาย และ ๔.นรก)

.....ผู้ที่จะมาเกิดได้ด้วยผลจากการทำบาป ผิดศีล หรือเป็นมนุษย์ไม่ได้ก่อกรรมชั่วอะไร แต่ก็ไม่ได้มีศีล ๕ และรักษาศีล ๕ ให้สมบูณ์ ด้วยความเป็นผู้ไม่รู้อานิสงค์ของศีล เป็นเพียงแค่คนดีของทางโลกเท่านั้น  หรือ คนที่ประพฤติตน ทุจริตทางกาย วาจา ใจ เป็นคนไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ กรุณาอาทร มีใจหยาบช้า มักขึงโกรธ ย่อมด่า ย่อมบริภาคบุคคลต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง มารดาบิดา สมณะชีพราหมณ์ ย่อมห้ามคนที่กำลังให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงทุคติอบาย

*** ๑.ติรัจฉานภูมิ (โลกเดรัจฉานอยู่ในโลกมนุษย์) ***

.....โลกของสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุ ๓ ประการ คือ การกิน การนอน การสืบพันธุ์ แบ่งเป็น ๔ ประเภทคือ

: อปทติรัจฉาน (ไม่มีเท้า ไม่มีขา) เช่น งู ปลา ไส้เดือน ฯลฯ

: ทวิปทติรัจฉาน (มี ๒ ขา) เช่น นก ไก่ ฯลฯ

: จตุปทติรัจฉาน (มี ๔ ขา) เช่นวัว ควายฯลฯ

: พหุปทติรัจฉาน (มีมากกว่า ๔ ขา) เช่น ตะขาบ กิ้งกือ ฯลฯ

.....อายุไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมที่นำไปเกิดในสัตว์ประเภทต่าง ๆ ตามอายุของสัตว์ประเภทนั้นๆ

.....บุพกรรม เป็นมนุษย์จิตไม่บริสุทธิ์ ประพฤติอกุศลกรรม อันหยาบช้าลามกทั้งหลาย หรือเพราะอำนาจของเศษบาปอกุศลกรรมที่ตนทำไว้ให้ผล หรือเป็นเพราะ เมื่อเป็นมนุษย์ไม่ได้ก่อกรรมทำชั่วอะไร  แต่เวลาใกล้จะตาย  จิตประกอบด้วยโมหะ หลงผิด ขาดสติ ไม่มีสรณะเป็นที่พึ่งจะยึดให้มั่นคง

.....คตินิมิต นิมิตที่ชี้บอกถึงโลกเดรัจฉานที่ตนจะไป  เช่นเห็นเป็นทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดงหญ้า เชิงเขา ชายน้ำ แม่น้ำ กอไผ่ และภูเขา เป็นต้น บางทีเห็นเป็นรูปสัตว์ทั้งหลาย เช่น ช้าง เสือ วัว ความ หมู หมา เป็ด ไก่ แร้ง กา เหี้ย นก หนู จิ้งจก ฯลฯ หากภาพเหล่านี้มาปรากฏทางใจ แล้วจิตยึดหน่วง เป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตตายขณะนั้น ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน

*** ๒.เปตติวิสยภูมิ (โลกเปรต) ***

.....โลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลความสุข มีมหิทธิกเปรตเป็นเจ้าปกครองดูแล อายุไม่แน่นอนแล้วแต่กรรม ได้แก่

เปรต ๑๒ ชนิด คือ

๒.๑.วันตาสเปรต กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียร เป็นอาหาร

๒.๒. กุณปาสเปรต กินซากศพคน หรือสัตว์เป็นอาหาร

๒.๓.คูถขาทกเปรต กิจอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร

๒.๔.อัคคิชาลมุขเปรต มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ

๒.๕.สูจิมุขาเปรต มีปากเท่ารูเข็ม

๒.๖.ตัณหัฏฏิตเปรต ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าว หิวน้ำอยู่เสมอ

๒.๗.สุนิชฌามกเปรต มีลำตัวดำเหมือนตอไม้เผา

๒.๘. สัตถังคเปรต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด

๒.๙.ปัพพตังคเปรต มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา

๒.๑๐.อชครังคเปรต มีร่างกายเหมือนงูเหลือม

๒.๑๑.เวมานิกเปรต ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน

๒.๑๒.มหิทธิกเปรต มีฤทธิ์มาก ที่อยู่เชิงภูเขาหิมาลัย ในป่าวิชฌาฏวี

*** เปรต ๔ ประเภท คือ ***

.....ปรทัตตุปชีวิกเปรต มีการเลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้

.....ขุปปิปาสิกเปรต ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าว หิวน้ำ

.....นิชฌามตัณหิกเปรต ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ

.....กาลกัญจิกเปรต (ชื่อของอสูรกายที่เป็นเปรต) มีร่างกายสูง ๓ คาวุต มีเลือดและเนื้อน้อยไม่มีแรง มีสีสันคล้ายใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนตาปู และมีปากเท่ารูเข็มตั้งอยู่กลางศีรษะ

.....เปรต ๒๑ จำพวก คือ มังสเปสิกเปรต   มีเนื้อเป็นชิ้น ๆ ไม่มีกระดูก  กุมภัณฑ์เปรต มีอัณฑะใหญ่โตมาก  นิจฉวิตกเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง  ทุคคันธเปรต มีกลิ่นเหม็นเน่า  อสีสเปรต ไม่มีศรีษะ  ภิกขุเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนพระ สามเณรเปรต มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสามเณร ฯลฯ

.....บุพกรรม ประพฤติอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เมื่อขาดใจตายจากโลกมนุษย์   หากอกุศลกรรมสามารถนำไปสู่นิรยภูมิได้ ต้องไปเสวยทุกขโทษในนรกก่อน  พอสิ้นกรรมพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีก็ไปเสวยผลกรรมเป็นเปรตต่อภายหลัง
หรือมีอกุศลกรรมที่เกิดจากโลภะนำมาเกิด

.....คตินิมิต นิมิตที่บ่งบอกถึงโลกเปรต เช่น เห็นหุบเขา ถ้ำอันมืดมิดที่วังเวง และปลอดเปลี่ยว หรือเห็นเป็นแกลบ และข้าวลีบมากมาย แล้วรู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำเป็นกำลัง บางทีเห็นว่าตนดื่มกินเลือดน้ำหนองที่น่ารังเกียจสะอิดสะเอียน หรือเห็นเป็นเปรตมีร่างกายผ่ายผอมน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรกรุงรัง ฯลฯ   หากภาพเหล่านี้มาปรากฏทางใจ   แล้วจิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์   เมื่อดับจิตตายขณะนั้น  ต้องบังเกิดเป็นเปรต เสวย
ทุขเวทนาตามสมควรแก่กรรมอย่างแน่นอน

*** ๓.อสุรกายภูมิ (โลกอสุรกาย) ***

.....ภูมิอันเป็นที่อยู่ของสัตว์อันปราศจากความเป็นอิสระและสนุกรื่นเริง แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ เทวอสุรา เปตติอสุรา นิรยอสุรา

.....เทวอสุรา มี ๖ จำพวก คือ
๑.เวปจิตติอสุรา
๒.สุพลิอสุรา
๓.ราหุอสุรา
๔.ปหารอสุรา
๕.สัมพรตีอสุรา
๖.วินิปาติกอสุรา

.....๕ จำพวกแรก  เป็นปฏิปักษ์ต่อเทวดาชั้นตาวติงสา   อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ   สงเคราะห์   เข้าในจำพวกเทวดาชั้นตาวติงสา ส่วนวินิปาติกอสุรา  มีรูปร่างสัณฐานเล็กกว่า   และอำนาจก็น้อยกว่าเทวดาชั้นตาวติงสา   เที่ยวอาศัยอยู่ในมนุษย์โลกทั่วไป เช่น ตามป่า ตามเขา ตามต้นไม้ และศาลที่เขาปลูกไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของ ภุมมัฏฐเทวดาทั้งหลาย    แต่เป็นเพียงบริวารของภุมมัฏฐเทวดาเท่านั้น สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดาชั้นจาตุมหาชิกา

-เปตติอสุรา มี ๓ จำพวก คือ กาลกัญจิกเปรตอสุรา ๒.เวมานิกเปรตอสุรา ๓.อาวุธิกเปรตอสุรา เป็นเปรตที่ประหัตประหารกันและกันด้วยอาวุธต่าง ๆ

-นิรยอสุรา เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกโลกันตร์ นรกโลกันตร์ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้ง ๓ อสุรกายนี้หมายเอาเฉพาะกาลกัญจิกเปรตอสุรกายเท่านั้น อายุ และ บุพกรรม เช่นเดียวกับเปรต

*** ๔.มหานรก ๘ ขุม *** 
(แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์)

.....มหานรก ขุมที่ ๑ คือ สัญชีวนรก นรกที่สัตว์นรกไม่มีวันตาย อายุ ๕๐๐ ปี อายุกัป (๑ วันนรก = ๙ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตไม่บริสุทธิ์ หยาบช้า ลามก ก่อกรรมทำเข็ญ เช่นฆ่าเนื้อ เบื่อสัตว์ เบียดเบียนบุคคลที่ต่ำกว่าตน โดยความไม่เป็นธรรมให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นนิจ ฯลฯ

.....มหานรก ขุมที่ ๒ คือ กาฬสุตตนรก นรกที่ลงโทษด้วยเส้นเชือกดำ แล้วก็ถากหรือตัดด้วยเครื่องประหาร อายุ ๑,๐๐๐ ปี อายุกัป (๑ วันนรก = ๓๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ทำการทรมารสัตว์ด้วยการตัดเท้า หู ปาก จมูก ฯลฯ ทำร้ายบิดามารดา ครู อาจารย์ ฯลฯ เบียดเบียนหรือฆ่าภิกษุ สามเณร ดาบส หรือเป็นเพชฌฆาต

.....มหานรก ขุมที่ ๓ คือ สังฆาฏนรก นรกที่มีภูเขาเหล็กใหญ่มีไฟลุกโพลงบดขยี้สัตว์นรก อายุ ๒,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหยาบช้าด้วยใจอกุศลกรรม ไร้ความเมตตากรุณา ทำทารุณกรรมสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นประจำ หรือบุคคลที่ทรมานเบียดเบียนสัตว์ที่ตนใช้ประโยชน์ และพวกนายพราน

.....มหานรก ขุมที่ ๔ คือ โรรุวนนรก (ธูมโวรุว หรือจูฬโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังของสัตว์นรกที่ถูกควันไฟอบอ้าว อายุ ๔,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑วันนรก = ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ มีใจบาปเผาสัตว์ทั้งเป็น ตัดสินความไม่ยุติธรรม รุกที่ดิน เอาสาธารณสมบัติมาเป็นของตน กินเหล้าเมา ประทุษร้ายผู้อื่น ชาวประมง คนที่เผาป่าที่สัตว์อาศัยอยู่

.....มหานรก ขุมที่ ๕ คือ มหาโรรุวนรก (ชาลโรรุว) นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญครางดังกว่า โรรุ-วนรก อายุ ๘,๐๐๐ ปีอายุกัป ( ๑ วันนรก = ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาป ตัดคอสัตว์และมนุษย์ ฆ่าสัตว์ด้วยความโกรธ ปล้น โขมยทรัพย์สมบัติของบิดามารดา ครูอาจารย์ และของศาสนา เช่น ของภิกษุ สามเณร ดาบส แม่ชี และสิ่งของเครื่องสักการะ ที่เขาบูชาพระรัตนตรัย ปล้นโกงเอาของคนอื่นมาเป็นของตน

.....มหานรก ขุมที่ ๖ คือ ตาปนนรก (จูฬตาปน) นรกที่ทำให้สัตว์เร่าร้อน ด้วยการให้นั่งตรึงติดอยู่ในหลาวเหล็กอันร้อนแดง แล้วให้ไฟไหม้อยู่ อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก = ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์เป็นคนใจบาป ประกอบกรรมด้วย โลภะโทสะ โมหะ เช่น ฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ และคนที่เผาบ้าน เมือง กุฏิ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ปราสาท ทำลายเจดีย์

.....มหานรก ขุมที่ ๗ คือ มหาตาปนนรก (ปตาปน) นรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างมากมายเหลือปราะมาณ อายุ ครึ่งอันตรกัปของมนุษย์ บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีใจบาปหนาได้ด้วยอกุศลมลทิน เช่น ประหารคนหรือประหารสัตว์ให้ตายเป็นหมู่มาก ๆ ไม่คำนึงถึงชีวิตเขาชีวิตท่าน และคนที่มีอุจเฉททิฏฐิ สัสสตทิฏฐิ นัตถิกทิฏฐิ อเหตกทิฏฐิ และอกิริยทิฏฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง

.....มหานรก ขุมที่ ๘ คือ อเวจีนรก นรกที่ปราศจากคลื่นคือความบางเบาแห่งความทุกข์ อายุ ประมาณ ๑ อันตรกัปของมนุษย์ บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ได้ทำอนันตริยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ฆ่ามารดา บิดา พระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกกัน และบุคคลที่ทำร้ายพุทธเจดีย์ พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้โดยจิตคิดประทุษร้าย บุคคลที่ติเตียนพระอริยบุคคลพระสงฆ์ผู้มีคุณแก่ตน ผู้ที่ยึดถือนิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓

*** อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม ***
(อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๕ ของมหานรกแต่ละขุม)

.....อุสสทนรก ขุมที่ ๑ คือ คูถนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุขเวทนาอยู่ในนรกอุจจาระเน่า โดยถูกหนอนกัดกินทั้งเนื้อ และกระดูกตลอดจนอวัยวะภายในทั้งหมด จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

.....อุสสทนรก ขุมที่ ๒ คือ กุกกุฬนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุขเวทนา โดยถูกเผาด้วยขี้เถ้าร้อนระอุ ร่างกายไหม้ยับย่อยละเอียดเป็นจุณ จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

.....อุสสทนรก ขุมที่ ๓ คือ สิมปลิวนนรก สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีเศษอกุศลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้ว ก็ยังไม่หลุดพ้น ยังต้องเสวยทุกข์จากนรกป่าไม้งิ้วต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

.....อุสสทนรก ขุมที่ ๔ คือ อสิปัตตวนนรก สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกข์จากป่าไม้ใบดาบ เช่น ใบมะม่วงซึ่งกลายเป็นหอกดาบ และมีสุนัข แร้งคอยทรมานขบกัดกินเลือดเนื้อ จนกว่าจะสิ้นกรรม

.....อุสสทนรก ขุมที่ ๕ คือ เวตรณีนรก สัตว์นรกที่เกิดมาได้รับทุกข์จากน้ำเค็มแสบที่มีเครือหวายหนามเหล็ก ใบกลีบบัวหลวงเหล็กตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งคมเป็นกรด มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน

*** ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม ***
(อยู่รอบ ๔ ทิศ ๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม)

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๑ คือโลหกุมภีนรก เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา สัตว์ที่มาเกิดต้องรับทุกข์ ทั้งแสบทั้งร้อน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ถูกต้มเคี่ยวในหม้อเหล็กนรกนั้น จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้ทำมา บุพกรรม เช่นจับสัตว์เป็น ๆมาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๒ คือ สิมพลีนรก เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิด ต้องรับทุกข์ทรมานจนสิ้นกรรมชั่วของตน บุพกรรม เช่น คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเพณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น หญิงเป็นชู้สามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่น มักมากในกามคุณ

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๓ คือ อสินขะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้ เหมือนคนบ้าวิกลจริตบ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม เช่น เมื่อเป็นมนุษย์ชอบลักเล็กโขมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะ และของที่เขาถวายแด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๔ คือ ตามโพทะนรก มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆ เป็นคนใจอ่อน มัวเมาประมาท ดื่มกินสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าเป็นเนืองนิจ

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๕ คือ อโยคุฬะนรก เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม เช่น แสดงตนว่าเป็นคนใจบุญใจกุศล เรื่อไรทรัพย์ว่าจะนำไปทำบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทำบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน การกุศลก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ หลอกลวงผู้อื่น

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๖ คือ ปิสสกปัพพตะนรก มีภูเขาใหญ่ ๔ ทิศเคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิด ให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียด จนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนสิ้นกรรมของตน บุพกรรม เช่น เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราษฏร ทำร้ายร่างกาย เอาทรัพย์เขามาให้เกินพิกัดอัตราที่กฏหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๗ คือ ธุสะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดมีความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดก็ดื่มกินเข้าไป อำนาจของกรรมบันดาลให้น้ำนั้นกลายเป็นแกลบ เป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและไส้ เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทำมา บุพกรรม เช่น คดโกง ไม่มีความซื่อสัตย์ ปน ปลอมแปลงอาหาร และเครื่องใช้แล้วหลอกขายผู้อื่น ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๘ คือ สีตโลสิตะนรก เต็มไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตาย ฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกเรื่อยไป จนสิ้นกรรมชั่วของตน บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงไปในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆ ทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์และตายเพราะน้ำ

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๙ คือ สุนขะนรก เต็มไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ จำพวกคือ หมานรกดำ หมานรกขาว หมานรกเหลือง หมานรกแดง หมานรกต่างๆ และยังมีฝูงแร้ง กา นกตะกรุม สัตว์นรกที่มาเกิดจะถุกสุนัข แร้งกา ไล่ขบกัดตรงลูกตา ปากและส่วนต่าง ๆ ได้รับทุขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต บุพกรรม คือ ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย พี่ชายพี่สาว และญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ตลอดจนพระภิกษุ สามเณร

.....ยมโลกนรก ขุมที่ ๑๐ คือ ยันตปาสาณะนรก มีภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน บุพกรรม เช่น เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้า ด่าตีคู่ครองด้วยความโกรธ แล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ

*** โลกันตร์นรก ๑ ขุม ***

.....เป็นนรกขุมใหญ่ อยู่นอกจักรวาล มืดมนไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไรเลย   และเต็มไปด้วยทะเลน้ำกรดเย็น ที่ตั้งอยู่ระหว่าง โลกจักรวาล ๓ โลก   เหมือนกับวงกลม ๓ วงติดกัน   คือบริเวณช่องว่างของวงทั้ง ๓   สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุขเวทนาเป็นเวลา ๑ พุทธันดร  จากผลกรรมชั่ว   เช่น ทรมานประทุษร้ายต่อ บิดามารดา และผู้ทรงศีล ทรงธรรมหรือทำปาณาติบาต เป็นอาจิณ ฆ่าตัวตาย เป็นต้น

: ขออนุญาติจบเรื่อง "วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ" ไว้เพียงเท่านี :
สรุปว่า...โลกเบื้องสูงคือพรหมโลก ๒๐ ภูมิ
(รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔)  
โลกเบื้องกลางคือสวรรค์ ๖ ภูมิ มนุษย์ ๑ ภูมิ (รวมเป็น ๗ ภูมิ) 
โลกเบื้องต่ำคืออบายภูมิ ๔
(๑.เดรัจฉาน ๒.เปรต ๓.อสุรกาย ๔.สัตว์นรก)  ครบ ๓๑ ภูมิพอดี
 
: หมายเหตุจาก...ผู้โพสต์  เมื่อท่านทั้งหลายได้ทราบแล้วว่า
บุคคลที่ยังไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  จะต้องเวียนว่ายตายเกิด
วนไปวนมาอยู่ในวัฏสงสาร มหาสังสารวัฏ  ๓๑  ภูมินี้อยู่ อย่างหา
ที่สุดที่ประมาณไม่ได้  น่าจะเบื่อหน่าย  การเกิด การตาย  กันได้แล้ว 
ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานตั้งใจเข้าถีงซึ่ง "พระนิพพาน"  ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...
( รู้ลม  อานาปานุสติ  รู้ตาย  มรณานุสติ  รู้นิพพาน  อุปสมานุสติ )