วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2564

#พุทโธดูจิต(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ)

#ธรรมชาติของจิตจะไปหยุดนิ่งอยู่นานๆไม่ได้ 

เดี๋ยวมันก็คิด ในช่วงนั้นถ้าเกิดความคิดขึ้นมาปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติตามรู้ สิ่งที่มันคิดนั้นจะเป็นอะไรก็ได้

เรื่องครอบครัว เรื่องการเรื่องงาน เรื่องผู้เรื่องคน จิปาถะสารพัดที่จะคิดขึ้นมา เมื่อมันคิดขึ้นมาอย่างนั้น ปล่อยให้คิดไป 

#แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ รู้ รู้ 

เป็นการส่งเสริมให้จิตของเรามีพลังเข้มแข้ง เพราะความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิตให้เกิดสติปัญญาจินตามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นได้จากความคิด เมื่อจิตมีความคิด สติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะจิต ความคิดสะเปะสะปะเหลวไหลนั่นแหละจะกลายเป็นปัญญาในสมาธิ เพราะจิตของเราคิดแล้วจะรู้สึกแต่เพียงสักแต่ว่าคิด คิดแล้วก็ปล่อยวางไป ๆ

          เมื่อสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้นกลายเป็นปัญญา 

เมื่อมีปัญญาก็สามารถกำหนดหมายรู้ความคิดว่า 
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา 
แล้วก็รู้พระไตรลักษณ์ขึ้นมา 
ก็กลายเป็นปัญญาในขั้นวิปัสสนาเท่านั้นเอง 

เพราะฉะนั้น จะไปข้องใจสงสัยอยู่ทำไมหนอรีบเร่ง

#บำเพ็ญภาวนาให้มากๆให้ได้สมาธิเป็นเบื้องต้น

          ทีนี้ถ้าหากว่าท่านผู้ใดขี้เกียจ หรือไม่มีอะไรจะคิด ก็ให้กำหนดจิตรู้ที่จิตเฉย ๆ ถ้าจิตว่างรู้ที่ความว่าง ถ้าจิตคิดรู้ที่ความคิด ว่างรู้ที่ความว่าง คิดรู้ที่ความคิด ไล่ตามกันไปอย่างนี้ เมื่อเราฝึกหัดจนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ ทีหลังเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้อารมณ์จิตหรือความคิด สติก็ทำหน้าที่ตามรู้คอยควบคุม เมื่อมีสติสัมปชัญญะ จิตของเราก็รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก มันจะรู้ของมันขึ้นมาเอง

          เมื่อพิจารณาไปพอสมควรแล้ว บางครั้งจิตอาจจะสงบลงในท่ามกลางแห่งภาวนา แล้วก็หยุดพิจารณา เมื่อมันหยุดพิจารณา ไปนิ่ง รู้เฉยอยู่ 

#ให้กำหนดตัวผู้รู้ #ในขณะกำหนดตัวผู้รู้ 
#จิตจะหยุดนิ่งอยู่ #ก็กำหนดรู้อยู่อย่างนั้นแหละ 

อย่าไปรบกวน น้ำใจกำลังจะนิ่ง ในเมื่อน้ำใจนิ่ง ไม่มีคลื่นไม่มีฟอง ไม่มีอารมณ์มารบกวน เราก็จะสามารถเห็นจิตเห็นใจของเราได้ทะลุปรุโปร่ง 

เหมือน ๆ กับน้ำทะเลที่มันนิ่ง เราสามารถมองเห็น เต่า ปลา กรวด ทราย สาหร่าย อยู่ใต้น้ำได้ถนัด ฉันใด ในเมื่อจิตของเรานิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน 

#เราก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ 
#ในจิตของเราได้อย่างชัดเจน 
#อะไรผุดขึ้นมาจิตจะกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ

ไม่มีใครทำกรรมที่จะได้ครบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องคู่

ไม่มีใครทำกรรมที่จะได้ครบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องคู่
ทุกคู่
จะต้องมีอะไรสักข้อหนึ่ง
หรือหลายๆข้อ 
ที่ไม่ได้อย่างใจเสมอ
คือ ได้บางอย่างที่เราพอใจ 
แล้วก็ไม่ได้บางอย่างที่เราต้องการ
ต้องมีอะไรขาดไปสักอย่าง
นี่คือธรรมชาติของทุกคู่

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..  

หลายๆคู่บอกว่าไม่มีปัญหา
แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีปัญหาจริงๆ

แค่เขามีปัญหาแล้วเขาไม่พูด
หรือเขามีปัญหา แต่เขาไม่ติดใจ
เพราะว่า เขาเอาใจ
ไปผูกไว้กับสิ่งที่เขาต้องการ
เขาได้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว
ส่วนที่ขาดไป 
อะไรที่ไม่เพอร์เฟกต์สมบูรณ์แบบ
เขาไม่ไปสนใจตรงนั้น
เขาจบ เขาพอ ก็เลยไม่พูด

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..  

คู่ดี ไม่ใช่มีโดยบังเอิญ

ความเอาแต่อยากได้อะไรดีๆ
ไม่อาจสร้างคู่ดีขึ้นมาได้
ถ้าไม่ศรัทธาอะไรดีๆร่วมกัน
ก็ไม่พ้นต้องผิดศีลผิดธรรม
จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

คู่ดี เริ่มส่อแววเป็นจริงจากตัวเอง
อยากมีน้ำใจให้คนรอบตัว
ไม่ใช่เล็งมีน้ำใจให้เฉพาะคนที่ตัวเองรัก
เพราะน้ำใจที่เล็งรินให้เฉพาะคน
มักเป็นน้ำใจที่มีรสเค็ม
ไม่บริสุทธิ์สดชื่น อีกทั้งเหือดแห้งง่าย
แค่ไม่ได้อะไรตอบแทนดังใจ

คู่ที่ได้ครบจริงๆนั้น 
คือคู่ที่พอใจที่จะมองแง่ดีของกันและกัน
ไม่ใส่ใจกับแง่ไม่ดี ที่ไม่ได้อย่างใจ
แล้วก็มีแก่ใจ
อยากเอาใจกันและกัน
อันนี้คือได้ครบจริง!

________________

สิ่งที่เรียกว่ามหาทาน การให้ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องใช้เงิน

'' สิ่งที่เรียกว่ามหาทาน การให้ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องใช้เงิน''
การให้ที่ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้เงินนะ บางคนเคยได้ยินได้ฟังมาการถวายมหาทานที่ยิ่งใหญ่นี่ต้องทำบุญทีละมากๆ บริจาคเงินมากๆ เลี้ยงพระเยอะๆ ข้าวของเครื่องใช้ ข้าวปลาอาหาร สังฆทานจัดเต็ม 

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า สิ่งที่เรียกว่า มหาทาน 
ก็คือ การรักษาศีล คือ มีความเป็นปกติของกาย 
วาจา ใจ งดเว้นจากการเบียดเบียน ไม่ทำให้ตนเอง
และ ผู้อื่นเดือดร้อน ให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัยกับใคร พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นมหาทาน เป็นการให้
ทานที่ยิ่งใหญ่ทำไมถึงเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ 
ไม่ต้องเสียเงินสักบาทเลย ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไร
มากมายเลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น 

เราท่านทั้งหลาย ถ้าคนบนโลกใบนี้ คนทั้งโลกเลยนะ
ไม่ทำร้ายกัน ไม่ด่ากัน ไม่คิดไม่ดีต่อกัน 
ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำให้ตนเอง และ ผู้อื่นเดือดร้อน ท่านทั้งหลายคิดว่าโลกจะสงบสุขใหม หมู ไก่ ปลา วัว ควาย สัตว์ทั้งหลาย มีความสุขไหม เมื่อทุกคนไม่เบียดเบียนกัน 
ท่านทั้งหลาย ลองมองดูแค่ตัวเราเองนะ 
เริ่มจากตัวของเราเองก่อน
ถ้าเรา ไม่ฆ่าสัตว์ 
ไม่ลักทรัพย์ 
ไม่ ผิดลูก ผิดเมีย แย่งคู่ครองคนรักผู้อื่น
ไม่พูดโกหก หลอกลวง
ไม่ดื่มสิ่งของมึนเมา ทำให้ขาดสติ
ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่พูดว่าร้ายผู้อื่น ไม่คิดไม่ดีกับผู้อื่น 
ไม่ทำให้ตนเอง และ ผู้อื่นเดือดร้อน 
ไม่ได้สร้างเวร สร้างกรรมกับใครเลย 
ต่อไป เราจะมีปัญหากับใครใหม 
ตัวเราเองจะมีความสุขใหม แน่นอน มีความสุข 
ศีลจะเป็นเกราะ คุ้มครองเรา ไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว
เหมือนชุดเกราะ ที่มีแรงสะท้อน ที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุด
วิบากกรรมก็ไม่มี

ดั่งคำสอนของพระอริยสงฆ์สายพระอาจารย์มั่นทั้งหลาย
ท่านสอนว่า เมื่อเรารักษาศีล ศีลก็จะรักษาเรา 
บุคคลใดที่มีศีลบริสุทธิ์ ย่อมเป็นที่รักของ 
สัตว์ คน เทวดา พรหม ทั้งหลาย 
คนที่ไม่มีศีลเป็นยังไง คนแบบนี้ไม่รู้จัก บาปบุญนะ 
คิดว่าข้านี้ เกิดหนเดียว ตายหนเดียว 
ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ลักขโมย 
อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน 
พูดโกหก หลอกลวงผู้อื่น 
เมาขาดสติ เดือดร้อนอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน 
ไม่เดือดร้อนกาย ก็เดือดร้อนใจ เหมือนถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา สร้างเวร สร้างกรรม ทำให้ตนเอง และ ผู้อื่นเดือดร้อน ทั้งทางกาย วาจา ใจ 

พระพุทธเจ้าจึงยกย่องว่า การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ 
เป็นมหาทาน เป็นการให้ทานอันยิ่งใหญ่ ให้ความไม่มีเวร ให้ความไม่มีภัย แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีประมาณ 
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การให้อภัย ชนะการให้ทั้งปวง พึงชนะความโกรธ ด้วยการไม่โกรธ พึงจะงับเวรด้วยการไม่จองเวร 

เราไม่สามารถเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงคนทั้งโลกได้
แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวของเราเองได้ 
ตั้งแต่วันนี้ จงมีศีลธรรม ประจำใจ ไม่ทำให้ตนเอง 
และ ผู้อื่นเดือดร้อน 

ผู้มีปัญญาจะเห็นว่าชีวิตของเราในชาตินี้
มีสุขก็เพระเหตุแห่งความดี ทาน ศีล ภาวนา 
ที่เราได้ทำมา เราจะสร้างเหตุทั้ง 3 อย่างนี้
ให้ดียิ่งๆขึ้นไป 

ถ้าเรามีทุกข์ก็เพระเราสร้างเหตุที่ไม่ดีมา
เรายอมรับและจะสร้างเหตุแห่งความดี
เป็นทุนไว้เราจะได้ไม่ต้องมาทุกข์อีกแล้ว

โลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญกฎแห่งกรรมก็คือกฎของธรรมชาติ
เหมือนกระจกสะท้อนทำสิ่งใดไว้ย่อมได้รับผลแน่นอน
#ใครจะใหญ่เกินกรรม

ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ

“ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นของหยาบไปด้วย เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็นของสะอาดสวยงามเพียงไร ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวดโลกให้เขารับนับถือ ซึ่งทั้งสองนี้ไม่มีผลดีต่างกันเลย คนที่มีใจหยาบกระด้างต่อศาสนาก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน จึงไม่มีทางได้รับประโยชน์จากศาสนธรรม แม้เป็นของวิเศษเพียงไรเท่าที่ควร เอาแต่ชื่อออกประกาศกันว่าตนนับถือศาสนา แต่ไม่ทราบว่าศาสนาคืออะไร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้นับถืออย่างไรบ้าง ถ้าประสงค์อยากทราบข้อเท็จจริงจากศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว ตนกับศาสนาก็เป็นอันเดียวกัน ความสุขทุกข์ที่เกิดกับตนย่อมกระเทือนถึงศาสนาด้วย ความประพฤติดีชั่วก็กระเทือนถึงศาสนาเช่นกัน คำว่าศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล จะเป็นอื่นมาจากไหน ถ้าคิดว่าศาสนาอยู่ที่อื่นนอกจากตัว ก็ชื่อว่าเข้าใจศาสนาผิดจากความจริง...”

พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)
จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่

หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ 
หลวงปู่เกิดวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2422 โยมบิดาชื่อ แจ้ โยมมารดาชื่อ อินทร์ พอหลวงปู่ทิมท่านอายุได้ 17 ปี โยมบิดาก็ได้นำตัวไปฝากกับท่านพ่อสิงห์ ที่วัดได้เล่าเรียนหนังสือกับพ่อท่านสิงห์เป็นเวลาหนึ่งปี ก็สามารถเรียนรู้เข้าใจอ่านออกเขียนได้ แล้วโยมบิดาจึงมาขอลาหลวงปู่ทิมให้กลับมาช่วยทำงานที่บ้าน พออายุครบบวชหลวงปู่ทิมท่านจึงได้อุปสมบท ในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2449 ที่ วัดระหารไร่ โดยมีพระครูขาว วัดทิมมา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์เกตุเป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อท่านบวชแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัด 1 พรรษา จึงได้ขออนุญาตพระอาจารย์ออกธุดงค์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา 3 ปี พอใกล้เข้าพรรษาท่านก็ได้กลับมาที่วัด ตลอดเวลาที่หลวงปู่ทิมท่านธุดงค์ไปนั้น ท่านก็ได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆ ทั้งกับพระภิกษุและกับฆราวาส อีกทั้งยังได้ศึกษาตำราของหลวงปู่เฒ่าสังข์ ซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของท่าน ซึ่งเป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองเวทวิทยาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้นต่อมาเมื่อ หลวงปู่ทิม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดระหารไร่ ท่านก็ได้ซ่อมแซมกุฏิและอื่นๆ อีกหลายอย่าง ด้วยความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อท่าน เมื่อท่านดำริว่าจะก่อสร้างพระอุโบสถก็สามารถสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยในระยะ เวลาเพียงหนึ่งปีเศษ ต่อมาท่านก็ได้ก่อสร้างโรงเรียนประชาบาล โดยมีทางอำเภอและจังหวัดมาช่วย ใช้เวลาเพียง 8 เดือนก็แล้วเสร็จ สามารถเปิดให้นักเรียนได้เข้าเรียนได้ และท่านก็ยังชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง งานทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ เนื่องจากความเคารพเลื่อมใสของญาติโยมและชาวบ้านที่มีต่อหลวงปู่ทิม ประวัติพระกริ่งชินบัญชร หลวงปู่ทิมพิมพ์เศียรโต คาถาพระเครื่องหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ คาถาขุนแผนหลวงปู่ทิม

หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ท่านเป็นพระสมภะ ไม่ยินดียินร้ายกับลาภยศสรรเสริญ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวนเมื่อปี พ.ศ. 2478 ท่านก็ไม่ได้บอกใครและไม่ได้ไปรับจนทางจังหวัดได้มอบตราตั้งให้ทางอำเภอนำมา มอบให้ท่านที่วัด และเป็นพระครูทิม อิสริโก อยู่มาจนถึงปี พ.ศ. 2497 ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตร ท่านก็ไม่ยอมบอกใคร จนทางอำเภอได้ส่งหนังสือไปที่วัด ชาวบ้านจึงได้รู้กันและได้จัดขบวนแห่มารับท่านไปรับสัญญาบัตรพัดยศ ที่เจ้าคณะจังหวัด และได้เป็นพระครูภาวนาภิรัต เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2507

เมื่อหลวงปู่ทิม ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์ พระครูภาวนาภิรัต แล้วบรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้ประชุมกัน ขออนุญาตหลวงปู่ทิม จัดงานฉลองสมณศักดิ์ให้กับท่าน เพื่อให้ญาติโยมได้มีโอกาสแสดงความยินดีและแสดงความกตัญญูกตเวทิตา ที่ หลวงปู่ทิมท่านได้มีเมตตาต่อเหล่าลูกศิษย์ หลวงปู่ทิมจึงขัดไม่ได้ นายสาย แก้วสว่าง ในฐานะไวยาวัจกรและศิษย์ใกล้ชิดจึงได้นัดประชุมกรรมการและชาวบ้าน ปรึกษากันว่าจะจัดฉลองสมณศักดิ์และเพื่อหารายได้สบทบทุนในการก่อสร้างกุฏิ และบูรณะซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดในครั้งนี้ โดยจะขออนุญาต หลวงปู่ทิมเพื่อจัดทำเหรียญรูปเหมือนของท่าน เอาไว้แจกแก่พวกญาติโยมและศิษย์ทั้งหลาย เพื่อเป็นที่ระลึกในการร่วมกันทำบุญในงานวันฉลองสมณศักดิ์ของท่าน เพราะใครๆ ก็ย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมพระวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระมักน้อยสมถะ ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น 

หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ท่านฉันอาหารเพียงมื้อเดียวเท่านั้น และเป็นอาหารมังสวิรัติ หลวงปู่ทิม ท่านไม่ฉันพวกเนื้อสัตว์ แม้ในยามปัจฉิมวัยที่ท่านอาพาธท่านก็ยังปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย เคร่งครัดรักษาศีล ยึดมั่นพระธรรมวินัย เท่าที่สังเกตดูปรากฎว่า ท่านจะฉันเช้าประมาณ 7 โมงเช้า และฉันน้ำชาเวลา 4 โมงเย็น ถ้าเลยเวลาแล้วหลวงปู่จะไม่ยอมฉันเป็นเด็ดขาด แม้แต่น้ำชา ท่านฉันมื้อเดียวมาตลอด 50 ปีแล้ว โดยที่ไม่มีอาหารพวกเนื้อหมู เป็ด ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิดเลย แม้แต่น้ำปลาก็ไม่เคยฉัน อาหารที่หลวงปู่ทิม ท่านฉันก็เป็นพวกผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่น เป็นประจำอยู่เป็นนิจตลอดมา เนื้อหนังมังสาและผิวพรรณของท่านก็คงเป็นปกติอยู่ตามเดิม พละกำลังของ หลวงปู่ทิมท่านก็แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะอำนาจบารมีของท่านที่เคยได้สร้างสมมาในชาติปางก่อน จึงทำให้ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดและบริสุทธิ์ในธรรมวินัย ดำรงชีวิตมาได้อย่างแข็งแรงและสมบูรณ์ หลวงปู่ทิม ท่านยังแข็งแรงสมบูรณ์ เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก ท่านสายตาดีมากยังมองอะไรได้ชัดเจนดี ฟันก็ไม่เคยหักแม้แต่ซี่เดียว ถึงแม้ว่าอายุของท่านเกือบจะ 100 ปีแล้วก็ตาม จนท่านมรณภาพลงด้วยอาการสงบ ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2518 หน้าหอสวดมนต์ วัดระหารไร่ สิริอายุได้ 96 ปี พรรษาที่ 69

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2564

หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าเรื่อง "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" กลับมาเกิดเป็น "พระมหากษัตริย์ไทย" สู้รบกับความยากจน

หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าเรื่อง "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" กลับมาเกิดเป็น "พระมหากษัตริย์ไทย" สู้รบกับความยากจน
"ยามประเทศชาติมีภัย พระองค์ก็ทรงรบกับข้าศึก"
"ยามประเทศชาติสงบศึก พระองค์ก็ทรงรบกับความยากจน"
... จากหนังสือหลวงพ่อธุดงค์ ตอนฝึกอตีตังสญาณ ที่ป่าศรีประจันต์ ตอนที่ ๑ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่หลวงพ่อฤาษีท่านฝึกธุดงค์ใหม่ๆ และผ่านไปที่ป่าศรีประจันต์ ในการฝึกธุดงค์ของหลวงพ่อฤาษีนี้ท่านฝึกแบบอุกฤษฏ์คืออยู่ในป่าลึกบิณฑบาตรกับเทวดา และหลวงพ่อปานพระอาจารย์ของท่านสั่งให้หลวงพ่อฤาษีท่านฝึก อตีตังสญาณของสถานที่และบุคคลต่างๆที่เดินทางผ่านไปด้วย คือต้องรู้เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาของบุคคลและสถานที่ และสถานที่ที่หลวงพ่อไปผ่านก็คือ ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีดอนเจดีย์ตั้งอยู่ด้วย และหลวงพ่อปานสั่งมาว่า

"เธอจะไปที่ไหนก็ตาม ไปพักที่ไหนก็ตาม ต้องรู้อดีตของที่นั่น"

 เป็นบุญของคนไทย!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่า "พระนเรศวรมหาราช" กลับมาเกิดเป็น "พระมหากษัตริย์ไทย" สู้รบกับความยากจนของคนทั้งแผ่นดิน !!
นอกจากนี้หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเล่าให้ฟังว่ามีเทวดามาเล่าให้ท่านฟังว่า

"พระนเรศวรมหาราช" กลับมาเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ไทย มีหน้าที่รบกับความยากจนให้คนทั้งประเทศ

       เมื่อฟังไปแล้วก็คิดว่า เอ๊ะ นี่เราได้ความรู้จากเทวดา เราคิดกันมานานแล้วว่า ถ้านักรบต้องตกนรก นี่ไม่ใช่เสียแล้ว เทวดาพูด เราต้องเชื่อ ถ้าใครจะไม่เชื่อ ก็เชิญไปซักเทวดาที่ศรีประจันต์ก็แล้วกัน ข้างๆ กับดอนเจดีย์ เลยถามไปนิดว่า ขอต่ออีกหน่อยได้ไหม ท่านถามว่า ต่ออะไร อยากจะถามว่า พระนเรศวรมหาราชทรงสวรรคตแล้ว ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน

ท่านตอบทันทีเลยว่า

"นักรบไปอยู่ชั้นจาตุมหาราชเป็นนายของพวกผม"

ถามว่า "เวลานี้พระนเรศวรมหาราชอยู่ทิศไหน"

ท่านบอกว่า "เวลานี้พระนเรศวรมหาราชเกิดเป็นคนแล้ว และอยู่ในประเทศด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย"

จึงถามท่านว่า "พระนเรศวรมหาราชเป็นคนไทย หรือเป็นคนแขก หรือเป็นคนลาว หรือเป็นฝรั่ง"

ท่านบอกว่า "เป็นคนไทยที่เกิดในเมืองฝรั่ง และในกาลต่อไปข้างหน้าวาระเข้ามาถึง พระนเรศวรมหาราชจะเข้ามาครองประเทศไทยในฐานะเป็น พระมหากษัตริย์"

บรรดาท่านพุทธบริษัทอ่านเรื่องนี้แล้ว ทิ้งไว้ก่อนนะอย่าเชื่อนะอย่าไปเชื่อ ถ้าจะเชื่อก็ถามท่านผู้รู้จริงๆ อันนี้เป็นการฟังจากภุมเทวดา ถามว่า

"เป็นกษัตริย์จะเป็นกษัตริย์นักรบไหม"

ท่านบอกว่า "ขึ้นชื่อว่า พระนเรศวร เกิดชาติไหน รบชาตินั้น แต่การรบตอนหลัง พระนเรศวรจะไม่มีเวลาพักผ่อน"

ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นกษัตริย์ก็จะรบเรื่อยไป จนกระทั่งยันวันตายเลย

บอกว่า "ถ้าอย่างนั้น คนไทยทั้งชาติไม่ต้องทำมาหากินกันละ ก็รบกันอย่างเดียว"

ภุมเทวดาท่านบอกว่า "ไม่ใช่ คนไทยทั้งชาติ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน แต่พระนเรศวรมหาราชจะตั้งหน้าตั้งตารบ"

ถามว่า "รบองค์เดียวหรือ"

ท่านบอกว่า "มีคู่หูรบ"

ถามว่า "รบกับอะไร รบกับใคร รบอย่างไร"

ท่านบอกว่า "รบกับความยากจนของคนทั้งชาตินั่นคือ พระนเรศวรมหาราชมีพระเมตตากรุณากับคนไทยมามาก"

สำหรับ พระนเรศวรมหาราชเป็นนักรบ เป็นนิสัย เกิดชาติไหน ก็ต้องรบชาตินั้น ในเมื่อเกิดชาติตอนหลังขึ้นมา โอกาสที่จะรบอย่างนั้นมันไม่มี เพราะว่า มีแม่ทัพ มีนายกอง มีรัฐบาลควบคุมงานการบริหาร รัฐบาลควบคุม พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องวางแผนรบกับความยากจนของบรรดาประชาชนชาวไทย

ถามท่านว่า "อีกกี่ปี จะถึงวาระที่พระนเรศวรมหาราชมาครองประเทศไทย"

ท่านบอกว่า "หากว่าท่านอยู่ไปไม่ตาย ไม่นานนักท่านก็มาครองประเทศไทยแน่"

เวลาที่ถาม เป็นสมัยของรัชกาลที่ ๘

 
ขอบคุณข้อมูลจาก : palungjit.org  จากหนังสือหลวงพ่อธุดงค์ ตอนฝึกอตีตังสญาณ ที่ป่าศรีประจันต์ ตอนที่ ๑ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

 #ข้าพระพุทธเจ้าน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

...

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2564

#ปัญญาบารมี

✴️ ปัญญาบารมีวันนี้ ท่านบอกว่า "ให้พูดเรื่องทุกข์ข้อเดียว" ถ้าพูดเรื่องทุกข์ข้อเดียวมันก็จบเเล้วนี่ จบไหม ท่านบอกว่า "คนเรานั่งอยู่ก็นั่งอยู่กับความทุกข์ กินอยู่ก็กินอยู่กับความทุกข์ นอนก็นอนกับความทุกข์ เดินไปเดินมาก็เดินกับความทุกข์" ใช่ไหม?

✴️ ไอ้ที่นั่งอยู่นี่มันเมื่อยไหม เมื่อย ทุกข์ ไอ้ที่เรานอนเพราะเมื่อย เราทุกข์จึงนอน ต้องการพักผ่อน นอนอยากจะให้หลับเร็ว ถ้ามันไม่หลับมันก็ทุกข์ ไอ้คนที่กินก็กินด้วยความทุกข์ ถ้ามันไม่หิวมันก็ไม่กิน ก่อนที่จะได้กินอาหารทั้งหมด ได้จากเเรงงานที่เป็นทุกข์ 

✴️ ความจริงได้เรียน"ทุกข์"ข้อเดียวได้ ก็ไม่ต้องเรียนอะไรกันอีก จบ! คนอื่นจบหรือไม่จบ ฉันจบ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะฉันเองเมื่อลาพุทธภูมิ พระพุทธเจ้าสอนทุกข์ตัวเดียวตั้งเเต่เวลา ๔ ทุ่มถึงตี ๒ ทุกคืน เเค่ทุกข์ตัวเดียว ท่านพูดทุกคืน เมื่อสอนทุกข์เต็มกำลังที่ท่านต้องการเเล้วท่านก็เลิก พอกลับมาอีกทีท่านบอกว่า "ไม่มีอะไรจะสอนอีกเเล้ว" เพราะ #คนเราถ้าเห็นทุกข์ก็ไม่มีความอยากจะเกิดเป็นคน! 

ที่มา

🖋️📚หนังสือพ่อสอนลูก เล่ม ๑ (๒๕๔๘) หน้า ๔๗๓-๔๗๔
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

จะเกิดเป็นเทวดาใหม่ หรือจะเป็นพรหมใหม่ นี่แสนยาก.

🙏..พระพุทธเจ้าบอกว่า..เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี จะเกิดเป็นเทวดาใหม่ หรือจะเป็นพรหมใหม่ นี่แสนยาก...หายาก จะมาค้างอยู่แค่มนุษย์...ก็แสนยากเหมือนกัน ส่วนมากลงอบายภูมิ เพราะว่าคนเราที่ไปเกิดเป็นเทวดา ด้วยอาศัยบุญเบื้องหลัง เกิดมาย่อมทำบาปด้วยกันทุกคน แต่หากก่อนตายเราสร้างความดี เราก็ไปเป็นเทวดาก่อน เป็นพรหมก่อน พอหมดจากวาสนาบารมี ก็ต้องไปใช้หนี้กรรม คืออกุศล ต้องลงอบายภูมิ...ใช่ไหมล่ะ ทีนี้ถ้าจะไป ก็อย่าไปมันเลย แค่เทวดากับพรหมน่ะ ดีไม่ดีมันจะป๋อม...ตกแค่ท้องหมา มันยังดีนะ มีข้าวกินนะ ถ้าลงนรกนี่มันแย่ กว่าจะมาใหม่.. 

🍀... สำหรับท่านโกฏอริยกะ เกิดเป็นหมาก็มีความรู้ภาษาคนดี ต่อมาเจ้านายมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้า อาศัยเธอเป็นสุนัขแสนรู้ เวลาที่ท่านเจ้าของไม่มีโอกาสที่จะไปรับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าตอนเช้ามาฉันที่บ้าน ก็ใช้สุนัขแสนรู้ตัวนี้ไปนิมนต์ แกไปถึงหน้าสำนักของท่าน ก็เห่าบ้าง หอนบ้าง เป็นสัญญาณว่ามารับแล้วก็เดินนำมา บางคราวพระปัจเจกพุทธเจ้าแกล้งทำเลยไปไม่เลี้ยวเข้าบ้าน แกก็ไปขวางหน้า ท่านก็แกล้งไปหยุด แกก็เอาปากดึงสบง ฉลาดเสียด้วยนา... 

🍀...อาศัยที่จิตใจของเธอมีความรักในพระ ตายไปเธอก็ได้เกิดเป็นเทวดา นี่เป็นอันว่าจิตใจของเรามีความสำคัญ ก่อนตายจิตใจของเราจับจุดไหน อย่านึกว่าความดีของเราไม่มี เราจะไปจับพระนิพพานได้ยังไง นิพพานนี้ไปไม่ยาก ไม่ต้องเสียสตางค์ ไปนรกซีต้องลงทุนมากกว่า ต้องลงทุนโกหกเขาอ ทำร้ายเขาสารพัด ไปสวรรค์ไปนิพพาน นอนในมุ้งเราก็ไปได้ นอนนึกถึงคุณของพ่อของแม่ นอนนึกว่าไอ้คนนั้นมันไม่มีข้าวจะกิน พรุ่งนี้จะเอาข้าวไปให้มันสักก้อนสองก้อน บ้านนั้นมันไม่มีสตางค์ใช้ เออ...มีสตางค์อยู่ ๒ บาท พรุ่งนี้เอาไปแบ่งให้สักสลึง ยังไม่ทันจะให้.....ตายเวลานั้น ไปสวรรค์เลย...เพราะจิตเป็นกุศล 

🍀...ถ้าเราอยากจะเป็นพรหม นอนภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ จับลมภาวนา นึกถึงทาน นึกถึงสศีลอะไรก็ช่าง จิตมันทรงอารมณ์ มีความชุ่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอิบ นึกถึงความดี ว่าภาวนา "พุท โธ" ถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ดี ธัมโมพระธรรมก็ดี สังโฆพระสงฆ์ก็ดี นึกถึงทานการบริจาค เป็นจาคานุสติกรรมฐาน ว่าวันนี้เราเห็นคนเขาหิวข้าว เห็นสัตว์ตัวผอมเดินกระย่องกระแย่ง เราให้ข้าวไปก้อนหนึ่ง เรามีความปรารถนาอย่างไร สัตว์ก็มีความปรารถนาอย่างนั้น จิตใจคิดอยู่แบบนี้ เพลินสบาย เสียงวิทยุในบ้านดังอ้าวๆ เด็กในบ้านทะเลาะกัน เราก็ไม่รำคาญ เราคิดเพลินอย่างนี้ อารมณ์เป็นปฐมฌาน คืนนั้นก็ตายก็ไป...เกิดเป็นพรหม...ง่ายนิดเดียว

💓...ถ้าเราอยากไปนิพพาน ก็คิดดูว่า..ตั้งแต่เช้ามาจนนอนนี่ โอ้โฮ...มันมีอะไรกันบ้างนี่ในวันนี้ เช้าตื่นขึ้นมา อุ๊!...ไม่ไหวแล้วที่ปากเลอะเทอะ ต้องไปแปรงฟัน ต้องไปล้างหน้า ต้องไปหุงข้าวหุงปลา อาหารก็จะกิน เดี๋ยวก็ถ่ายอุจจาระ เดี๋ยวก็ถ่ายปัสสาวะ ยุ่งกันไปหมด เฮ้ย!...เกิดมาเป็นคนนี่หาความสุขอะไรไม่ได้ จะดูคนไหนก็วุ่นวายไปด้วยการงาน ทำงานเกือบตาย สะสมทรัพย์สินไว้มากมาย สิ่งใดที่ปรารถนาก็พยายามไปหามา ในที่สุดต่างคนต่างตาย เมื่อต่างคนต่างตาย ทรัพย์สินที่เราหามาได้ มันก็ไม่เป็นของเรา ชาวบ้านเอาไปหมด แม้ร่างกายของเราก็เอาไปไม่ได้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า.."ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" นี่เป็นของจริง แล้วทำไมเราจึงเกิด เราเกิดเพราะว่าเราหลง หลงอยู่ในโลภะ ความโลภ ความโกรธ ความจริงคนทุกคนเกิดมาแล้วมันก็ทุกข์ เกิดมาแล้วมันก็ตาย คนทุกคนก็มีความปรารถนาดี ที่จะทำอะไรไปก็เพราะมีความปรารถนาดี เขาถึงทำอย่างนั้น แต่เราไม่ชอบใจ เราก็ไม่โกรธเขา ประการสุดท้ายเราก็เมาในชีวิต ชาวบ้านเขาตาย เราก็เห็นแต่เพียงว่าเขาตาย ไม่ได้คิดว่าเราจะตายบ้าง เป็นอันว่าเกิดมาเพราะอาศัยความชั่วในจิต คือ 

๑.ติดอยู่ในความรโลภ 

๒.ติดอยู่ในความโกรธ 

๓.ติดอยู่ในความหลง 

💓...ทีนี้เราไม่เอาละ เลิกเกิดมันเสียดีกว่า มีหน้าที่หากินโดยสุจริตก็ทำไปตามหน้าที่ จะมีรายได้มากเท่าไรไม่สำคัญ แต่เราไม่ทุจริต คิดว่าเมื่อเสียชีวิตยังมีอยู่ คนในปกครองยังมีอยู่ ต้องทำมาหากินยังชีพให้ทรงตัว เพื่อให้คนในปกครองมีความสุข ด้วยอามิส คือ ทรัพย์สินที่หามาได้ แต่ก็มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ทรัพย์สินที่หามาได้นี้...ช่างมัน...ตายแล้วจะไปอยู่กับใครก็ช่าง เราไม่สนใจกับมันอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับชีวิตเรา ถ้าใครเขาจะสร้างความโกรธความพยาบาทให้เกิดกับเรา เราก็ถือว่านั่นเป็นความบ้าของเขา เราไม่อยากจะโกรธ ไม่อยากพยาบาท ถ้าเขาไม่ดีเราไปพูดดีกับเขา เขาก็แสดงอาการโหดร้าย สร้างความสะเทือนใจให้เกิดเรา ก็ใช้อุเบกขาเสีย...วางเฉยเสีย ไม่ใช่เราโกรธ 

🔥...แต่เมื่อพูดแล้วเขาดีด้วยไม่ได้ เราก็ไม่พูด ทำใจให้สบาย ไม่ติดใจในเรื่องของความโกรธพยาบาท แต่ถ้าเราคิดดูว่าถ้าจะฆ่าคนนี้ ก็น่านึกดูว่า คนที่เราจะฆ่านะจะอยู่อีกสักกี่ปี ถ้าเราไม่ฆ่าเขาจะอยู่สัก ๕๐๐ ปีได้ไหม...ก็อยู่ไม่ได้ เราไม่ต้องฆ่าหรอก ความจริงไอ้คนจะตายน่ะนะ มันของไม่ยาก คนเกิดมาเท่าไหร่ มันก็ตายหมดเท่านั้นอยู่แล้ว...
.
.ที่มา
.
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✍จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม ๓ หน้า ๑๙๓-๑๙๕

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2564

9 สิ่งถ้าเข้าใจทุกข์จะน้อยลง

“ 9 สิ่งถ้าเข้าใจทุกข์จะน้อยลง 😊 “
1. มีเท่ากันทุกคน คือ “เวลา” 
ใช้ก็หมด ไม่ใช้ก็หมด

2. “ตายแน่นอน”อย่าไปอิจฉา
หรือสาปแช่งใครยังไงเขาก็ตาย 
เราก็ตายเช่นกัน

3. “ไม่พอใจ” ในตัวเอง 
มีเท่าไหร่ก็ไม่มีความสุข

4. “ความไม่มี” ไม่ทุกข์เท่า 
. . “ความอยากมี”

5. จะไม่เหนื่อยถ้าเป็นตัวเอง 
จะโคตรเหนื่อยถ้า
 ”พยายามเป็นเหมือนคนอื่น”

6. “อย่าบังคับใคร” เพราะใครก็
บังคับเราไม่ได้เช่นกัน สุดท้าย
เรามีทางเดินของตัวเอง

7. “ผลกรรม” ไม่ได้เกิดจากการ
จองเวรจองกรรม เมื่อถึงเวลา
เดี๋ยวกรรมจะทำงานเอง

8. “ไม่คาดหวัง” ก็จะไม่ผิดหวัง 
ใครวางได้ คนนั้นก็สุขก่อน

9. “ชีวิตที่ดีที่สุด” คือชีวิตที่เป็นแบบ
ของตัวเอง ไม่เปรียบเทียบ ไม่อิจฉา 
ปล่อยวางอดีต เลิกคาดหวังอนาคต 
ทำวันนี้ให้เต็มที่และดีที่สุดก็พอ...

.....................................................
สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ.
การให้ธรรมทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง
--------------------------------