วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ธรรมะเปิดโลก ตอนที่ 2 **วิธีการดับกิเลส**


ธรรมะเปิดโลก วันที่ 19 เมษายน 2558
ตอนที่ 2 **วิธีการดับกิเลส**

ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรม กลับมากับพวกเราทั้งหลาย ในข้อธรรม ::
- - - -
*การดับทุกข์ ต้องดับร่างกาย คือ ดับการเกิด*
การที่เราจะดับทุกข์ได้ เราต้องดับร่างกาย คือ ดับการเกิด.. ทุกข์ทั้งหลายก็จะไม่มี
และการที่เราจะดับทุกข์ได้ -- ต้องดับความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง
หากว่า เราดับสิ่งเหล่านี้ได้ เราก็จะสามารถดับการเกิดได้
ทีนี้เรามาดูกันว่า **การที่เราจะดับความรักได้** นั้น เราต้องทำยังไง
การที่เราจะดับความรักได้ เราต้องรู้ตามความเป็นจริง 
รู้เรื่องร่างกายของเรา- ร่างกายของผู้อื่น.. รู้ว่าเป็นแบบไหน
จงพิจารณาตามนี้เถิดลูก.. ร่างกายของเราก็ไม่เที่ยงแท้ ** 
เกิดมาแค่เวลาสั้นๆ ก็จะหมด ก็จะดับไป…
เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของตน คือ การสร้างคุณงามความดี > เพื่อให้ตนนั้นได้กำไรกลับไป
ร่างกายของเราก็ดี - ร่างกายของผู้อื่นก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มี 
ความทุกข์ / ความเร่าร้อน / ความไม่เที่ยงแท้ อยู่ในร่างกายนี้ 
ถึงแม้ว่าเราจะรัก จะยึดติดในร่างกายของตนเองมากขนาดไหน-- เมื่อครั้งถึงเวลามันก็จะเสื่อม สลายไป 
ถึงแม้ว่าจะรักในร่างกายของผู้อื่น จะรักมากขนาดไหน จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมันขนาดไหน 
-- ถึงเวลา เขาก็จะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่เขาจะเป็นไป
ร่างกายของเรา ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย ทำให้เรานั้นตต้องพลอยเป็นทุกข์ แบกทุกข์เพราะมัน เยอะแยะมากมาย
-- ร่างกายของผู้อื่นก็เป็นเช่นนั้น --
เรามีร่างกายของเราแต่เพียงผู้เดียว ก็เหนื่อยอยู่แล้ว
เรายังจะไปเอาร่างกายของคนอื่น มาทำให้เราเป็นสุข เป็นทุกข์เพราะมัน อยู่ทำไม !
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ลำพังร่างกายของเรานี้ เราก็ควบคุมบังคับให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามใจเราไม่ได้อยู่แล้ว 
แล้วเราจะไปควบคุมบังคับ ร่างกายของผู้อื่นให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามใจเราอย่างนั้น
... มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ...
ร่างกายนี้ไม่ว่าจะเป็นของเรา เป็นของคนอื่น มันก็แค่ตั้งขึ้นอยู่ และดับไป 
ทุกคน ก็มีเวลาไม่ถึง 100 ปี …
เมื่อครั้งถึงเวลาที่แต่ละคน แต่ละร่างกาย ต้องดับ / ต้องเสื่อมไป 
> มันก็ต้องเป็นไป เช่นนั้น…
และร่างกายนี้ มันก็เป็นแค่ฉากละครหนึ่งๆ ที่เรามาสมมุติว่าเป็นคนนั้น/ คนนี้.. เพื่อทำหน้าที่แห่งตน 
แล้วเราจะไปลุ่มหลงยึดติดกับคนอื่น ทำให้เราเป็นทุกข์ทำไม
ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แม้แต่ร่างกายเราก็ยังไม่ใช่ของเรา
แล้วร่างกายของผู้อื่น จะเป็นของเราหรือ ?...
เมื่อใครที่พิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว ก็จะรู้ตามความเป็นจริง ไม่ยึดติดในตัวของเรา 
-- ก็จะไม่ยึดติดในตัวของผู้อื่น--
ต่อไป.. เมื่อรู้ร่างกายของตน และของผู้อื่นแล้ว...
>ให้รู้ *กรรมของตน* และ*กรรมของผู้อื่น*
คือ ให้ระลึกรู้อยู่อย่างนี้ว่า คนเราเกิดมา ก็ต่างกัน ... 
- ต่างจิตต่างใจ 
- ต่างบุญวาสนา 
- ต่างชะตาชีวิต ตามกรรมที่ตนทำไว้
เขาก็เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมของเขา เพื่อสร้างเหตุที่ดีให้แก่ตัวของเขา 
เราก็เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมของเรา เพื่อสร้างเหตุที่ดีให้แก่จิตของเรา 
และที่ผ่านมา จิตของเขานั้น อาจเคยไปสร้างกรรมกับใครมา เยอะแยะมากมาย
จิตของเราเอง ก็อาจเคยไปสร้างกรรมกับใครมาเยอะแยะมากมาย
และวันนี้ได้อาจมาเจอกัน เราอาจจะได้เจอเขาในช่วงหนึ่ง เพื่อใช้กรรม ต่อกันทั้งดี และไม่ดี 
และเมื่อหมดเวลา เราก็ต้องเดินจากไป แล้วก็ไปเจอกับคนใหม่ เพื่อชดใช้กรรม
ส่วนเขาเองก็เป็นเช่นนั้น.. หรือไม่ก็ต้องจากตาย
หากหมดกรรมจากกันแล้ว คนใดคนหนึ่งไม่มีอะไรที่จะต้องทำอีกในโลกนี้ คือ หมดกรรมในชาตินี้ และต้องวนไปเพื่อไปใช้กรรมในภพหน้า ชาติใหม่ > ก็ต้องตายจากกันไป…
คนเราทุกคนเกิดมา ทำหน้าที่แห่งตน คือ ชดใช้กรรมชั่ว สร้างกรรมดีให้กับตนเอง 
ไม่มีใครเกิดมาเพื่อใคร ไม่มีใครเกิดมาเพราะว่า จะต้องมาครองคู่กับใคร 

> แท้ที่จริง ต่างก็มีหน้าที่ …
เมื่อเราฝึกฝนจิตของตน จนรู้ว่า --
* เรา ก็เป็นไปตามกรรมของเรา
* เขา ก็เป็นไปตามกรรมของเขา
.. ถึงแม้จะเป็นสามี- ภรรยากัน 
.. ถึงแม้จะเป็นคนที่เรารักมาก 
-- แต่ทุกคนไม่อาจฝืนกรรมของตนเอง ที่ลิขิตมาแล้วได้เลย ไม่ว่าเขา หรือว่าเรา --
เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว ให้เข้าใจการเดินทางของจิตเรา // การเดินทางของจิตเขา…
ชีวิตของคนเราเกิดมา ก็เหมือนคนที่เดินทาง 
เมื่อเรามีการเดินทางของชีวิต เราก็ต้องเจอกับสิ่งที่อยู่ข้างทาง หรือสิ่งต่างๆที่เราต้องเผชิญผ่านพ้น
บางช่วง เราก็ต้องเจอคนนั้น คนนี้ คนโน้น เจอไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย ... 
ตอนเด็กๆ เราก็เกิดมา อาจจะอยู่กับพ่อแม่ 
โตมา ก็อยู่กับเพื่อน
เมื่อโตมาอีก ก็อยู่กับครอบครัว
เมื่อเวลาผ่านไป ก็ไม่รู้ว่าจะต้องมีใครอีกเยอะแยะมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย
อนาคตของเรา จะต้องไปเจอกับใคร เป็นแบบไหน และเดินทางร่วมกับใคร กี่ปี กี่วันหรือกี่เดือน.. ก็ไม่มีใครรู้
ฉะนั้น ไม่ว่าการเดินทางของชีวิตเรา หรือการเดินทางเพื่อชีวิตของผู้อื่นนั้น
... ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
เขา ก็คือ หนึ่งดวงจิต.. 
แม้เราจะรักเขามากแค่ไหน / จะลุ่มหลงในกายของคนอื่นมากแค่ไหน.. 
หรือ คนอื่นจะรักเรามากแค่ไหน / ลุ่มหลงในกายของเรามากเพียงใด
ท้ายที่สุด มันก็แค่จบจากเวลา.. 
จบไปกับสิ่งที่เราได้ทำเอาไว้ คือ “บุญ” หรือ “กรรม” ที่เชื่อมกันมา 
ท้ายที่สุด ก็ต้องจากกันไป แยกกันไป ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย...

ทุกคนมีหน้าที่ ที่มาทำ //มีทางเดินของจิต //ทางเดินของชีวิตแห่งตน
เมื่อเราเดินตามกาลเวลา เมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกทาง 
ไม่ว่าจะเป็นใครคนใดคนหนึ่ง เป็นพ่อแม่ พี่น้อง เป็นลูก เป็นสามี เป็นคนที่รัก
-- เป็นใครก็ช่าง เมื่อถึงเวลา จิตทุกดวง เขาก็จะเดินตามทางของเขา --
... นั่นคือ สิ่งที่เราทุกคนไม่อาจจะที่ฝืนได้ และให้มองให้เห็น*ยาพิษ* ของความรัก...
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การมีความรักนั้น ย่อม ”เป็นยาขม” ความรักมันมีพิษของมัน อยู่ในนั้นอยู่แล้ว
จงพิจารณาให้เห็นพิษของความรักเถิด ลูก ..
ความรักทำให้เกิดความทุกข์
ความรัก ทำให้เรานั้นจมอยู่ ลุ่มหลงอยู่
แม้วันนี้เรารักใครสักคน ความรักนั้นก็จะทำให้เราเร่าร้อน / เป็นทุกข์ อยู่ตลอดเวลา 
ความรักจึงเปรียบดัง *ยาพิษ* 
ถ้าวันนี้ เราได้รักใครแล้ว เท่ากับกินยาพิษเข้าไปแล้ว เราจะต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
เมื่อเจอ.. ก็ทุกข์ 
เมื่อไม่เจอ.. ก็ทุกข์ ทุกข์เพราะกลัวว่าจะหายไป 
เมื่อไม่เจอแล้ว ก็ทุกข์ ทุกข์เพราะอยากจะเจอ
แต่สิ่งต่างๆเหล่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะฝืนได้ ที่จะสั่งให้มันเป็นไป ตามที่เราสั่งได้
ความรักเป็นเหตุของทุกข์
เพราะถ้าเรามีความรักแล้ว ก็จะมีความรับผิดชอบ / มีสิ่งต่างๆมากมายงอกเงย งอกงามตามมา
และท้ายที่สุดความรักก็ไม่ได้ให้ความสุขอะไรเรา อย่างที่เราคิดเลย นอกจาก --
- ให้แต่ภาระหน้าที่ 
- ให้แต่ความเหนื่อย 
- ให้แต่ความผิดหวัง เสียใจ พลัดพรากจากกัน.. เท่านั้น
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. นี่คือ *พิษของความรัก*
เมื่อเราเห็นพิษของความรักแล้ว เราก็จะเหนื่อย และไม่ปรารถนาที่จะมีความรักอีกต่อไป…
เมื่อเราพิจารณา เหตุต่างๆเหล่านี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง จนเกิดความเบื่อหน่าย
** เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็จะดับความรักได้ **
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ต้องรู้ตามความเป็นจริง 
รู้เรื่องร่างกายของเขา // ร่างกายของเรา 
กรรมของเรา // กรรมของเขา
การเดินทางของจิตเรา // จิตเขา
// พิษของความรัก
พิจารณาสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ พิจารณาไปเรื่อยๆ จนกว่า เราจะถอดถอนความรักออกจากจิตได้
เราจะเห็นความน่ากลัว เห็นความทุกข์ เห็นสิ่งเน่าเหม็น ที่มันซ่อนอยู่ในความรัก ..
... ทำให้เรานั้นจมอยู่ วนอยู่ เวียนอยู่.. อยู่อย่างนั้นไม่รู้จักจบสิ้น ...
และแท้ที่จริง “ความรัก” ยังซ่อนสิ่งที่เน่าเหม็น / สิ่งที่เป็นทุกข์ เยอะแยะมากมาย 
> ซึ่งทำให้เรานั้น ทุกข์ได้มากกว่าที่ยกตัวอย่างมาให้พิจารณานี้อีก
แต่นี่คือ หัวข้อหลักๆที่ลูกทั้งหลาย < ควรพิจารณาให้เกิดความเบื่อหน่าย > ในความรักต่างๆเหล่านี้ 
เพื่อให้ลูกนั้นได้ *ดับความรัก*
เมื่อเราดับรักแล้ว ให้ดับ *ความโลภ*
รัก- โลภ -โกรธ - หลง 
สี่ย่างก้าวนี้ คือ สิ่งที่เราไม่ควรเดินเข้าไป
< เมื่อเราถอดถอนตน ไม่ให้เดินเข้าไปแล้ว ..เราก็จะไม่ทุกข์อะไรเลย > 
-- เราก็จะสามารถ “ดับการเกิด” ได้ --
ต่อไป มาฟังการดับ *ความโลภ* ว่าเราต้องทำยังไงบ้าง ...
การที่เราจะดับ *ความโลภ* ได้ เราต้องรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ .. มีเพียงแค่ตั้งขึ้นอยู่ และดับไป 
สิ่งเหล่านั้นมีคู่อยู่กับโลก เขาไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร ตายไปก็เอาไปไม่ได้
มีมาก ก็ทุกข์มาก.. 
เป็นสิ่งหลอกเราให้หลงอยู่กับโลก // สร้างกรรมให้ต้องวนเวียน เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบ

** การเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นทุกข์ **
เมื่อพิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว ก็จะเกิด “ความปล่อยวาง”
ไม่ตามหาสิ่งต่างๆเหล่านั้น จนเกินความพอดี และทำให้ตนต้องเป็นทุกข์ 
มีสิ่งใด ก็จะใช้สิ่งนั้น ตามเหตุ ตามปัจจัย ก็จะปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่าง…
**ความโลภนั้น ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา**
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. แท้ที่จริงทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้น ถึงแม้ว่าเราจะดิ้นรน ขวนขวาย จะทำอะไรมากมายขนาดไหน จะมีมากขนาดไหน หรือเป็นแบบไหนก็ตาม 
... ท้ายที่สุด เราก็แค่ทิ้งมันไว้บนโลกนี้ เท่านั้นเอง …
-- จึงไม่ควรที่จะโลภมาก.. เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ มากองไว้ เพื่ออะไร --
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ มันก็แค่หลอกเรา ให้เราหลงอยู่กับมัน 
ไปสร้างกรรมเพื่อได้มันมา 
มันคือ “สิ่งหลอกล่อ หลอกลวงเรา“ 
-- เมื่อเรารู้ว่ามันหลอกเรา แล้วเรายังจะเชื่อมันอีกหรือ !
ลูกทั้งหลาย .. 
-- มันหลอก ให้เราเสียเวลา 
-- หลอก ให้เราทุกข์เพราะมัน 
-- หลอก ให้เรานั้นจมอยู่กับมัน 
-- หลอก ให้เราสร้างกรรมเพราะมัน 
-- เวียนวน เวียนว่ายตายเกิด เพราะมัน
แต่มันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเราเลย แต่มันไม่ได้ทำอะไรให้เราอย่างแท้จริงเลย
นอกจาก แค่หลอกให้เราวนมาเกิด และมาแสวงหามัน
เมื่อได้มันมา ก็หลอกให้เราสุข แต่ความสุขที่เราได้นั้น -- มีเพียงแค่น้อยนิดเดียว 
ทีนี้ก็ทุกข์เพราะมัน เยอะแยะมากมาย มันไม่คุ้มค่ากับการที่เราต้องเกิดมา ตามหามัน 
แล้วก็ทุกข์ เพราะมัน 
ตายจากไป ก็ต้องไปใช้กรรม วนกลับมาใหม่ 
วนอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จบหรอกลูก
สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ หากลูกนั้นฝึกฝนตนเอง จนเกิดความแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหลายว่า 
* มีสิ่งใดก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์ *
การปล่อยวางจากสรรพสิ่ง ตามเหตุ ตามปัจจัยนั่น คือ ความสุขที่แท้จริง 
และพิจารณาจนเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า เขาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา เขามีอยู่กับโลก
เมื่อครั้งเราตายไป เราไม่อาจ /ไม่สามารถเอาเขาไปด้วยได้ 
และสิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่หลอกให้เรา ต้องมาเกิด / มาอยู่ในโลกนี้ 
-- และการที่เกิด การที่อยู่ในโลกนี้ ก็เป็นเหตุของทุกข์ทั้งนั้น --
** เมื่อพิจารณา ให้เห็นเช่นนี้ อย่างนี้บ่อยๆแล้ว.. ย่อมดับความโลภของเราได้ **
บุคคล ผู้ที่ปฏิบัติ และกระทำตนจนแจ่มแจ้ง เห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้ ...
-- เขาย่อมไม่โลภ ไม่เกิดความโลภ ในสิ่งของ ข้าวของใดๆทั้งสิ้น--
นอกจากปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน...
>>
ต่อไป **การดับความโกรธ**
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เราจะไม่ย่างก้าวเข้าไปสู่ความโกรธนั้น คือ เราต้องทำแบบไหนบ้าง... 
เราต้องรู้เรื่องกฎแห่งกรรม / เชื่อในกฎแห่งกรรม ว่าสิ่งใดที่ใครทำกับเรา ก็เพราะเราเคยทำกรรมนั้นไว้ในอดีตที่ผ่านมา และใครทำอะไรกับเราก็ตาม กรรมนั้นก็จะกลับมาหาเขาเอง
ทุกคน มีหน้าที่แค่ดูแลตน *ไม่ให้สร้างกรรมเพิ่ม* เท่านั้น
และทุกคนก็มีหน้าที่ที่จะเรียนรู้ กับความผิด ความถูกที่ตนทำ 
... เมื่อถึงเวลา เขาก็จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาทำ 
ส่วนเรานั้น มีหน้าที่เพียงแค่ปล่อยวางให้ผ่านไป ก็จะไม่โกรธ…
** ถ้าเราทำได้เช่นนี้ พิจารณาอย่างนี้บ่อยๆ เราก็จะดับการโกรธได้ 

ลูกทั้งหลายเอย.. ความโกรธนั้น มาจากการที่เรายังไม่รู้ และไม่เข้าใจในกฎแห่งกรรม 
... เข้าใจแล้ว แต่ยังปล่อยให้เป็นไปกฎแห่งกรรมไม่ได้
หากว่าเรารู้แล้ว และปล่อยให้มันไปตามกฎแห่งกรรมนั้น เราก็จะไม่โกรธใครเลย
แม้ใครจะทำอะไร เราก็จะเห็นเป็นธรรมดาของเขาอย่างนั้น 
เราก็จะเห็นเพียงแค่ว่า “คนนี้เดินทางผิดอยู่” เดี๋ยวเขาก็จะรู้ว่าเดินทางผิด
ส่วนเขาจะรู้หรือไม่รู้ ก็เรื่องของเขา เพราะเรามีหน้าที่เพียงแค่ *ไม่สร้างกรรมเพิ่ม*เท่านั้น
เรื่องที่เขาสร้างกรรมกับเรา หรือสร้างกรรมกับใครก็ตาม.. 
> อาจเป็นเพราะเราหรือใครคนนั้น เคยสร้างกรรมอะไรมา.. เราก็ปล่อยวาง
ปล่อยให้กฎแห่งกรรมนั้น จัดการกับเขาเอง
> เมื่อถึงเวลา เขาก็จะรู้เอง
และที่เราต้องเจอสิ่งเหล่านี้ เช่นนี้ เจอสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ 
ก็เพราะว่า เราเคยสร้างกรรมมาก่อน / 
ก็เพราะว่า เราเคยทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้มา /
… แต่ต่อจากนี้ไป เราจะพิจารณาตนเองให้มากกว่านี้ และไม่ให้สร้างกรรมอะไรเพิ่มอีกเลย 
เพื่อเราจะได้ไม่ต้องมาเผชิญ มาเจอกับสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้อีก...
เมื่อเราฝึกฝนตน จึงรู้อย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ เราก็จะสามารถดับความโกรธได้ 
เชื่อในกฎแห่งกรรม รู้ในกฎแห่งกรรม //ปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรม ใครทำสิ่งใด ได้สิ่งนั้น
แค่นี้เองลูก ถ้าลูกทำเช่นนี้ได้บ่อยๆ ทำเช่นนี้จนเห็น จนชัดเจนแล้ว > ลูกก็จะดับความโกรธได้ 
ไม่ว่าใครจะทำอะไรกับลูก ลูกก็จะเห็นกฎแห่งกรรม ที่ลูกทำไว้ หรือเขาทำกับลูกไว้ 
และปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เพราะเราไม่ใช่ผู้ที่จะมาตัดสิน หรือทำให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ 
... เราไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจ ตัดสินอะไรเลย …
แท้ที่จริงแล้ว กฎแห่งกรรม คือ ผู้ที่ตัดสินทุกอย่าง >
เราเป็นแต่เพียง ผู้ที่ถูกทดสอบ 
เราเป็นแต่เพียง ผู้มีหน้าที่ชดใช้กรรม 
เราเป็นแต่เพียง ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลตนเอง /ไม่ให้สร้างกรรมเพิ่มใหม่อีก
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงหยุดสร้างกรรม ด้วยความโกรธเถิดลูก 
และถ้าเราทำได้เช่นนี้ เราก็จะดับความโกรธได้ 
-- ความโกรธก็จะไม่มีอยู่ ในเราอีกต่อไป – 
ดับการโกรธก็จะง่ายมาก สำหรับเรา
>>
ต่อไป **ดับความหลง**
การที่เราจะดับความหลงได้นั้น เราต้องทำยังไงบ้าง ต้องรู้ยังไงบ้าง ?
การที่เราจะดับความลุ่มหลงได้ เราต้องรู้ว่ากฎของความไม่เที่ยงแท้นั้น เขามีของเขาอยู่ 
คือ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้เลย มีเพียงแค่ตั้งขึ้นอยู่ และก็จะดับไปเป็นธรรมดา 
-- ให้เรารู้ตามความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง --
เมื่อเห็นความจริงบ่อยๆ ก็จะไม่หลงกับอะไร และไม่ยึดติด ไม่ลุ่มหลง ไปกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
เพราะเขาก็เป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้น 
> ความลุ่มหลง ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเราอีก...
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ความหลง เกิดจากเหตุที่เรายึดติด และไม่รู้.. ไม่รู้ตามความเป็นจริง หรือรู้แต่ไม่ยอมปล่อยให้เป็นตามความเป็นจริง มันก็เลยยังเกิดความหลงอยู่
เช่น เราก็รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่า ร่างกายนี้เขาไม่เที่ยง เขาจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ 
บางทีก็อาจจะตายตอนวัยรุ่นบ้าง- เด็กบ้าง- แก่บ้าง 
ตายตอนไหน โรคอะไรไม่มีใครรู้
แต่ทำไม.. เราต้องลุ่มหลง ยึดติดกับร่างกายนี้ จนทำให้เราเป็นทุกข์
แท้ที่จริงแล้ว..สรรพสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง เขาก็มีแค่ตั้งขึ้นอยู่ และดับไป ..
ไม่ว่าจะเป็นความสุข ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ /
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ข้าวของ เงินทอง ลาภยศ ตำแหน่ง สรรเสริญ นินทา /
-- สิ่งต่างๆเหล่านั้น ก็ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ --
เมื่อสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลย ...
แล้วเราจะลุ่มหลงไปทำไม 
แล้วเราจะหลง กับกายทำไม
หลง กับเงินทองทำไม
หลง กับสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น ทำไม
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่จะดับความหลงได้ เพียงแค่รู้ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้... 
แม้แต่ร่างกายของเรา และสรรพสิ่งทุกอย่าง เขาเป็นธรรมดาของเขาอย่างนั้น
รู้ตามความเป็นจริง และฝึกจิตของตนให้ยอมรับความเป็นจริงด้วย
เมื่อเรารู้ความจริง ยอมรับความจริง.. ความหลงมันจะเกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร.. ลูกเอ๋ย
เมื่อเราฝึกตน จนได้เช่นนั้น.. เราก็จะไม่มีความหลงในตัวเรา 
เพราะไม่จำเป็นที่จะหลงในร่างกายของตน /ในร่างกายของผู้อื่น 
เมื่อไม่หลงในร่างกาย > สิ่งอื่นก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราหลงได้อีกแล้ว…
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. บุคคลที่พิจารณาจนเห็นเหตุเหล่านี้แล้ว เขาก็จะสามารถดับความหลงได้ จงพิจารณาบ่อยๆเถิดลูก พิจารณาจนเห็นอย่างชัดเจน จนเกิดความเบื่อหน่าย เกิดความรู้แจ้งในจิต เพื่อถอดถอนความหลง ลูกทั้งหลาย ย่างก้าวที่ยังทำให้เราเดินเข้าไปสู่วัฏสงสารนั้น ทำให้เราเวียนวนอยู่นั้น เพียงแค่ 4 ย่างก้าวเท่านั้น คือ รัก โลภ โกรธ หลง
4 ย่างก้าว นี้ ทำให้เราต้องเดินอยู่ในวัฏสงสารนี้ ไม่รู้จบ 
และการที่ยังเวียนวนอยู่ในนี้ ก็ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่รู้จบ เช่นเดียวกัน
-- เพราะที่นี่ มีไฟ มีความร้อน อยู่ในนี้ --
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เราจะเดินออกจากวัฏสงสาร เราเพียงแค่หยุดเดิน 4 ย่างก้าวนี้ ..
ก็ทำให้เราไปจากที่นี่ได้แล้ว คือไม่ย่างไปสู่ความรัก ไม่ย่างก้าวไปสู่ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เราจงยืนอยู่ในจุดของเราเถิด อยู่เฉยๆ ไม่ต้องรัก ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องหลง
ถ้าทำได้แค่นี้ > ลูกก็สามารถ “เป็นผู้ที่พ้นทุกข์แล้ว” ...
และสิ่งที่จะทำได้ มันก็มีเหตุปัจจัย เป็นข้อย่อยต่างๆของมันไป และก็จะทำให้เรานั้นสามารถหลุดพ้นได้ 
และแท้ที่จริง.. สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ ทั้ง 4 ข้อ นี้ ก็เกิดมาจากการที่มี “เรา”
หากว่าเราถอดถอด ดับ “เรา” ไปเสียแล้ว ก็จะไม่มีมัน
\เมื่อเราก็มีแต่ความทุกข์ เราก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร
และ ที่เรียกว่า “เรา” นั้น มันก็ไม่ใช่เราจริงๆ 
> เราก็ถอดถอนมันออกไป…
เมื่อเราถอนมันออกไป ก็จะไปดับ -- ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง 
สิ่งเหล่านี้ ก็จะมาดับกายของเราอีกทีหนึ่ง
มันก็แค่นี้เอง ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงฝึกฝนจากการปฏิบัติ ฟัง พิจารณาให้เข้าใจ และพยายามนำไปใช้
> เพื่อดับไม่ให้ตนนั้น กลับมาเกิดอีก --
จงทำเช่นนั้น อย่างนั้นเถิด ลูกทั้งหลายเอ๋ย..
กายเป็นเหตุของทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็เป็นเหตุที่ทำให้ก่อเกิดกาย 
สลายทุกสิ่งทุกอย่างไป ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง
-- แล้วลูกจะเป็นผู้มีอิสระ จากทุกสิ่งทุกอย่าง --
สาธุ

https://youtu.be/FQw_BT1K_ts

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น