กวนอิมน้อยสื่อสภาวธรรม
ตอน ** เกิดมาทำไม**
ท่านพอจะทราบหรือเปล่าว่าการเกิดมาของมนุษย์เรา เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาทำไมกัน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การที่มนุษย์เราต้องเกิดมา ต่างก็มีหน้าที่เป็นของตนเอง ที่ต้องมาทำหน้าที่ของแต่ละคน ก็คือ การที่จะมาเพื่อสร้างคุณงามความดี สร้างบุญกุศลบารมี เพื่อให้ดวงจิตของตนเลื่อนไปอยู่ที่ที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเสมือนการมาหากำไรให้กับดวงจิตของตน
เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเกิดมาแล้ว ก็ให้รีบหากำไรของตนให้เจอ อย่างน้อยก็ให้ได้กำไรกลับไปบ้าง อย่าปล่อยให้มันต้องขาดทุนแล้วกลับมาแก้ เหมือนคนที่ทำการค้า แต่ไม่สนใจว่าตนจะขาดทุนหรือเปล่า หรือคิดว่ามันจะขาดทุนหรือกำไรก็ช่างมัน ตอนนี้ฉันสนุก สบาย ก็พอ ท้ายที่สุดก็ต้องติดหนี้ แล้วต้องหาเงินมาจ่ายหนี้นั้นใหม่ ต้องมาเป็นทุกข์ เพราะตนไม่สนใจ ไม่ใส่ใจในการมาค้าขายในคราวครั้งนี้ เหมือนคนที่เกิดมาแล้วไม่สนใจดวงจิตของตน ว่าจะตกไปอยู่ในที่ต่ำกว่าหรือเปล่า ขอให้ตอนนี้ฉันสบายไว้ก่อน จึงทำแต่ความชั่ว ท้ายที่สุดก็ต้องติดหนี้บาปนั้น แล้วก็หาความสุขไม่ได้ เมื่อครั้งตายไป ก็ยังจะต้องไปใช้หนี้บาปนั้น จนกว่าจะได้มาเกิดใหม่ ก็ยังต้องมาใช้หนี้บาปนั้น บนโลกมนุษย์นี้อีก จนกว่าจะใช้หนี้บาปนั้นหมด แล้วค่อยได้สร้างบุญใหม่ เพื่อเก็บไว้เป็นกำไรของดวงจิตตน
พระองค์ท่านทรงถามพวกเราผู้ฟังทุกคนว่า ท่านมีกำไรแล้วหรือยัง ?.. นักลงทุนทั้งหลาย
กำไรนี้ แบ่งออกมาเป็นหลายระดับได้ ::
> กำไรระดับที่ 1 คือ การทำให้ตนมีสุขภาพจิตที่ดี ทำบุญทำทาน ทำแต่ความดี ก็จะสามารถทำให้จิตของตนสบาย ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อตายไปแล้ว กลับมาเกิดใหม่ ก็จะมีชีวิตที่ดีกว่าชาติปัจจุบัน เป็นแน่แท้
> กำไรในระดับ 2 คือ การรักษาศีล 5 ให้ครบ ทำบุญ ทำทาน ปฏิบัติธรรม ทำจิตใจให้รู้จักการปล่อยวาง และให้ทำความสงบให้เกิดขึ้นในจิตของตน ก็จะทำให้มีกายเป็นกายทิพย์ ซึ่งมีร่างกายเป็นของเทพเทวดาซ้อนอยู่ในกายเนื้อ และจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหน ก็จะมีเทพเทวดาคอยคุ้มครองช่วยเหลือให้พ้นจากภัยและเคราะห์ร้ายทั้งปวงได้ ทำการสิ่งใดก็จะสำเร็จดั่งใจปรารถนา
.... เมื่อตายไป ดวงจิตก็จะไปเป็นเทพบนสวรรค์ ชั้นใดชั้นหนึ่ง ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก นอกจากว่าดวงจิตนั้นปรารถนาที่จะกลับมา เพื่อหากำไร สร้างบารมีให้กับดวงจิตของตนใหม่ จึงมีการอธิษฐานเพื่อมาเกิดเอง หรือทำความผิดในกฎของสวรรค์ นั่นจึงจะมีการกลับมาเกิดในครั้งใหม่
> กำไรระดับ 3 คือ การรักษาศีลของนักบวช ตั้งแต่ศีล 8 เป็นต้นไป และต้องมีการปล่อยวางอย่างแท้จริง ไม่ปนเปื้อนแล้วด้วยกิเลสตัณหาทั้งหลาย
... เมื่อเป็นมนุษย์อยู่ ก็จะมีนิพพานสุขเกิดขึ้นในใจ เมื่อตายไป ก็จะสามารถเข้าสู่ดินแดนความสงบสุข ดินแดนพระนิพพานได้ ถือเป็นพระอรหันต์ มีกายเป็นกายแก้ว และจะไม่มีการกลับมาเกิดอีก และถือว่า เป็นผู้ที่มีกำไรมากที่สุด ในการมาลงทุนของการเกิด
ทั้งหมดนี้ก็เป็นผลกำไรที่ยกตัวอย่าง ยกระดับมาให้เลือก หากท่านปรารถนาระดับไหน ก็จงรีบทำ อย่าปล่อยให้ขาดทุน และเวลาของท่านหมดไปเลย
** ความสำเร็จของมนุษย์ที่แท้จริง คือ อะไร สิ่งใดกันแน่ที่เรียกว่า ความสำเร็จ **
พระพุทธเจ้า ท่านบอกหนูว่า มนุษย์เรา มักจะถามหาความสำเร็จอยู่เสมอ รอคอยความสำเร็จอยู่เสมอ แต่จะหามันเจอได้อย่างไรเล่า เมื่อยังไม่รู้จักกับคำว่า “ความสำเร็จ” นั้นคืออะไรเลย... ถึงแม้ว่าจะหาจนวันตาย ก็คงจะไม่มีวันพบ เพราะเราไม่รู้จักกับมัน
มนุษย์เรา ชอบคิดว่า ความสำเร็จของตน คือ การมีเงินทอง ทรัพย์สินสมบัติ มีหน้ามีตา มีหน้าที่การงานที่ดี มีรถหรูๆ มีบ้านหลังใหญ่โต มีบริษัทใหญ่ๆ เป็นเจ้าคนนายคน แล้วท่านก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าท่านจะเหนื่อยแค่ไหน ต้องแลกด้วยอะไรก็ยอม ขอให้ได้มันมา เมื่อได้มันมาแล้ว ก็ต้องมานั่งทุกข์ มาเหนื่อยเพราะมันอีก
และไม่ว่าจะมากเท่าไหร่ ก็ไม่พอสักที บางคนหาจนตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ ก็ยังต้องมาหาต่ออีก มาแล้วไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ก็ยังไม่พบไม่เจอกับความสำเร็จนั้นเลย เพราะไม่รู้จักมัน.> ความสำเร็จที่แท้จริง
พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกว่า คือ การรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนนั้นมีอยู่ ทำแต่ความดีละเว้นความชั่ว หากำไรให้กับดวงจิตของตนก่อนจะกลับ อย่าปล่อยให้ขาดทุนกลับไป แล้วต้องกลับมาใช้หนี้ในรอบหน้า
....** นี่จึงจะเป็นความสำเร็จของมนุษย์อย่างแท้จริง**….
ตอนนี้ต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำกัน ก็ให้รีบทำซะนะ ก่อนที่เวลาจะหมดไป ความสำเร็จก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง ไม่ได้อยู่ไกลเหมือนที่คิดเอาไว้ จงรีบเข้าหามันเถิด อย่ามัวแต่รอให้มันมาหาเราเลย …
ต่อไปนี้ ก็จะเป็นธรรมะดีๆ ที่หนูได้รับมาจากพระองค์ท่านอีกหนึ่งหัวข้อ ซึ่งหนูจะนำมาเผยแผ่ให้กับเหล่านักบุญทั้งหลายได้ฟังกัน
ในเช้าของวันหนึ่ง หนูตื่นขึ้นมา อยู่ๆ หนูก็เดินไปหยิบรองเท้าส้นสูงมาใส่ แล้วเดินออกไปข้างนอก หนูเดินไปเดินมาได้อยู่สักพักหนึ่ง ก็มีเสียงจากพระองค์ท่านบอกกับหนูว่า
“ เป็นยังไงบ้างล่ะ เดินลำบากหรือเปล่า เดินได้นานมั้ย หากไม่ระวังจะหกล้มหรือเปล่า ต่างจากการใส่รองเท้าที่มีความพอดีกับตนหรือเปล่า ?”
เมื่อหนูได้ฟังคำถามเหล่านี้ หนูจึงหยุดเดินแล้วคิดตาม หนูจึงได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงพระองค์ท่านกำลังสอนธรรมะกับหนู ท่านกำลังบอกหนูว่า การที่ใส่รองเท้าที่มีความสูง เพื่อให้ดูดี มีสง่า สูงกว่าปกติ แม้มันจะทำให้เราดูดีขึ้นบ้าง แต่ก็ทำความลำบากกับเรา ต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวจะหกล้ม ไม่เป็นตัวของตัวเอง และหากเดินนานๆ ก็จะปวดเท้า หรืออาจทำให้ถึงขนาดเป็นโรคข้อเท้า แล้วต้องมานั่งทุกข์ทรมานเพราะมัน ต่างจากการที่เลือกใส่รองเท้าที่มีความสูงพอดีกับเท้าของเรา และในการเดิน ไม่ว่าจะเดินนานเท่าไหร่ ก็เดินได้สบาย ไม่ต้องระวังกลัวจะหกล้ม และไม่ต้องมาเจ็บข้อเท้าในตอนหลัง เพราะมันอีก
และไม่ว่าจะยังไง คนเราก็หนีความเป็นจริงนั้นไม่พ้น เปรียบเสมือนคนที่ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนนั้นมีอยู่ และพยายามหาสิ่งมาปรุงแต่ง เพื่อให้ดูดีมีฐานะ มีหน้ามีตาในสังคม สร้างภาพให้คนอื่นเขาคิดว่าเราดีแล้ว ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อให้ไม่น้อยหน้าคนอื่น พยายามจนเกินความพอดี และต้องประคับประคองมันไว้แบบนั้น
... แต่ท้ายที่สุด ก็หนีความจริงไปไม่พ้นอยู่ดี แถมยังต้องมาเดือดร้อนในตอนหลัง และสร้างความเดือดร้อนให้ตน รวมถึงคนรอบข้างด้วย
พระองค์ท่านทรงบอกหนูอีกว่า จงรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนนั้นมีอยู่ และจงดูแลทำความสะอาดเมื่อคนพบเห็น คนก็จะชื่นชอบ ชื่นชมเอง โดยที่เราไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก
... / เหมือนกับคนที่คอยทำจิตใจตน ให้เป็นคนดี ทำจิตให้สะอาด ไม่ปนเปื้อนด้วยกิเลสตัณหา ไม่เบียดเบียนต่อผู้อื่น ก็จะมีแต่คนรัก คนมาชื่นชอบ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเราจะตายไปแล้วก็ตาม สิ่งนั้นก็จะยังคงอยู่ในใจของผู้อื่นตลอดไป …
** สรุปแล้วผู้ที่พอใจในสิ่งที่ตนนั้นมีอยู่ ยอมรับกับความเป็นจริง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ที่มีความสง่างาม และน่าชื่นชม ชื่นชอบ เป็นแน่แท้
หนูจึงนำธรรมะเหล่านี้มาเผยแผ่ให้กับนักบุญทั้งหลายได้ฟังกัน ก็ขอให้นักลงทุนทั้งหลายจงสำเร็จ ได้กำไรกลับไปกันทุกๆดวงจิตนะจ๊ะ และหากดวงจิตใดที่ยังติดหนี้บาปนั้นอยู่ ก็ขอให้รีบชำระให้เสร็จเร็วๆ และขอให้ได้กำไรกลับบ้านกันทุกๆคนนะจ๊ะ
ที่มา https://sites.google.com/site/jantimema/kwn-xi-mnxy-sux-sphaw-thrrm/keid-ma-thami
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น