วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การระลึกชาติได้ แล้วรู้อะไร


ธรรมะเปิดโลก วันที่ 26 เมษายน 2558
ตอนที่ 9 **การระลึกชาติ**

ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา กับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้ 
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การระลึกชาติได้นั้น ทำให้เกิดสิ่งใด ดับสิ่งใด
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่มนุษย์สามารถระลึกชาติได้นั้น ทำให้ดับสิ่งหนึ่ง แต่ก็ทำให้เกิดสิ่งหนึ่ง 
สิ่งที่ทำให้เกิดนั้น คือ เกิดอะไรขึ้น
คนเรา ถ้าระลึกชาติได้ เรารู้ว่า เมื่อก่อน เราเคยเกิดเป็นคนนั้น แล้วมีชีวิตแบบนั้น เจอกับปัญหาเช่นนั้น 
เกิดมาในยุคนั้น เป็นทุกข์แบบนั้น ทรมานอย่างนั้น มีสามีแบบนั้น ภรรยาแบบนั้น
แล้วในที่สุด เราก็ต้องพลัดพราก และจากกันแบบนั้น ตายไปแบบนั้น 
ถัดไปในอีกภพชาติหนึ่ง เราก็เคยเกิดมาเป็นแบบนี้ แล้วก็มีการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันจากชาตินั้น
เราเกิดมามีอายุขัยที่แตกต่างกัน คือ อาจจะตายเร็วกว่า หรือช้ากว่าในชาตินั้น
มีภรรยา หรือสามี ที่ไม่ใช่คนเดียวกับชาตินั้น เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ชีวิตแตกต่างกันไปเรื่อยๆ
การที่เรารู้อดีตชาติ รู้ภพชาติที่ผ่านมา ทำให้เราเกิดความเบื่อหน่าย / เกิดความรู้แจ้ง 
แล้วเราก็จะเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตของมนุษย์เรา ก็แค่เวียนไปในภพนั้น 
ไปเกิดเป็นแบบนี้ ในภพนี้.. และอีกหน่อยก็จะต้องไปเกิดในภพหน้า เป็นอย่างนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็วนเวียนไป ชาติแล้วชาติเล่า 
ชาตินี้เราเกิดมา เหนื่อย ทุกข์ยาก ลำบาก ต้องดิ้นรน แสวงหาทุกสิ่งทุกอย่าง 
เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาบ้าง เพื่อให้ได้สิ่งนี้มาบ้าง 
เพื่อพ่อแม่ บุคคลที่รัก ที่เคารพ เพื่อลูก เพื่อภรรยา เพื่อสามี บุตรหลาน... 
ดิ้นรน ขวนขวาย ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ก่อเกิดเป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้
-- ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็มีอยู่ในเรา เราต้องจมอยู่กับมันไม่รู้จบ --
บุคคลผู้ใดที่ระลึกชาติได้ ก็อาจจะเข้าใจว่า บางชาติเราเกิดมา เป็นมหาเศรษฐี เคยมีเงินทองเยอะแยะมากมาย 
แต่ท้ายที่สุด เราก็ตายไป และเงินทองทรัพย์สินข้าวของเหล่านั้น เขาก็หมดไปในภพนั้น ชาตินั้น 
ทั้งที่เรายึดติดว่า มันเป็นของเรา 
ทั้งที่เราคิดว่า เราเป็นคนหามันมา ได้มันมา.. เราคือเจ้าของในมัน
แต่ท้ายที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น เราก็ต้องทิ้งมันไปหมดทุกอย่าง 
ตายแล้วก็เอากลับมาไม่ได้
เฉพาะอย่างยิ่งบางคน ตายจากชาตินั้นไม่นานเท่าไหร่ ก็มาเกิดอยู่ในชาตินี้ ซึ่งบางทีสิ่งเก่าๆ ของเดิมๆ ที่เราเคยเจอ เคยอยู่ในภพชาติก่อน ก็ยังผ่านหูผ่านตาให้เราได้ยิน ได้รู้ ได้เข้าใจ ชาติก่อนเราเป็นคนนั้นคนนี้
แต่ตอนนี้เรามาเกิดใหม่แล้ว สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่ใช่ของเราอีกแล้ว 
เราเดินทางมาภพใหม่ เรามาเริ่มต้นใหม่ ทำใหม่ ทุกข์ใหม่ เหนื่อยใหม่ 
... เป็นอย่างนั้น จนกว่า จะหมดเวลาของเรา...
เราพิจารณาเห็นภพชาติต่างๆ เห็นการเวียนว่ายตายเกิด เวียนวนของดวงจิตเรา 
เดี๋ยวก็เป็นผู้ชายบ้าง บางชาติก็เป็นผู้หญิงบ้าง 
เดี๋ยวก็เป็นคนรวยบ้าง เดี๋ยวก็เป็นคนจนบ้าง
เป็นอยู่อย่างนั้น ทุกข์อยู่อย่างนั้น... 
เกิดเป็นคนรวย ก็ทุกข์ในอีกแบบหนึ่ง 
เกิดเป็นคนจน ก็ทุกข์เป็นอีกแบบหนึ่ง
บางที เราอาจไปรู้ถึงขนาดว่า.. เราก็เคยเกิดเป็นสัตว์มาแล้วบ้าง
สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ ...
จะทำให้เราเบื่อหน่ายกับการเวียนวน เวียนว่ายตายเกิด 
จะทำให้เราเข้าใจเหตุของทุกข์
จะทำให้เรารู้ว่า .. จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม มันก็ทุกข์อยู่ดี
และยังมีสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากนั้นอีก เช่น สมมุติว่า เราจะเบียดเบียนต่อคนยากจน 
เราก็จะไม่เบียดเบียนแก่เขา เพราะเรารู้แล้วว่า การเป็นคนยากจนลำบากแบบไหน ..
เมื่อก่อนชาติก่อน ฉันก็เคยเป็นคนจนเหมือนกัน อย่าไปดูถูกเบียดเบียนเขา
-- การละเมิดเบียดเบียนต่อผู้อื่น ก็จะไม่มีในเรา --
ถ้าสมมุติว่าเรา เกิดมาเป็นคนที่พอมีกินมีใช้ แต่ไม่ร่ำรวย เราก็ไม่อยากจะรวย เพราะเรารู้แล้วว่า 
เมื่อก่อน เราก็เคยเป็นคนรวย แต่ท้ายที่สุดมันก็แค่นั้น มันก็แค่ตายไป 
เมื่อตายแล้ว ก็เอาอะไรไปไม่ได้สักสิ่งสักอย่าง
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราก็จะไม่ต้องดิ้นรน ขวนขวาย ใช้ความอยากเป็นที่ตั้ง... 
จนทำให้เราเหน็ดเหนื่อยในการทำมาหากิน บางที ต้องถึงขนาดไปละเมิด เบียดเบียนต่อผู้อื่น 
ทำอาชีพที่ไม่สุจริต เพื่อให้ได้เงินทองเหล่านั้นมา
-- สิ่งเหล่านี้ จะไม่มีเกิดขึ้นอยู่ในเรา --
ทีนี้เราถอดถอดตัวลุ่มหลงในทรัพย์สิน ข้าวของ เงินทองเหล่านั้น โดยการที่เราระลึกชาติได้ รู้ภพชาติของเราที่ผ่านมา ด้วยตัวของเราเอง รู้จักการปฏิบัติ รู้จักการฝึกจิตตน จนไปเห็นภพชาติ
ทีนี้เราก็ไปพิจารณาอีก หลงในบุคคลที่รักหรือ
ชาติก่อนก็เคยมีภรรยาเป็นแบบนั้น ไม่ใช่คนนี้ 
รักกันมากแค่ไหน.. ท้ายที่สุดก็ต้องพลัดพรากจากกันไป 
ไม่จากด้วยทางใดทางหนึ่ง ก็ต้องจากด้วยทางใดทางหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นสามี เราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสามีคนนี้ เพราะเรารู้แล้วว่า การรักบุคคลที่รักหรือ 
.. ท้ายที่สุดต่างคน ต่างก็ต้องไปตามกรรมของแต่ละคน ก็ต้องจากกันไป ไม่จากเป็นก็ต้องจากตาย ยังไงก็ต้องจาก
เมื่อก่อนคนนั้นรักมากขนาดนั้น ตอนนี้ก็ยังจากกันแล้วเลย ก็ยังต้องต่างไปตามจิตแห่งตน
ลูกหลาน คนรอบข้าง บุคคลที่รักทั้งหลาย เราก็จะเข้าใจว่า เมื่อก่อนเราก็มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ลูกหลาน บุคคลที่รักทั้งหลาย เป็นตระกูลนั้น เป็นคนแบบนี้ ดำรงชีวิตเช่นนั้น เช่นนี้ ...
.. แต่ท้ายที่สุด ทุกคนก็แค่จบลงตรงที่คำว่า “ตายจากกันไป”
และจิตต่างๆ ก็แยกย้ายกันไปตามกรรมของแต่ละดวงจิต 
ท้ายที่สุด เราจะรักมากแค่ไหน หวงมากแค่ไหน จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขา จนชีวิตของเราแทบจะไม่มีลมหายใจ เป็นของตัวเอง แม้ยามจะนอน แม้ยามจะกินก็ยังเป็นทุกข์อยู่ เพราะจะต้องดิ้นรนขวนขวายให้ทุกคนเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ให้พลัดพรากจากกัน ยึดติดกันไป
สิ่งเหล่านั้น ก็จะไม่มีเกิดขึ้นอยู่ในเรา เพราะว่าเรารู้แล้ว เข้าใจแล้ว
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การระลึกชาตินั้น ทำให้เราเกิดความเมตตา เกิดสติปัญญา ระลึกรู้สรรพสิ่ง และยังทำให้เราเบื่อหน่าย ในการเวียนวน เวียนว่ายตายเกิด เข้าใจ รู้แจ้งตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงจิตทั้งหลาย ก็แค่วนมาอย่างนั้น วนไปอย่างนี้ วนไปอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้นเอง จะไปจริงจังอะไรกับเขา จะไปยึดติดลุ่มหลงอะไรกับเขา
สัตว์ต่างๆทั้งหลาย เราก็จะไม่เบียดเบียนเขา ไม่ฆ่าเขา ไม่ทำร้ายเขา 
เพราะเขาก็เคยเป็นเรา เพราะเราก็เคยเกิดเป็นสัตว์เช่นเดียวกันกับเขา
สัตว์อาจเกิดมาเป็นคน คนอาจกลับไปเป็นสัตว์ 
...ก็เป็นธรรมดาอยู่เช่นนั้น เราก็จะไม่เบียดเบียนต่อสัตว์…
เมื่อเราระลึกชาติได้ นึกถึง เห็นได้ในภพชาติต่างๆ แล้วนำมาพิจารณาโดยการเกิดสติปัญญาในการระลึกรู้ รู้แจ้งในสิ่งที่ผ่านมา ทีนี้เราก็ปรารถนาที่จะหยุดเดินทางต่อไป ...
เพราะแท้ที่จริงแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์เรานี้ ไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีชาติไหนที่เกิดมาแล้วไม่มีความทุกข์ ไม่มีชาติไหนที่เกิดมาแล้ว ไม่ได้เจอกับการพลัดพราก การจากกัน การเหนื่อย การทุกข์ การทรมาน การดิ้นรน ขวนขวาย การที่จะทำให้เราจมอยู่ หลงอยู่ กับสิ่งทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลก ที่มาหลอก มาล่อ มาลวงเรา ให้ลุ่มหลง และวิ่งตามเขา
... ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่รู้จบ...
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว การเวียนวน เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบของมนุษย์เรานี้ เป็นเหตุของทุกข์ทั้งนั้นเลย
เมื่อเราเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชีวิตเรา
เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวของเรา 
... ทีนี้เราก็จะไม่ปรารถนา ที่จะเวียนวน เวียนว่ายตายเกิดอีก …
ทีนี้การระลึกชาติได้นั้น ทำให้เกิดอะไร.. 
// เกิดความเบื่อหน่ายในวัฏสงสาร 
// เกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด 
// เกิดความรู้แจ้งในสรรพสิ่ง
แล้วไม่ยึดถือ ยึดมั่น ในสิ่งต่างๆทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่รักที่พอใจทั้งหลาย หรือจะเป็นทรัพย์สิน เงินทองทั้งหลาย รวมถึงตัวตนของเราด้วย เมื่อเราเกิดความไม่ยึดถือกับสิ่งเหล่านี้แล้ว จิตของเราก็จะได้พบกับความพ้นทุกข์ เพราะเราไม่มีความยึดติดสิ่งใดๆ เราก็เกิดการปล่อยวาง
อะไรจะเป็นแบบไหน จะเป็นไปยังไง จะเกิดอะไรขึ้น เราก็ทำไปตามหน้าที่แห่งตน และไม่ว่ามันจะเผชิญกับอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราก็จะเห็นมันเป็นแต่เพียงสิ่งธรรมดา เพราะว่าเราทำใจยอมรับแล้ว ไม่ยึดถือ ยึดมั่นแล้ว 
ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะมันอีกต่อไป
< นี่คือ สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นจากการระลึกชาติได้ แต่ไม่ใช่ไปลุ่มหลงอยู่ในภพชาติต่างๆเหล่านั้น>
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. อดีต คือ สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถดึงหวนกลับคืนมาได้
จงนำภพชาติต่างๆ สิ่งที่เรารู้สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น มาทบทวนเพื่อเป็นครูสอน 
เป็นสิ่งที่จะส่งเราไปสู่ความพ้นทุกข์ โดยพิจารณาให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ก็แค่นั้นแหละ 
มันก็แค่นี้แหละ จะทุกข์ไปทำไม จะดิ้นรนมากมายไปเพื่อสิ่งใด
< นี่คือ สิ่งที่เกิดจากการรู้ภพชาติ แต่ไม่ใช่ลุ่มหลงอยู่ในภพชาติ >
ลูกทั้งหลายเอย.. ทำให้ดับอะไร 
การที่เราระลึกชาติได้นั้น ทำให้เราดับความทุกข์ในตัวของเราได้ 
คือ ทำให้เรานั้นไม่สนใจ และยึดติด ยึดมั่น ถือมั่น กับสิ่งต่างๆทั้งหลาย
การดิ้นรนขวนขวาย จนเกินความพอดี ใช้ความอยากเป็นที่ตั้งนั้น เป็นเหตุของทุกข์ ซึ่งจะนำพาให้เราอาจตกไปอยู่ที่ต่ำ ทำให้เราอาจติดหนี้กรรมบ้าง เป็นทุกข์ตั้งแต่เมื่อยังมีชิวิตอยู่ จนชีวิตหลังความตายก็ยังทำให้เราทุกข์อยู่
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เราลุ่มหลงในการเกิดมา โดยลืมคิดไปว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องตายเป็นแน่แท้ สิ่งเหล่านั้นก็ทำให้เรายึดติดกับโลกใบนี้มาก ลืมนึกถึงความตายของตน จึงดิ้นรนขวนขวายจนเกินกำลัง ทำแต่สิ่งที่ไร้สาระ หาแต่ความสุขทางโลก จนลืมไปว่า ถ้าเราดับตอนนี้ ตายตอนนี้จิตของเราจะไปไหน
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การระลึกชาติได้นั้น ทำให้เราดับความทุกข์ในตัวของเรา ดับความลุ่มหลง ดับสิ่งที่จะทำให้เรานั้น เวียนวน เวียนว่ายตายเกิด ด้วยการพิจารณาอย่างมีสติ และมีปัญญาในการเกิด ในการอยู่ การดำเนินชีวิตทุกวินาทีของชีวิตเรา จะอยู่อย่างไม่ประมาท และไม่หลงอยู่กับโลก
เมื่อไม่หลงอยู่กับสิ่งของข้าวของต่างๆ ไม่หลงอยู่กับโลก ไม่หลงอยู่กับบุคคลที่รักที่พอใจทั้งหลาย ไม่หลงแม้กระทั่งตัวเราเอง เมื่อเกิดสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นในตัวของเราแล้ว เราก็จะเกิดความสุข ดับความทุกข์
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การดับในที่นี้ ก็สามารถดับความทุกข์ในเราได้ เป็นขั้นๆไป
ถ้าเราปล่อยวางได้มากขึ้น เราก็ดับความทุกข์ได้มากขึ้น ยิ่งเราปล่อยวางได้ทั้งหมด เราก็จะดับความทุกข์ ได้ทั้งหมด ยิ่งเราดับได้แม้แต่ตัวตนของเรานั้น เราก็จะสามารถดับการเกิดของเราได้
เมื่อไม่มีการเกิด ไม่มีการเวียนวน เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปแล้ว เราก็ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไปแล้ว เพราะความทุกข์ที่แท้จริงนั้น คู่อยู่กับวัฏสงสารนี้ ไม่ว่าจะไปเกิดอยู่มุมไหน อยู่ที่ใดของวัฏสงสารนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ทางที่ดี คือ ดับการเกิดของตนให้ได้ – แล้วจะพ้นทุกข์
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การพิจารณาระลึกชาติได้ และนำพิจารณาให้เกิดสิ่งต่างๆทั้งหลาย ที่กล่าวมานี้ สามารถทำให้เราเกิดสติปัญญา เกิดสิ่งที่ดีแก่ตน และดับการเกิดทุกข์ให้แก่ตนได้
จงนำไปพิจารณาให้เข้าใจ เข้าถึงการเวียนว่ายตายเกิดเถิด...
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. บางคนเมื่อฟังธรรมนี้แล้ว อาจจะกำลังคิดอยู่ว่า แล้วจะระลึกชาติได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไร
การระลึกชาติได้นั้น สามารถระลึกได้ด้วยปัญญา ระลึกได้ด้วยความรู้ในปัญญาของเราเองว่า คนเรานี้ มีอายุขัยไม่เกิน 100 ปี 
* ก่อนมาเกิดเราเป็นใคร 
* ถ้าตายไปแล้ว เราจะไปไหน 
* ผีมีจริงหรือเปล่า ผีเขามีอยู่จริงๆมั้ย
การตายของเรานั้น ดับแต่เพียงกายลูกเอ๋ย.. จิตนั้นไม่ได้ดับด้วย 
ฉะนั้นเมื่อกายเราดับ จิตไปอยู่ที่ไหน ก็ไปอยู่ในจุดต่างๆ ตามกรรมของตน
เมื่อครั้งเราไปเกิดเป็นเทพบุตรบ้าง นางฟ้า เทวดา หรืออาจจะเกิดเป็นเปรต อสุรกาย ตามกรรมแห่งตน
บางคนก็วนกลับมาเป็นมนุษย์ เพื่อชดใช้กรรมบ้าง เพื่อสร้างบุญบารมีแก้ตัวใหม่ ในภพใหม่บ้าง 
สิ่งต่างๆเหล่านี้ ให้ใช้สติ ใช้ปัญญาพิจารณา ว่าดับแต่กาย แล้วจิตไปไหน
เมื่อเราพิจารณาเช่นนี้ เราก็จะเข้าใจว่า ภพชาติมีจริง และฝึกฝนปฏิบัติให้เรารู้ได้ เข้าถึงได้ ในภพชาติ การเวียนวน เวียนว่ายตายเกิดให้ได้ ด้วยการฝึกฝนอบรมตนเองด้วย
เพราะแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีความเชื่อใดที่จะทำให้เราเชื่อได้มากเท่ากับการที่เราได้รู้ได้เห็นเอง 
ฉะนั้น เมื่อเราปรารถนา ที่จะรู้จะเห็นเอง เราต้องใช้สติ ใช้ปัญญาของเราพิจารณา เพื่อเชื่อในส่วนหนึ่ง
เมื่อเรา เชื่อในส่วนหนึ่งแล้ว เราก็จะมีกำลังใจ หรือมีความปรารถนาที่จะมุ่งมั่น ตั้งใจฝึกฝน จนกว่าเราจะรู้...
-- เมื่อเรารู้ด้วยตัวเราเองแล้ว สิ่งต่างๆทั้งหลายที่จะดับการเกิดให้แก่เรานั้น ย่อมมีอยู่ในเรา--
สาธุ


https://youtu.be/ivECNmrEZm4

ที่มา https://sites.google.com/site/jantimema/thrrma-peid-lok/txn-thi-9-kar-raluk-chati

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น