วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2563

พระคาถาแก้โรคกรรม

บริกรรมว่า “ปฏิกะ มันตุ ภูตานิ”

ระหว่างที่พำนักอยู่ที่บ้านจีด มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ไอทั้งวันทั้งคืน เสาะหายาจากที่ต่าง ๆ มากิน จนนับขนานไม่ถ้วน ก็ยังไม่หาย ฟังเทศน์ก็ฟังไม่ได้ ขณะฟังก็ไออยู่ตลอดเวลา เป็นที่รบกวนสมาธิของผู้อื่น

คืนที่สาม พอฟังเทศน์จบลง พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จึงถามว่า "ทำไมไม่รักษา"

โยมผู้นั้นตอบว่า "กินยามาหลายขนานแล้วก็ไม่เห็นหาย" ท่านพระอาจารย์ฝั้นจึงบอกโยมผู้นั้นไปว่า "คงเป็นกรรมเก่าที่ทำมาแต่ปางก่อน ขอให้หัดภาวนาดู" แล้วบอกคาถาให้บริกรรมว่า “ปฏิกะ มันตุ ภูตานิ”

วันแรกท่านให้ภาวนาตั้งจิตบริกรรม โดยกำหนดจิตที่ใดที่หนึ่ง

วันแรกนั่งบริกรรมได้สักพักก็ยังไออยู่ตลอด วันที่สองปรากฏว่ามีอาการค่อยชุ่มคอขึ้นหน่อย อาการไอห่างไปบ้าง พอถึงวันที่สามอาการไอก็หายไปราวกับปลิดทิ้ง รู้สึกคอชุ่มขึ้น

โยมผู้นั้นนั่งบริกรรมอยู่จนดึกดื่น ใคร ๆ หลับกันหมด แกก็ยังไม่ยอมหลับ

ในที่สุดอาการไอก็หายโดยเด็ดขาดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โยมผู้นั้นสำนึกในบุญคุณ ได้เอาเงินทองมาถวายพระอาจารย์ฝั้น แต่ท่านไม่ยอมรับ

ผลที่สุดจึงเอาจักรเย็บผ้ามาถวาย อ้างว่าเป็นค่ายกครู เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ท่านพระอาจารย์ฝั้นจึงได้รับเอาจักรนั้นไปเย็บจีวรของท่านเองจนเสร็จแล้วจึงคืนให้

บทเรียนจาก #โคโรน่าไวรัส #COVID-19 โดยบิล เกสต์

 เดือนที่ผ่านมา  มหาเศรษฐีบิล เกสต์ บริจาคเงินจำนวน
กว่าสามพันล้านบาทเพื่อพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อ COVID
-19  เขาได้เขียนจดหมายเปิดผนึกที่ตีพิมพ์โดยหนังสือ
พิมพ์อังกฤษ The Sun เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563  ใน
ชื่อเรื่องว่า  “COVID-19 ให้บทเรียนอะไรกับเราบ้าง” 
เนื้อหาดีจนต้องแปลให้อ่านกัน 

“ผมเป็นคนที่เชื่อว่ามีบางอย่างดลบันดาลให้ทุกอย่างบน
โลกนี้เกิดขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี   ผมมาตรองดู
แล้วก็อยากจะแชร์สิ่งที่ผมคิดไว้ว่า COVID-19 กำลังทำ
อะไรกับเรา
 
1. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
พวกเราทุกคนเท่าเทียมกัน   ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัฒนธรรม
ไหน นับถือศาสนาอะไร มีอาชีพอะไรสถานะทางการเงิน 
หรือชื่อเสียง โรคนี้ปฏิบัติต่อเราอย่างเท่าเทียม และบาง
ทีเราก็ควรจะปฏิบัติต่อคนอื่นแบบนั้นบ้างเหมือนกัน   ถ้า
คุณไม่เชื่อ ก็ไปถาม ทอม แฮงค์ดู

2. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
พวกเราทุกคนมีความเชื่อมโยงกัน และอะไรที่กระทบคน
หนึ่งก็จะกระทบคนอื่นด้วย มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าพรมแดน
ปลอมๆที่เราสร้างขึ้นมาไร้ค่าเพียงใดเพราะโรคนี้เดินทาง
ไปโดยไม่ต้องใช้หน้งสือเดินทาง

ด้วยการบีบรัดเราในช่วงสั้นๆนี้  มันเป็นสิ่งเตือนให้เรานึก
ถึงคนที่เขาถูกกดขี่มาตลอดชีวิต

3. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
สุขภาพมีค่าเพียงใด    และเราได้ละเลยเรื่องนี้มาตลอด
ด้วยการกินอาหารที่ผลิตมาแบบแย่ๆ   และดื่มน้ำที่มีแต่
สารเคมีปนเปื้อน

4. มันเป็นสิ่งเตือนใจถึงชีวิตอันแสนสั้น และสิ่งสำคัญที่
สุดที่เราต้องทำ  นั่นคือการช่วยเหลือคนอื่น โดยเฉพาะ
ผู้สูงอายุและคนป่วย    จุดมุ่งหมายของเราตอนนี้คือเรา
จะไม่ไปกว้านซื้อกระดาษชำระ

5. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
สังคมเราวัตถุนิยมมากเพียงใด     และให้เราจำไว้ว่าใน
เวลายากลำบากเราต้องการแค่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ(อาหาร 
น้ำ ยารักษาโรค)   ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยที่เราไปให้ค่ามัน
โดยไม่จำเป็น 

6. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
ครอบครัวและการใช้ชีวิตกับครอบครัว สำคัญมากเพียง
ใด  ให้เรารู้ว่าเรามองไม่เห็นสิ่งนี้มากแค่ไหน   โรคนี้กำ
ลังบังคับให้เราต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน     เพื่อที่เราจะได้
สร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่และทำให้ครอบครัวแข็งแกร่ง
ขึ้นอีกครั้ง

งานของเรา
7. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
สิ่งที่เราต้องทำจริงๆไม่ใช่งาน  งานคือสิ่งที่เราทำ   แต่
เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ทำ งานจริงๆของเราคือการ
ดูแลและปกป้องคนอื่น และทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น

8. มันเป็นสิ่งเตือนใจให้เราควบคุมความเป็นตัวกู ของกู
มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า 
ไม่ว่าเราหรือคนอื่นจะคิดว่าเรายิ่งใหญ่แค่ไหนเชื้อไวรัส
นี้ก็ทำให้โลกหยุดนิ่งได้อยู่ดี
 
9. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
พลังในการเลือกอยู่ในมือเรา    เราเลือกได้ว่าจะทำงาน
ร่วมกับคนอื่น ช่วยและแบ่งปัน หรือจะเห็นแก่ตัว  กักตุน
ของ และดูแลแต่ตัวเอง    ยามยากนี่แหละที่ตัวตนที่แท้
จริงของเราจะเปิดเผยออกมา 

10. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
เราสามารถจะเป็นคนที่อดทนหรือตื่นตระหนก เราเข้าใจ
ได้ว่าสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งก่อนยุคของ
เราและมันจะผ่านไป   หรือเราจะตระหนกและมองมันว่า
เป็นจุดจบของโลกซึ่งดูแล้วน่าจะทำให้เราแย่มากกว่าดี
  
11. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
สิ่งนี้อาจจะเป็นทั้งจุดจบและจุดเริ่มต้น   ตอนนี้คือเวลา
ให้เรามาตรึกตรองและทำความเข้าใจว่าเราเรียนรู้อะไร
จากข้อผิดพลาด    เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรที่จะหมุนไป
จนกว่าเราจะได้บทเรียนที่เราต้องรู้ 

12. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
โลกของเราป่วย  มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน
ที่เราต้องมาดูอัตราการหายไปของป่า   และความเร็วที่
กระดาษชำระหายไปจากชั้นขายของ     เราป่วยเพราะ
บ้านเราป่วย

13. มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า
ยังมีฟ้าหลังฝน วงจรชีวิตยังหมุนไป  และตอนนี้เป็นแค่
ส่วนหนึ่งของวงจร    เราไม่ควรตระหนกเพราะเรื่องนี้จะ
ผ่านไป
 
14. ในเวลาที่หลายคนมองว่า Covid-19 เป็นหายนะที่
หนักหนาสาหัส ผมมองว่ามันเป็น ตัวแก้ปัญหาที่ถูกส่ง
มาให้เตือนเราถึงบทเรียนที่เราหลงลืมไป และเตือนว่า
ทุกอย่างอยู่ที่เราที่จะเรียนรู้มันอีกครั้งหรือไม่

โดย บิล เกตส์

QFS บัญชีหลักประกันโลก เพื่อมวลมนุษยชาติ

เริ่มต้น>>>>>>>>>>>>
^^$¥€฿ บัญชีหลักประกันโลก เพื่อมวลมนุษยชาติ..!!
#โปรดรักษาลมหายใจใว้ 
เพื่อรอการเปลี่ยนแปลง...

โครงการ..!!!
"ความมั่งคั่งของโลก"

เป็นประโยชน์กับทุกคนบนโลกใบนี้ อยู่ในช่วงรอการประกาศและเริ่มใช้งาน

"หนึ่งใน"อีกหลายๆกองทุนที่กล่าวถึง เรียกว่า
   "กองทุนหลักประกันสากล"
ภายใต้กฎหมายสหประชาชาติ..
Gesara/Nesara

ควบคุมด้วยระบบ QFS
QUANTUM Financial System 

กองทุนนี้มีโลหะมีค่า"ทองคำ"
และสกุลเงินสนับสนุนที่มี
"มูลค่าสูงกว่า"..!!

$10.000.000.000.000.000.000.000.000.000.000.000.000.000 .-
(เลข 0 จำนวน 40 ตัวหลัง 1 ในอัตรา US)

เงินจำนวนนี้จะนำไปทำการซื้อ บริษัน้ำมัน ธนาคารและ บริษัท ยาทั้งหมด และจะยกเลิก หนี้สินส่วนบุคคล,องค์กรและระดับประเทศทั้งหมดทั่วโลก

การยกเลิกหนี้สากลทั่วโลก
กองทุนนี้จะระงับข้อพิพาททั่วโลก
และจะถูกใช้เป็นบัญชี
"หลักประกันของโลก"

กองทุนนี้ เดิมมีกำหนดออกมาตั้งแต่ปี 2000 แต่ประธานาธิบดี จอร์จ บุช
WB และผู้วางแผนทางกฎหมายทั่วโลก
(Deep state/Cabal/Elite/Illuminati)

ระงับการเบิกจ่ายผ่านการควบคุมทั่วโลกและ "ปกปิด" ผ่านสื่อกระแสหลักเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับการมีอยู่ของกองทุนนี้

แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงเมื่อโปรแกรมความมั่งคั่งนี้ได้รับการเปิดเผย โดยพันธมิตรQAnon..!!

เมื่อประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว..
พวกเราจะเปลี่ยนอารยธรรมของมนุษย์อย่างถาวรในรูปแบบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเงิน

ประชากรทั้งหมด 
"ทุกไอดี" บนโลกจะได้รับประโยชน์ 

โลกจะเป็นดาวเคราะห์ที่อุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง เงินที่ได้รับการสนับสนุนจาก "ทองคำ" มากพอสำหรับทุกคนจะไม่มีภาระหนี้สินใดๆอีกต่อไป..!!

การเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ 
"แบ่งปัน" ทรัพยากรของโลกอย่างเป็นธรรม

การวางระบบดิจิตอลในธนาคารเพื่อมอบความเป็นธรรมทางการเงินให้ทุกคนในโลกสามารถเข้าถึงโปรแกรมการแจกจ่ายความมั่งคั่งได้

ณ. วันนี้ บุคคลหรือองค์กรรัฐลึก[ds]ใดๆในโลก
"ไม่สามารถ หยุดยั้งได้" 

การรีเซ็ตGCR นี้จะเกิดขึ้นกับ 209 ประเทศ..?!
เงินจำนวนมหาศาลจะได้รับการจัดสรรเพื่อวัตถุประสงค์

ด้านมนุษยธรรม,
แพคเกจความมั่งคั่ง,
โครงสร้างพื้นฐานและ
การคืนค่าสกุลเงินทั่วโลก

รวมอีกหลายโครงการช่วยเหลือด้าน "การเงิน" 
และจะมีการเผยแพร่เทคโนโลยีใหม่ๆที่ถูกระงับไว้ก่อนหน้านี้

เช่น:-
อุปกรณ์พลังงานฟรี,
อุปกรณ์ล้างมลพิษ
และเทคโนโลยีทางการแพทย์..!!

จบสิ้นกันที กับคำว่า  "หนี้ทาส"..?!
Ttango>__<
~~~~~~~~>__<~~~~~~~
มารู้จักระบบQFS กันครับ..?!
Quantum Financial System /QFS

"แควนตัม ไฟแนนเชียล​ ซิสเตมส์​"
หรือ ระบบการเงินที่ควบคุม​ผ่าน "ดาวเทียม​" 

ซึ่งจะมี ดาวเทียม​เป็นตัวควบคุม​ระบบการเงิน​ใหม่ทั้งหมด​  ดาวเทียม​มีทั้งหมด​ 12 ตัว  ใช้รักษา​ระบบปกติ 6 ตัว
ใช้รักษา​ระบบกรณีฉุกเฉิน​หาก 6 ตัว หากถูกแฮก  
ไปอีก 6 ตัว
ดาวเทียม 1 ตัวใช้รหัสผ่าน
ราวๆล้านรหัส  ซึ่งคนเจาะรหัสเพื่อจะขโมยเงิน  หรือคิดจะแฮกเงิน  คงต้องโคตรเทพจริงๆ  ถึงจะเจาะได้ทั้ง 6 ตัว  แล้วก็เจาะดาวเทียม​สำรอง​อีก 6 ตัว  รวมเป็น 12 ตัว  ถึงจะขโมย​เงินได้

ระบบ​การเงิน​ดิจิตอล​นี้  ถูก​ออกแบบ​มา​เพื่อความสุจริต​  ปราศจาก​การคอรัปชั่น​ จึงต้องควบคุม​ด้วยระบบปฏิบัติการ​ที่เข้มงวด​

เชื่อมั่นว่า ต่อไปมนุษยชาติบนโลกใหม่ใบนี้ จะใสสะอาดมากขึ้น..สภาวะจิตใจผู้คนจะ "สูงขึ้น" อยู่ในโลก "มิติที่5"

Cr:คุณวิชธานี หาญกล้า
#Ttango>__<
30/03/2020

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

The Angels ~ Light กำลังจะเกิดขึ้น, ความรักกำลังชนะ ช่อง: Ann Albers

 29 มีนาคม 2020

 เพื่อนรักของฉันเรารักคุณมาก

 ตอนนี้เราให้เกียรติทุกคนบนโลกของคุณเพราะคุณกำลังสร้างประวัติศาสตร์ - ประวัติศาสตร์วิญญาณ - นำในยุคใหม่ของแสงความร่วมมือการเชื่อมต่อความสามัคคีและความจริง  ท่ามกลางความมืดความรักอันยิ่งใหญ่และแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ก็ยังคงเกิดขึ้นต่อไป  วิญญาณของมนุษย์นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะวัดได้  ความรักของคุณกำลังมาถึงผิวน้ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 ที่กล่าวว่ายังมีความกลัวบนดาวเคราะห์ของคุณ  พวกคุณที่เห็นอกเห็นใจแม้ว่าคุณจะไม่กลัวไวรัส แต่ก็รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนแห่งความกลัว  ความกลัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณอาจนำติดตัวไปด้วยจิตวิญญาณของคุณเองสามารถขยายได้อย่างง่ายดายในขณะนี้  หากคุณรู้สึกว่าอารมณ์ของคุณรุนแรงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยนั่นเป็นเรื่องปกติ  หากคุณรู้สึกต้องการความสะดวกสบายเมื่อเร็ว ๆ นี้นั่นเป็นเรื่องปกติเช่นกัน

 คุณสามารถค้นพบความสงบในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้

 คุณสามารถพบความสงบสุขโดยการจำไว้เสมอว่าคุณมีพระเจ้าคุณพระคุณและลำธารแห่งความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคุณเพียงแค่ตั้งใจที่จะเข้าร่วมพลังเหล่านี้และผ่านความตั้งใจของคุณที่จะเป็นพรแก่ผู้อื่น

 คุณสามารถพบความสงบสุขด้วยการสวดอ้อนวอนขอแสงสว่างแห่งความรักเพื่อลุกขึ้นภายในใจของคุณเองและในหัวใจของมนุษยชาติ

 คุณสามารถพบความสงบสุขโดยการจินตนาการร่างกายของคุณเต็มไปด้วยแสงเช่นเดียวกับร่างกายของทุกคนที่คุณสนใจ

 คุณสามารถพบความสงบสุขด้วยการนั่งสมาธิหรือนั่งอยู่ในความเงียบของธรรมชาติฟังเสียงนกหรือดูเมฆไปตามทาง

 คุณสามารถพบความสงบสุขโดยห่อผ้าห่มรอบตัวคุณและเชิญทูตสวรรค์ของคุณมากอดและถือคุณเป็นพลังงานผ่านวัสดุรูปแบบของผ้าห่ม

 คุณสามารถพบความสงบสุขโดยตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเสมอ  ความรักนั้นเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าความกลัวอยู่เสมอและมันก็คือความรักของคุณส่วนใหญ่ที่คุณยังไม่สามารถรับได้จากผลกระทบการสั่นสะเทือนที่ลดลงบนโลกของคุณ

 คนที่รักนี่จะไม่นานชะมัด  ความรักของคุณจะเหนือกว่าและในเวลาไม่กี่เดือนสิ่งต่าง ๆ จะเริ่มดีขึ้นและน่าประหลาดใจมากขึ้น  เราเห็นว่าในอนาคตของคุณจิตใจของคุณได้รับชัยชนะเหนือความมืดแล้ว

 แทนที่จะขับคุณออกไปไกลกว่านี้มนุษยชาติจะกระหายการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  แทนที่จะทำให้คุณกลัวและเกลียดชังมันทำให้คุณหลงรัก  ไวรัสนี้ล้มเหลวในความพยายามที่จะแยกและแยกคุณในระยะยาว

 แทนที่จะเป็นคนที่รักมากขึ้นกว่าเดิมคุณจะรู้สึกถึงความสวยงามความรักความสามัคคี  มากขึ้นกว่าเดิมทั้งๆที่สถานะเงินเดือนเชื้อชาติสีผิวหรือลัทธิคุณกำลังตระหนักว่าคุณเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์  มากขึ้นกว่าเดิมก่อนที่คุณจะใส่ใจเกี่ยวกับเพื่อนบ้านครอบครัวของคุณเพื่อนของคุณ ... และผู้คนในอีกด้านหนึ่งของโลกที่คุณจะไม่พบเจอ

 คุณที่รักคือแสงที่ส่องประกาย  คุณคือคนที่ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการเชื่อมต่อ  คุณเป็นคนที่กล้าพูดกับจักรวาลและรอบ ๆ “ กลัวไม่ใช่เรื่องจริง!  ฉันพักผ่อนในความรักอันศักดิ์สิทธิ์และนั่นเป็นความจริงเพียงข้อเดียวที่ฉันจะยอมรับ”

 เราอยู่ที่นี่เพื่อคุณ  เรากำลังนำทางคุณ  ในด้านความปลอดภัย  เราเฉลิมฉลองหัวใจที่สวยงามของคุณและแสงที่น่าตื่นตาตื่นใจของคุณ

 ขอพระเจ้าอวยพรคุณ!  เรารักคุณมาก ๆ
 - เทวดา

 https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10158125820219758&id=828364757

จิตนาการถึงเรา เราช่วยได้

Arcturians
สวัสดีเราอยู่ที่นี่กับคุณตอนนี้และเราต้องการให้คุณรู้ว่าคุณจะไม่ถูกทอดทิ้ง  หากคุณรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจปัญหาของคุณมันเป็นเพียงภาพลวงตาเพราะเราใส่ใจคุณมากกว่าที่คุณจะเดาได้  คุณไม่ต้องไปคนเดียว

 แม้เมื่อคุณพลิกตัวและนอนบนเตียงในเวลากลางคืนและคุณรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่ถูกต้องเราก็อยู่กับคุณรักคุณปลอบโยนคุณและส่งคลื่นแห่งความเมตตาให้คุณ

 ยังเป็นตัวของตัวเองและเช็ดน้ำตาให้แห้ง  ลองนึกถึงสิ่งที่น่าพอใจที่คุณเห็นในระหว่างวัน  มันไม่ใช่ความเยือกเย็นทั้งหมดเพราะมีหลายสิ่งที่น่ารักเกิดขึ้น  ในขณะที่คุณหยุดและยังคงความปวดร้าวความถี่ของคุณจะเพิ่มขึ้นและนั่นคือเวลาที่คุณจะรู้สึกถึงเรา

 หากคุณล้มเหลวในการเพิ่มการสั่นสะเทือนของคุณเองไม่ต้องกังวล  เรายังอยู่ที่นั่น  ขอความสะดวกสบายขอการรักษาและรู้ว่ามันจะทำ

 ใช้จินตนาการของคุณเพื่อจินตนาการเราและเมื่อคุณทำคุณจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย  มันไม่สำคัญว่าคุณจะถ่ายรูปอะไร  อย่างไรก็ตามคุณทำเช่นนี้จะถูกต้อง  คุณรู้หรือไม่ว่าจินตนาการเป็นประตูสู่อาณาจักรแห่งความรักและแสงสว่างที่สูงขึ้น?  มันเป็นที่ที่เราอยู่

 เรากำลังรอคุณอยู่ที่นั่นในขณะที่เราคอยดูแลคุณเสมอ  เอื้อมมือออกไปหาเราที่รัก  เราต้องการช่วยคุณและเปลี่ยนความทุกข์ของคุณ

 เรารู้ว่าชีวิตนี้เจ็บปวดเพียงใดเพราะเราได้ยินคำอธิษฐานของคุณ  ตอนนี้เราอยู่ที่นี่กับคุณเพื่อเตือนคุณว่าคำอธิษฐานของคุณได้รับคำตอบเสมอ

 ช่วงเวลาปัจจุบันของคุณเป็นเพียงความจริงที่หายวับไป  อนาคตของคุณสดใสเราสัญญากับคุณ  พระอาทิตย์ขึ้นและทุกอย่างจะดี  จับมือกับเราจนกว่าคุณจะเห็นแสงแรก  เราจะช่วยให้คุณผ่านสิ่งที่คุณเป็นทุกข์

 เราเป็นเพื่อนที่รักของคุณ  เราคือชาวอาร์คตูเรียน

 ~ Arcturians channeled โดย Rita Kempf
 

ขอต้อนรับเข้าสู่ทองศรีวิไล

ด้วยเหตุการณ์ความตื่นตระหนกความวุ่นวายและความไม่แน่นอนในโลกเนื่องจากไวรัส ความว้าวุ่นใจที่น่าตกใจมากเหล่านี้ มันมากซะจนไม่น่าเชื่อว่า มันจะดึงดูดและรวมโลกทั้งใบเข้าไว้ด้วยกัน.....
ต่างมิติบอกว่า ...มิติที่ 3 กำลังจะพังถล่มลงมาแล้ว

พวกเขาเป็นห่วงว่ามีหลายคน ที่กำลังยึดติดอยู่ในโลกมิติที่ 3 (ซึ่งมันเป็นทางเลือกของพวกเขาเอง)  ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า มนุษย์กำลังจะได้พบกับทางแยกของเส้นทางเลื่อนระดับในแบบสุดขั้ว พวกเราที่ทราบเรื่องนี้ ถือว่าได้อาศัยอยู่ในมิติที่สูงกว่าคนส่วนใหญ่บนโลกแล้ว เพราะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดตามขั้นตอนต่อไปด้วยความเข้าใจและพร้อมใจ

พวกเขา (รูปธรรมต่างมิติ) อาจกำลังเตรียมการเข้าแทรกแซงกิจกรรมบนโลกเพื่อยุติความวุ่นวายทั้งหลายอยู่ก็เป็นได้ ประตูมิติเปิดแล้ว และจักรวาลกำลังทำการแยกข้าวสาลีและแกลบ / คัดแยกหยกออกจากหิน

การชำะระล้างด้วย"ไฟ" หรือ"แสงสว่าง"

กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ก็เพื่อให้โลกเกิดความบริสุทธิ์ในภาพรวม

"การสิ้นยุค "คือ "การสิ้นสุดอำนาจมืด" 

มิใช่การทำลายล้างใดๆอย่างที่มนษย์เคยเข้าใจ หมดสิ้นกันที่สำหรับสงคราม ความอดอยากหิวโหย การเอารัดเอาเปรียบ หรือความอยุติธรรม

ต่อไปโลกใบใหม่ จะมีแต่ความรัก ความสุข  ความเบิกบาน-ชื่นชมยินดี หลังจากฝุ่นตลบอบอวนจากเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกนี้ได้จางหายไป...!

ขอต้อนรับทุกท่านสู่....

โลกยุคใหม่ ยุคชาววิไล ที่ทุกท่านรอคอยครับ

Mead Nations

การนำพลังจักรวาลมารักษาโรคได้

การนำพลังจักรวาลมารักษาโรค  
ท่าน ดาสิรา นาราดา พระภิกษุชาวศรีลังกาได้รื้อฟื้นวิชานี้ขึ้นมาใหม่ ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. 2389 และมรณะ ภาพเมื่อ พ.ศ.2467 ท่านได้บำเพ็ญเพียร ศึกษาจนได้เคล็ดลับในการที่จะสามารถซึบซับ พลังจักรวาลซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติรอบๆตัวเรา และสามารถถ่ายทอดพลังนี้ไปยัง ผู้ที่มีความทุกข์จาก โรคภัยไข้เจ็บได้
พลังจักรวาล-รักษาโรคทั้งปวงที่เกิดบนโลกมนุษย์
ปีค.ศ.2000….เป็นปีที่ทุกคนต่างเรียกกันว่าปีแห่งสหัสวรรษใหม่ ปีที่มีความเจริญก้าวหน้าในหลายๆด้านบนโลกใบนี้ แต่ทุกท่านคงไม่ปฏิเสธว่า แม้โลกของเราจะมีความก้าวหน้าล้ำยุคไปมากเพียงใด ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังเป็นสิ่ง ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และ อาจเกิดขึ้นกับทุกคนถึงแม้จะไม่รุนแรงแต่ก็ทำให้เกิดทุกข์ ทำให้เราเข้าใจ เห็น ถึงสัจธรรมที่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
พลังจักรวาล เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ทำให้ท่านพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บได้ และต่อสู้บนโลก ใบนี้ที่พัฒนาอย่างไม่มีวันหยุด วิชาพลังจักรวาล ไม่ใช่วิชาที่แปลกใหม่แต่อย่างใด บางท่านอาจจะไม่ทราบ หรือทราบมาบ้างแล้วเพียงผิวเผินเท่านั้น
พลังจักรวาลมิใช่พลังทางไสยศาสตร์ ไม่มีการใช้คาถาอาคม ไม่จำกัดศาสนาหรือชนชาติใดๆในการรับการศึกษาหรือรับการบำบัดโรค พลังจักรวาล เป็นพลังธรรมชาติมีลักษณะเป็นคลื่นไฟฟ้าคล้ายคลื่นของรังสีคอสมิคผู้มีความสามารถในการซึมซับพลังจักรวาลมาสู่ร่างกาย จะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บ และยังมีความสามารถใช้พลังจักรวาล ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้หายหรือทุเลา
จากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้อีกด้วยนอกจากนี้ยังนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีกมากมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของแต่ละบุคคล
การรักษาโรคด้วยพลังจักรวาล จึงเป็นทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งทำให้โรคภัยไข้เจ็บทุเลาหรือหายได้โดยวิธีทางธรรมชาติ โดยใช้คุณธรรมสำคัญคือ ” ความเมตตา ” ดังนั้นผู้ให้การรักษา จึงไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น. ผลงานวิจัยหลายชิ้นได้ลงความเห็นว่า พลังจักรวาลใช้รักษาโรคและอาการหลายอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับ หู ตา จมูก หรือโรคไม่แสดงอาการความเจ็บป่วยออกมา ในสหรัฐอเมริกา และประเทศทั่วโลก มีผู้สนใจวิชานี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนมาจากระดับความรู้ต่างกัน มีผู้คนหลายวงการเช่น แพทย์ นักวิจัย วิศวกร ได้รับการอบรม เขาเหล่านั้นจะสามารถช่วยบรรเทา หรือรักษาโรคให้แก่ตนเองและคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือเพื่อนร่วมงาน โดยเพียงเขา ได้รับการเปิดจักระ ในร่างกายด้วยวิธีการที่ถูกต้อง และได้รับคำแนะนำจากผู้ที่มีความสามารถ จริงๆ
ประวัติวิชาพลังจักรวาล
วิชาพลังจักรวาลกำเนิดมานานมากจนไม่อาจระบุได้แน่นอนถึง ความเป็นมา วิธีการดั้งเดิมของพลังจักรวาลคือการใช้พลังของมนุษย์ และพลังจักรวาล ผสมผสานกัน เดิมวิชานี้มีความเจริญสูงสุดในยุคอาณาจักรแอตแลนติส หลังจากที่อาณาจักรนี้ล่มสลาย เนื่องจากมนุษย์มากด้วยกิเลส ตัณหา หลงตัวเองจนลืมปฏิบัติ ทำให้มลภาวะเข้าสู้ร่างกายและจิตใจ วิชานี้จึงได้เสื่อมคลายไปช่วงเวลาหนึ่ง เป็นผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนาๆมากมาย จนบางครั้งการแพทย์ ปัจจุบันยังไม่สามารถทำการรักษาได้
ในห้วงเวลาเกือบ 200 ปี นับตั้งแต่ที่ท่านได้วิธีรับพลังลี้ลับอันศักดิ์สิทธินี้ และถ่ายทอดวิชานี้ต่อๆมาจนปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันมากกว่า 70 ประเทศ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ผู้ที่นำวิชานี้มาสู่คนไทย เป็น อาจารย์ใหญ่วิชาพลังจักรวาล คือ ศ. ดร. เซอร์ เลือง มินห์ ด๋าง เป็นชาวเวียดนามเคยเป็นทหารร่วมรบกับอเมริกันในสมัยสงครามเวียดนาม ต่อมาได้อพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกา และได้รับสัญชาติเป็นชาวอเมริกัน ตั้งถิ่นฐาน อยู่ที่เมืองเซ็นต์หลุยส์ รัฐมิสซูรีเดิมท่านอาจารย์ใหญ่ใช้ชีวิติส่วนใหญ่ปฏิบัติกิจด้านศาสนาเป็นประจำ จนในที่สุดท่านได้มีโอกาสพบวิชาพลัง จักรวาลจากพระภิกษุชาวอินเดีย และได้ศึกษาปฏิบัติต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ ขณะเดียวกันได้พยายามเผยแพร่วิชาน ี้ จนกระจายไปกว่า 70 ประเทศทั่วโลก โดยเริ่มอย่างจริงจังที่สหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป ตลอดจนทวีปเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย

ขอบคุณผู้เรียบเรียงค่ะ

วิปัสสนาญาณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

บุคคลที่ทำลายพระศาสนา
เป็นนิสัย ไม่ควรมีในหมู่พุทธศาสนิกชน เพราะเป็นการดูแคลนพระพุทธศาสนาเกินไป พูดกันตรง ๆ ก็ว่า ไม่มีความเชื่อถือจริง และไม่ใช่นักปฏิบัติจริงปฏิบัติตามเขา พอได้ชื่อว่าฉันก็ปฏิบัติวิปัสสนาคนประเภทนี้แหละที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรม เพราะทำไปไม่นานก็เลิกแล้วก็เอาความไม่จริงไม่จังของตนเองนี่แหละไปโฆษณา บอกว่าฉันปฏิบัตินานแล้วไม่เห็นมีอะไรปรากฏ เป็นการทำลายพระศาสนาโดยตรง ฉะนั้นนักปฏิบัติแล้วควรตั้งใจจริงเพื่อมรรคผล ถ้ารู้ตัวว่าจะไม่เอาจริงก็อย่าเข้ามายุ่งทำให้ศาสนาเสื่อมทรามเลย ต่อไปนี้จะพูดถึงนักปฏิบัติที่เอาจริง

ก่อนพิจารณาวิปัสสนา
ทุกครั้งที่จะเจริญวิปัสสนาท่านให้เข้าฌานตามกำลังสมาธิที่ได้เสียก่อนเข้าฌานให้ถึงที่สุดของสมาธิถ้าเป็นฌานที่ ๔ ได้ยิ่งดี ถ้าได้สมาธิ ๆ ไม่ถึงฌาน ๔ ก็ให้เข้าฌานจนเต็มกำลังสมาธิที่ได้เมื่ออยู่ในฌานจนจิตสงัดดีแล้วค่อยๆคลายสมาธิมาหยุดอยู่ที่อุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณทีละขั้นอย่าละโมบโลภมาก ทำทีละขั้น ๆ นั้นจะเกิดเป็นอารมณ์ ประจำใจไม่หวั่นไหวเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ไม่กำเริบแล้ว จึงค่อยเลื่อนไปฌาน ต่อไปเป็น ลำดับทุกฌานปฏิบัติอย่างเดียวกันทำอย่างนี้จะได้รับผลแน่นอน ผลที่ได้ต้องมีการทดสอบจากอารมณ์จริงเสมอ อย่านึกคิดเอาเองว่าได้เมื่อยังไม่ผ่านการกระทบจริงต้องผ่านการกระทบจริงก่อน ไม่กำเริบแล้วเป็นอันใช้ได้

ธรรมเครื่องบำรุงวิปัสสนาญาณ
นักเจริญวิปัสสนาญาณที่หวังผลจริง ไม่ใช่นักวิปัสสนาทำเพื่อโฆษณาตัวเองแล้วท่านว่าต้องเป็นผู้ปรับปรุงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วนด้วย ถ้าบารมี ๑๐ ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด ผลในการเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่มีผลสมบูรณ์ บารมี ๑๐ นั้นมีดังต่อไปนี้ 
๑. ทาน คือการให้ ต้องมีอารมณ์ใคร่ต่อการให้ทานเป็นปกติ ให้เพื่อสงเคราะห์ ไม่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้ไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และความสมบูรณ์เต็มใจในการให้ทาน เป็นปกติ ไม่มีอารมณ์ไหวหวั่นในการให้ทาน 
๒. ศีล รักษาศีล ๕ เป็นปกติ ศีลไม่บกพร่อง และรักษาแบบอุกฤษฏ์ คือไม่ทำศีล ให้ขาดหรือด่างพร้อยเอง ไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจเมื่อคนอื่นละเมิดศีลไม่ดีใจเมื่อ คนอื่นละเมิดศีล 
๓. เนกขัมมะ การถือบวช คือถือพรหมจรรย์ ถ้าเป็นนักบวช ก็ต้องถือสิกขาบท อย่างเคร่งครัดถ้าเป็นฆราวาสต้องเคร่งครัดในการระงับอารมณ์ทีเป็นที่เป็นทางของนิวรณ์ ๕ คือทรงฌานเป็นปกติอย่างต่ำก็ก็

ปฐมฌาน 
๔. ปัญญา มีความคิดรู้เท่าทันสภาวะของกฎธรรมดา เห็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา เป็นปกติ 
๕. วิริยะ มีความเพียรเป็นปกติไม่ท้อถอยในการปฏิบัติเพื่อมรรคผล 
๖. ขันติ อดทนต่อความยากลำบาก ในการฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจอดกลั้น ไม่หวั่นไหว จนมีอารมณ์อดกลั้นเป็นปกติ ไม่หนักใจเมื่อต้องอดทน 
๗. สัจจะ มีความจริงใจไม่ละทิ้งกิจการงานในการปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล 
๘. อธิษฐาน ความตั้งใจ ความตั้งใจใด ๆ ที่ตั้งใจไว้ เช่นสมัยที่สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้าพระองค์เข้าไปนั่งที่โคนต้นโพธิ์ พระองค์ทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราไม่ได้สำเร็จ พระโพธิญาณเพียงใดเราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไปหรือชีวิต จะตักษัยคือสิ้นลมปราณก็ตามทีพระองค์ทรงอธิษฐานเอาชีวิตเข้าแลกแล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น การปฏิบัติต้องมีความมั่นใจอย่างนี้ ถ้าลงเอาชีวิตเป็นเดิมพันแล้วสำเร็จ ทุกราย และไม่ยากเสียด้วย ใช้เวลาก็ไม่นาน 
๙. เมตตา มีความเมตตาปรานีไม่เลือก คน สัตว์ ฐานะ ชาติ ตระกูลมีอารมณ์เป็น เมตตาตลอดวันคืนเป็นปกติ ไม่ใช่บางวันดีบางวันร้ายอย่างนี้ไม่มีหวัง 
๑๐. อุเบกขา ความวางเฉยต่ออารมณ์ที่ถูกใจ และอารมณ์ที่ขัดใจอารมณ์ที่ถูกใจรับแล้วก็ทราบว่าไม่ช้าอาการอย่างนี้ก็หมดไปไม่มีอะไรน่ายึดถือพบอารมณ์ที่ขัดใจก็ปลงตกว่า เรื่องอย่างนี้มันธรรมดาของโลกแท้ๆ เฉยได้ทั้งสองอย่าง 
บารมี ๑๐ นี้ มีความสำคัญมากถ้า นักปฏิบัติบกพร่องในบารมี๑๐ นี้ แม้อย่างเดียว วิปัสสนาญาณก็มีผลสมบูรณ์ไม่ได้ที่ว่าเจริญกันมา ๑๐ปี ๒๐ ปี ไม่ได้อะไรนั้น ก็เพราะเป็น ผู้บกพร่องในบารมี ๑๐ นี่เอง ถ้าบารมี ๑๐ ครบถ้วนแล้วผลการปฏิบัติเขานับวันสำเร็จกันไม่ใช่นับเดือนนับปีฉะนั้นท่านนักปฏิบัติเพื่อมรรคผลต้องสนใจปฏิบัติในบารมี ๑๐ นี้ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ

วิปัสสนาญาณสามนัย
วิปัสสนาญาณที่พิจารณากันมานั้น ท่านสอนไว้เป็นสามนัย คือ 
๑. พิจารณาตารมแบบวิปัสสนาญาณ ๙ ตามนัยวิสุทธิมรรคที่ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ รจนาไว้ 
๒. พิจารณาตามนัยอริยสัจ ๔ 
๓. พิจารณาขันธ์ ๕ ตามในพระไตรปิฎก ที่มีมาในขันธวรรค 
ทั้งสามนัยนี้ ความจริงก็มีอรรถ คือความหมายเป็นอันเดียวกันโดยท่านให้เห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกันท่านแยกไว้เพื่อเหมาะแก่อารมณ์ของแต่ละท่าน เพราะบางท่านชอบค่อยทำไปตามลำดับตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ เพราะเป็นการค่อยปลด ค่อย เปลื้องตามลำดับทีละน้อยไม่หนักอกหนักใจ บางท่านก็ชอบพิจารณาแบบรวม ๆ ใน ขันธ์ ๕เพราะเป็นการสะดวกเหมาะแก่อารมณ์ บางท่านที่ชอบพิจารณาตามแบบอริยสัจนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเอง และนำมาสอนปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก ท่านเหล่านั้นได้มรรคผลเป็นปฐม ก็เพราะได้ฟังอริยสัจ แต่ทว่าทั้งสามนี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกันคือให้เห็น อนัตตาในขันธ์ ๕ เหมือนกัน ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคและในขันธวรรคในพระไตรปิฎก ว่าผู้ใดเห็นขันธ์ ๕ ผู้นั้นก็เห็นอริยสัจผู้ใดเห็นอริยสัจก็ชื่อว่าเห็นขันธ์ ๕
เอาสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์
นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้นท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเราเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัตตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง

สังโยชน์ ๑๐
สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะมี ๑๐อย่างคือ 
๑. สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณนี้ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา 
๒. วิจิกิจฉา สงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะไม่ได้ผลจริงตามที่ฟังมา 
๓. สีลัพพตปรามาส ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ถือตาม ๆเขาไปอย่างนั้นเอง สามข้อ นี้ ถ้าตัดได้เด็ดขาด ท่านว่าได้บรรลุเป็นพระโสดากับพระสกิทาคามี 
๔. กามราคะ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและอาการ ถูกต้องสัมผัส 
๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ ทำให้ไม่พอใจ อันนี้เป็นโทสะแบบเบาๆ ข้อ (๑) ถึง (๕) นี้ ถ้าละได้เด็ดขาด ท่านว่าบรรลุเป็นอนาคามี 
๖. รูปราคะ พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือ รูปฌาน 
๗ รูปราคะ พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรือในอรูปฌาน 
๘. อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง 
๙. มานะ ความถือตนโดยความรู้สึกว่า เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขาเราเสมอเขา
๑๐.อวิชชา ความโง่ คือหลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ที่ ท่านเรียกว่า อุปาทาน เป็นคุณธรรมฝ่ายทราม ที่ท่านเรียกว่า อวิชชา 
สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่างโดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผลเครื่องวัด อารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบกับสังโยชน์ ๑๐ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะ ให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนเข้าไปหา ข้ออื่น ทำอย่างนี้ได้ผลเร็วเพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี้แหละเพราะเป็นของใหม่และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตกด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้ต่อไปจะนำเอาวิปัสสนาญาณสามนัยมากล่าว ไว้พอเป็นแนวปฏิบัติพิจารณา

วิปัสสนาญาณ ๙
๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ
๓.ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
๕.นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย
๖. มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร
๘. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร
๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้นเพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ
ญาณทั้ง ๙ นี้ญาณที่มีกิจทำเฉพาะอยู่ตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึง ญาณที่ ๘ เท่านั้น ส่วนญาณ ที่ ๙ นั้นเป็นชื่อของญาณบอกให้รู้ว่า เมื่อฝึกพิจารณามาครบ ๘ ญาณแล้ว ต่อไปให้พิจารณาญาณทั้ง๘ นั้น โดยอนุโลมและปฏิโลม คือพิจารณาตามลำดับไปตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึงญาณที่ ๘แล้วพิจารณาตั้งแต่ญาณที่ ๘ ย้อนมาหาญาณที่ ๑จนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ทุก ๆ ญาณและจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณคือจิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อนก็ไม่มีความทุกข์ ความเร่าร้อนไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่าครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้เป็นต้นคำว่าครอบงำหมายถึงความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตายไม่หนักใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่านี่มันเป็นของธรรมดาโกรธทำไม แล้วอารมณ์โกรธก็หายไปนอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิดเคยหวั่นไหวได้แล้วจิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใดสามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะมีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติคล้ายกับชายหนุ่มหญิงสาวเพิ่งแรกรักกัน จะนั่ง นอน ยืนเดินทำกิจการงานอยู่ก็ตามจิตก็ยังอดที่จะคิดถึงคนรักอยู่ด้วยไม่ได้บางรายเผลอถึงกับเรียกชื่อคนรัก ขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆที่ไม่ได้คิดว่าจะเรียกทั้งนี้เพราะจิตมีความผูกพันมาก คนรักมีอารมณ์ ผูกพันฉันใดท่านที่มีอารมณ์เข้าสู่โคตรภูญาณก็มีความใฝ่ฝันถึงพระนิพพานเช่นเดียวกันหลังจากเข้าสู่โคตรภูญาณเต็มขั้นแล้ว จิตก็ตัดสังโยชน์ ๓ เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหานคือตัดได้เด็ดขาดไม่กำเริบอีก ท่านเรียกว่าได้อริยมรรคต้นคือเป็นพระโสดาบันต่อไปนี้ จะได้ อธิบายในวิปัสสนาญาณ ๙ เป็นลำดับไปเป็นข้อ ๆ

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาความเกิดและความดับของสังขาร คำว่าสังขาร หมายถึง สิ่งที่เป็นร่างทั้งหมด ทั้งที่มีวิญาณและวัตถุท่านให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่เลยพยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด ดูตัวอย่างคน ที่เกิดแล้วตายของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รักของที่มีชีวิตและไม่มีคิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตายทำลายอย่างนี้และพร้อมเสมอที่จะไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้นพิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตามแม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่านี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลายแม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณอะไรที่ไหนที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาล ไม่มีรักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้จนอารมณ์ไม่กำเริบแล้วจึงค่อยย้ายไปพิจารณาญาณ ที่สอง จงอย่าลืมว่าก่อนพิจารณาทุกครั้งต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌานมาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌานแล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณ จึงจะเห็นเหตุเห็นผลง่าย ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ววิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่า นั่งนึกนอนนึกแล้วในที่สุดก็เลิกนึก และหาทางโฆษณาว่าฉันทำมาแล้วหลายปีไม่เห็นได้ อะไรเลยจงจำระเบียบไว้ให้ดี และปฏิบัติตามระเบียบให้เคร่งครัด วิปัสสนาไม่ใช่ต้ม ข้าวต้มจะได้สุกง่าย ๆ ตามใจนึก

๒.ภังคานุปัสสนาญาณ
ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาถึงความดับ ญาณต้นท่านให้เห็นความเกิดและความดับสิ้นเมื่อปลายมือ แต่ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นความดับที่ดับเป็นปกติทุกวัน ทุกเวลา คือพิจารณาให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหมดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คนสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา บ้านเรือนโรง ของใช้ทุกอย่าง ให้ค้นหาความดับที่ค่อย ๆ ดับตามความเป็นจริง ที่สิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ เก่าลง คนค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจากความเป็นเด็ก และค่อยๆ ละความเป็นหนุ่มสาวถึงความเป็นคนแก่ ของใช้ที่ไม่มีชีวิตเปลี่ยนสภาพจากเป็นของใหม่ค่อยๆ เก่าลง ต้นไม้เปลี่ยนจากเป็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกิ่งใบที่ไสวกลายเป็นต้นไม้ที่ค่อยๆ ร่วงโรย ความสลายตัวที่ค่อยเก่าลง เป็น อาการของความสลายตัวทีละน้อยค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาความสลายใหญ่คือความดับสิ้นในที่สุด ค่อยพิจารณาให้เห็นชัดเจนแจ่มใส จนอารมณ์จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีความชินจิตว่าไม่มีอะไรมันทรงตัว ไม่มีอะไรยั่งยืน มันค่อยๆ ทำลายตัวเองอย่างนี้ทั้งสิ้น แม้แต่อารมณ์ใจก็เช่นเดียวกัน อารมณ์ที่พอใจและอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็มีสภาพไม่คงที่มีสภาพค่อย ๆสลายตัวลงไปทุกขณะเป็นธรรมดา
รวมความว่าความเกิดขึ้นนี้เป็นสภาพที่จำต้องเดินไปหาความดับในที่สุด แต่กว่าจะถึงที่สุดก็ค่อยๆ เคลื่อนดับ ดับทีละเล็กละน้อยทุกเวลาทุกขณะ มิได้หยุดยั้งความดับเลยแม้แต่เสี้ยวของวินาที ปกติเป็นอย่างนี้จิตหายความหวั่นไหวเพราะเข้าใจและคิดอยู่ รู้อยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

๓. ภยตูปัฏฐานญาณ
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัวท่านหมายถึงให้กลัวเพราะสังขารมีสภาพพังทลายเป็นปกติอยู่เป็นธรรมดาอย่างนี้จะเอาเป็นที่พักที่พึ่งมิได้เลย สังขารเมื่อมีสภาพต้องเสื่อมไปเพราะวันเวลาล่วงไปก็ดี เสื่อมเพราะเป็นรังของโรคมีโรคภัยนานา ชนิดที่คอยเบียดเบียน เสียดแทงจนหาความปกติสุขมิได้ โรคอื่นยังไม่มีโรคหิวก็รบกวน ตลอดวัน กินเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ กินแล้วกินอีก กินในบ้านก็แล้วกินนอกบ้านก็แล้ว อาหาร ราคาถูกก็แล้ว ราคาแพงก็แล้ว มันก็ไม่หายหิวถึงเวลามันก็เสียดแทงหิวโหยเป็นปกติของ มันฉะนั้นโรคที่สำคัญที่สุดพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โรคนั้น คือโรคหิวดังพระบาลี ว่า ชิฆจฺฉาปรมา โรคา แปลว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง โรคภัยต่างๆ มีขึ้นได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความหิวจะมีได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความแก่ ความทุกข์อันเกิดจากภยันตรายจะมีได้ ก็เพราะอาศัยสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีทุกข์ในที่สุดก็ถึงความแตกดับ ก็เพราะสังขารเป็นมูลเหตุ สังขารจึงเป็นสิ่งน่ากลัวมาก ควรจะหาทางหลีกเร้นสังขารต่อไป
๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้เห็นโทษของสังขาร ความเจริญญาณนี้น่าจะจัดรวมกับญาณที่ ๓ เพราะอาการที่ทำลายนั้น เป็นอาการของสิ่งที่เป็นโทษอยู่แล้ว ฉะนั้นข้อนี้จึง ไม่ต้องอธิบายโปรดถือคำอธิบายของญาณที่ ๓ เป็นเครื่องพิจ

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้มีความเบื่อหน่ายจากสังขาร เพราะสังขารเกิดแล้วดับในที่สุดนี้ประการหนึ่ง สังขารมีความดับเป็นปกติทุกวันเวลา หรือจะว่าทุกลมหายใจเข้า ออกก็ไม่ผิด นี้ประการหนึ่ง สังขารเป็นภัยเพราะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นปกติ และ ทำลายในที่สุดประการหนึ่งสังขารเต็มไปด้วยความทุกข์และโทษประการหนึ่ง ฉะนั้นสังขารนี้เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นของน่ารัก น่าปรารถนาเลย ญาณนี้ควรเอาอสุภสัญญาความเห็นว่าไม่สวยไม่งามมาร่วมพิจารณาด้วย เอามรณานุสสติธาตุ ๔ มาร่วมพิจารณาด้วยจะเห็นเหตุเห็นผลชัดเจน เกิดความเบื่อหน่ายได้โดยฉับพลัน เพราะกรรมฐานที่กล่าวแล้วนั้นเราพิจารณาในรูปสมถะอยู่แล้ว และเห็นเหตุผลอยู่แล้วเอามาร่วมด้วยจะได้ผลรวดเร็ว และชัดเจนแจ่มใสมากเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารอย่างชนิดที่ไม่มีวันที่จะเห็นว่าน่ารัก ได้เลย

๖. มุญจิตุกัมมยตาญาณ
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเพื่อใคร่ให้พ้นจากสังขาร ทั้งนี้เพราะอาศัยที่เห็นแล้วจากญาณต้น ๆ ว่า เกิดแล้วก็ดับ มีความดับเป็นปกติเป็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะโรคภัยไข้เจ็บจนเกิดความเบื่อหน่ายเพราะหาความเที่ยง ความแน่นอนไม่ได้ ท่านให้พยายามหาทางพ้นต่อไปด้วยการพยายามหาเหตุที่สังขารจะพึงเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีสังขารแล้ว ความทุกข์ความเบื่อหน่ายทั้งหลายเหล่านี้จะมีไม่ได้เลยการที่หาทางเบื่อหน่าย ท่านให้แสวงหาเหตุของความเกิดดังต่อไปนี้ 
๑. ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย เป็นต้น มีขึ้นได้เพราะชาติ คือความเกิด 
๒. ชาติ ความเกิดมีได้เพราะ ภพ คือความเป็นอยู่ 
๓. ภพ คือภาวะความเป็นอยู่ มีขึ้นได้ เพราะอาศัย อุปาทาน ความยึดมั่น 
๔. อุปาทาน ความยึดมั่นมีขึ้นได้ เพราะอาศัย ตัณหา คือความทะยานอยากคือ อยากมี อยากเป็น อยากปฏิเสธ 
๕. ตัณหา มีได้ เพราะอาศัย เวทนา คือ อารมณ์ที่รู้สึกสุข ทุกข์และเฉยๆ 
๖. เวทนา มีขึ้นได้ เพราะอาศัย ผัสสะ คือ การกระทบกระทั่ง 
๗. ผัสสะ มีขึ้นได้ เพราะอาศัย อายตนะ ๖ คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียงจมูกสูดกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส และอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดแก่ใจ 
๘. อายตนะ ๖ มีขึ้นได้เพราะอาศัย นามและรูป คือ ขันธ์ ๕สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา คือ ร่างกายเรียกว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนามท่านรวมเรียกทั้งรูปทั้ง นามว่า นามรูป 
๙. นามรูป มีขึ้นได้เพราะอาศัย วิญญาณปฏิสนธิ คือ เข้ามาเกิด วิญญาณในที่นี้ท่านหมายเอาจิต ไม่ได้หมายเอาวิญญาณในขันธ์ ๕ 
๑๐. วิญญาณ มีขึ้นได้เพราะ มีสังขาร 
๑๑. สังขาร มีได้เพราะอาศัย อวิชชา คือ ความโง่เขลาหลงงมงาย มีความรักความพอใจในโลกวิสัยเป็นเหตุ 
รวมความแล้วความทุกข์ทรมานที่ปรากฏขึ้น จนต้องหาทางพ้นนี้ อาศัยอวิชชา ความโง่เป็นสมุฏฐานฉะนั้น การที่จะหลีกเร้นจากสังขารได้ก็ต้องตัดอวิชชาความโง่ออกด้วยการพิจารณาสังขารให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้แน่นอนจึงจะพ้นสังขารนี้ได้
๗.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ
พิจารณาหาทางที่จะให้สังขารพ้น ญาณนี้ไม่เห็นทางอธิบายชัด เพราะมีอาการ ซ้อนๆ กันอยู่ ควรเอา ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละเป็นเครื่องพิจารณา

๘. สังขารุเปกขาญาณ
ท่านสอนให้วางเฉย ในเมื่อสังขารภายในคือ ร่างกายของตนเองและสังขารภายนอกคือร่างกายของคน และ สัตว์ ตลอดจนของใช้ที่ไม่มีและมีวิญญาณที่ต้องได้รับเคราะห์กรรม มีทุกข์ มีอันตราย โดยตัดใจปลงได้ว่าธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มีจิต สบายเป็นปกติไม่มีความหวั่นไหว เสียใจ น้อยใจเกิดขึ้น

๙. สัจจานุโลมิกญาณ
พิจารณาญาณทั้งหมดย้อนไปย้อนมาให้เห็นอริยสัจ คือเห็นว่า สังขารที่เป็นแดนของความทุกข์ เพราะอาศัยตัณหา จึงมีทุกข์หนักอย่างนี้ พิจารณาเห็นว่าสังขารมีทุกข์ประจำ เป็นปกติ ไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์เลย อย่างนี้เรียกว่าเห็นทุกขสัจจะเป็นอริยสัจที่ ๑
พิจารณาเห็นว่าทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย ตัณหาความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี อยากเป็นในสิ่งที่ ไม่เคยเป็นอยากปฏิเสธ ในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น ไม่อยากให้สลายตัว เจ้าความอยาก ทั้ง ๓นี้แหละเป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ก็เพราะเข้าถึงจุดของความดับ คือนิโรธเสียได้

จุดดับนั้นท่านวางมาตรฐานไว้ ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านเรียกว่ามรรค ๘ ย่อมรรค ๘ ลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ เพราะอาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิเป็นฌาน ปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและดับอารมณ์พอใจไม่พอใจ เสียได้ ตัดอารมณ์ใจในโลกวิสัยได้ ตัดความกำหนัดยินดีเสียได้ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ ๔ ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่องจนจิต ครอบงำความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิตเสียได้ชื่อว่าท่านได้ วิปัสสนาญาณ ๙ และอริยสัจ ๔ แต่อย่าคิดว่าเราดีแล้วต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไป จนตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้แล้วนั่นแหละชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว

สองแนวทางการป้องกันไวรัสโควิด19

พระมารดาศักดิ์สิทธิ์ - ขอแอนติบอดีที่จะดาวน์โหลดลงในตัวคุณและทุกคน
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563
โดย Jennifer Crokaert
ลูก ๆ ที่รักของฉัน
ฉันพูดกับคุณทุกคนอย่างจริงจังในวันนี้เพราะฉันเห็นความเจ็บปวดความยากลำบากความสับสนอลหม่านและความกลัวที่เดือดดาลในใจลูก ๆ ของฉัน แม้แต่คนในหมู่พวกคุณที่กล้าหาญชัดเจนและแน่วแน่ที่สุดก็ยังมีช่วงเวลาที่คุณสั่นคลอน 

นี่เป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องปกติ มีความยิ่งใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาการระเบิดของการปฏิเสธที่เก็บไว้ซึ่งพุ่งออกมาจากมนุษยชาติและปฐมภพในเวลาเดียวกัน และเป็นคุณลูกที่รักของฉันของแสงและความรักที่จะล้างมัน 

ไม่ว่าคุณจะพัฒนาจิตวิญญาณอย่างไรคุณจะมีช่วงเวลาที่คุณรู้สึกท่วมท้นวิตกกังวลหรืออึดอัด มันเป็นเช่นนั้นเพราะชิ้นส่วนสุดท้ายของการล้างเชื้อสายของคุณก็เกิดขึ้นกับคุณเช่นกัน

ไม่เคยทำสิ่งที่ทรงพลังเช่นนี้งานที่มองไม่เห็นหรือความกล้าหาญเช่นนี้มาก่อนในสายตาธรรมดา คุณเป็นผู้ถือแสงของฉันละลายความมืดของสหัสวรรษ 

ความรักของฉันที่มีต่อคุณฉันซาบซึ้งในงานของคุณและความสุขของฉันในขณะที่แม่ที่รักของคุณรู้ว่าไม่มีขอบเขต เมื่อคุณรู้สึกอ่อนแอละลายในอ้อมแขนของฉันฉันจะถือคุณเลี้ยงดูคุณและนำคุณกลับไปสู่ความแข็งแกร่งอย่างเต็มรูปแบบนั่นคือคำสัญญาของฉันกับลูก ๆ ของฉันทุกคน 

ฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อแบ่งปันกับคุณว่าผู้ชายคนนี้สร้างยานพาหนะแห่งความเกลียดชังไม่สามารถอยู่ในมิติที่สูงขึ้นและความถี่ของความรัก มันดึงข้อมูลเชิงลบและทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมากเพื่อให้สามารถอยู่ได้

แต่ไม่ได้เกลียดไวรัสที่ไม่ได้เกิด แต่สร้างขึ้น มันไม่ใช่ 'อินทรีย์' ในแง่นั้น หากคุณเกลียดชังหรือหวาดกลัวคุณจะสร้างช่องทางพลังเชิงลบซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่ซ่อนเร้นซึ่งสร้างขึ้น - นอกเหนือจากการสูญเสียชีวิตอันเจ็บปวด 

วัตถุประสงค์รองของมันคือการสร้างพลังงานสำหรับผู้ที่กินพลังงานเชิงลบ พวกเขาเชื่อว่าพวกเขากำลังฉลอง แต่มันเป็นภาพลวงตา 

มีสองวิธีที่ฉันขอเชิญคุณให้เป็น 'ผู้ตอบโต้คนแรก' ในช่วงเวลาฉุกเฉินนี้ ประการแรกคือการส่งความรักไปยังไวรัสและทุกคนที่อยู่ในอิทธิพลของมัน การปฏิบัตินี้ด้วยความตั้งใจอย่างสูงสามารถละลายการแพร่กระจายของไวรัสความรุนแรงของอาการและผู้เสียชีวิตเนื่องจากมันจะตัดมันออกจากรากอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีที่สองคือเชิญการดาวน์โหลดแอนติบอดีเข้าสู่ระบบของคุณและสู่ประชากรโดยทั่วไป ในบางความถี่ความฉลาดทางแสงเฉพาะนี้เป็นไปได้ทั้งหมดเนื่องจากคุณเป็นผลึกและไม่ใช่คาร์บอนดังนั้นคุณสามารถเปลี่ยน DNA ของคุณได้ตามต้องการ ยิ่งคุณมีผู้เชิญอย่างจงใจในการปรับแต่งนี้ยิ่งคุณเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า 'เอฟเฟ็กต์ Hundreth Monkey' หรือ 'ภูมิคุ้มกันฝูง' ได้เร็วขึ้นเท่าไหร่ 

ลูกที่รักของฉันคุณไม่ได้เป็นฝูงกับฉันมากกว่าคนที่คุณรักจะอยู่กับคุณ ทุกคนในพวกคุณต่างก็มีค่าสำหรับฉันในแบบที่เกินจินตนาการที่สุดของคุณ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงให้วิธีที่เป็นรูปธรรมที่คุณอาจเริ่มวันนี้เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของความเจ็บป่วยนี้ในกรอบเวลาที่เงียบสงบกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ไว้

ผู้เชี่ยวชาญกำลังมุ่งเน้นไปที่มิติที่ 3 เพื่อสร้างการสันนิษฐานและการคำนวณของพวกเขา คุณกำลังโทรเข้าและติดไฟมิติที่ 5 คุณกำลังเปิดใช้งานองค์ประกอบผลึกของเมทริกซ์โฮโลแกรมของจักรวาลทั้งหมดของคุณ เนื่องจากคุณกำลังดำเนินการเชิงควอนตัมผลลัพธ์ของคุณจะมีผลกระทบชี้แจงที่ท้าทายความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 

คุณมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตบนโลกในขณะนี้ ฉันไม่ได้มอบของขวัญให้กับคุณ พระบิดาไม่ได้มอบให้คุณ มันเป็นของคุณเพราะเราคือทุกคน ฉันคือคุณ. คุณคือฉัน. เราเป็นหนึ่งเดียว. 

ด้วยความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดของฉันสำหรับคุณทั้งหมดหัวใจที่รักของฉัน

https://jennifercrokaert.blogspot.com/2020/03/divine-mother-ask-for-antibody-to-be.html
- [ ] zzz

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563

เตรียมพร้อมContact

เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโลกสำหรับการบุกทะลวงการบีบอัดกองกำลัง Light ได้ขอให้ฉันสั่งประชากรพื้นผิวให้เปลี่ยนพื้นผิวของดาวเคราะห์ให้เป็น Contact Contact
 คำแนะนำ:

 หากคุณเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่มีพื้นที่ราบขนาดเล็กใหญ่พอสำหรับยานอวกาศ Pleiadian จานรองไปถึงที่ดินคุณสามารถพูดคำสั่งต่อไปนี้ได้อย่างเงียบ ๆ :

 “ ในนามของการปรากฏตัวของฉันฉันฉันสั่งและฉันสั่งให้จอดเรือ Pleiadian บนแผ่นดินที่ฉันเป็นเจ้าของและการติดต่อครั้งแรกกับ Pleiadians จากเรือลำนั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  “

 มันสำคัญมากที่คุณจะไม่พูดคำพิพากษานี้และคุณไม่เคยพูดถึงคำสั่งของคุณกับใครไม่เช่นนั้นคุณจะไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Contact Dish ได้ 

 โดยไม่ให้ใครรู้ว่าคุณทำตามคำสั่งหรือไม่คุณกำลังปกป้องลำดับการติดต่อของคุณเองกับ Pleiadians จากการแทรกแซงทางกายภาพและทางกายที่ไม่ใช่ทางกายภาพที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น  แต่โดยทั้งหมดคุณสามารถแบ่งปันคำแนะนำสำหรับ Contact Plate กับส่วนที่ตื่นขึ้นของประชากรมนุษย์

 7x7 เมตร / หลาเป็นขั้นต่ำที่แน่นอนสำหรับเรือ Pleiadian ขนาดเล็กลงจอด 30x30 เมตรเหมาะสมที่สุด

 Pleiadians เป็นสิ่งมีชีวิตในแง่บวกของ Light  หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นโปรโตคอลของ Contact Dish จะไม่เหมาะกับคุณ

 เจตจำนงเสรีรวมกันของคนหลายพันคนที่ทำให้กฤษฎีกานี้ทั่วโลกจะส่งสัญญาณการติดต่อที่สอดคล้องกันของแสงเร้าใจลงในตารางพลังงานของโลกและต่อ Pleiadians  มันจะเปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็น Contact Contact ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มวลวิกฤตที่ต้องเกิดขึ้นมีประมาณ 12,000 คน  นี่จะเป็นข้อบ่งชี้สำหรับ Pleiadians และ Galactic Central Race ที่ส่วนที่ตื่นขึ้นของประชากรมนุษย์ได้มาถึงวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณซึ่งเท่ากับ 0.75 ในระดับ Kardashev:

 http://www.veronicasicoe.com/blog/2014/04/the-kardashev-scale-0-to-6/

 http://2012portal.blogspot.com/2018/03/contact.html?m=1

 นี่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าลำดับการติดต่อสามารถเริ่มต้นได้

ความลับรหัส 13:31

✨✨💛เปลี่ยนมาจาก Pleiadian Collective 9D 💛
 ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันโพสต์นี้ดังนั้นเราจึงกระจายแสงสว่างไปทั่วโลก!

 Pleiadian เชื้อเชิญให้เชื่อมต่อกับโลก  ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ดังนั้นคุณสามารถปรับให้เข้ากับจังหวะของธรรมชาติ

 "เราทักทายคุณทั้งหมดที่เรารักและสว่างและเราให้เกียรติธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณ!

 ที่รักวันนี้เราขอเชิญคุณเดินทางไปดวงดาว  เราสังเกตเห็นว่าร่างกายของคุณไม่ได้ปรับจังหวะของโลกธรรมชาติ  ดังนั้นเราจะให้เครื่องมือง่าย ๆ แก่คุณในการปรับความถี่ของคุณและให้อยู่ในแนวที่สมบูรณ์แบบกับสิ่งที่เป็น

 เราขอให้คุณหลับตาสักครู่แล้วลองนึกภาพตัวเองนอนลงบนพื้นหญ้าใกล้กับแม่น้ำ  ได้ยินเสียงน้ำและปล่อยให้หัวใจของคุณไหลไปกับเสียง  รู้สึกสบายใจกับทุกสิ่งและเพียงไหลเข้าภายใน

 เราขอเชิญคุณให้รู้สึกถึงหญ้าที่สัมผัสกับผิวของคุณและรับรู้ถึงกลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่น  แตะลงในความเป็นจริงนี้สักครู่แล้วปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างจางหายไป

 ตอนนี้เราต้องการให้คุณจินตนาการถึงโลกดวงอาทิตย์และดวงจันทร์  สัมผัสพลังงานรูปทรงและตำแหน่งในอวกาศ  รู้สึกว่าตัวเองเชื่อมต่อกับเทห์ฟากฟ้าเหล่านี้และรู้สึกถึงการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาเช่นกัน

 ได้โปรดสร้างสามเหลี่ยมที่ประกอบด้วยสามจุด: โลกดวงจันทร์และดวงอาทิตย์และตอนนี้ให้ตัวเองอยู่ตรงกลางของรูปสามเหลี่ยมนี้  รู้สึกว่าพลังงานไหลมาจากวัตถุท้องฟ้าทั้งสามนี้ถึงคุณอย่างไร  สร้างเส้นแสงระหว่างทั้งสามนี้กับคุณ  รู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับแม่ธรณีและองค์ประกอบทางธรรมชาติทั้งหมดบนโลกของคุณแล้วเชื่อมความรู้สึกนี้เข้ากับพลังงานของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์  ลองนึกภาพตัวเองในรูปสามเหลี่ยมนี้แล้วลากพลังงานแสงและความรักไม่ จำกัด จากที่นั่น

 อย่าลังเลที่จะทำเช่นนั้นทุกครั้งที่คุณรู้สึกอ่อนแอหรือเมื่อคุณต้องการเพิ่มความสุขและความสุข

 การสร้างภาพข้อมูลนี้จะสร้างการเชื่อมต่อระหว่างคุณและวัฏจักรธรรมชาติของธรรมชาติดังนั้นคุณสามารถทำงานได้มากขึ้นในการจัดตำแหน่งทั้งหมดที่มีจังหวะธรรมชาติและพลังบำบัดของแม่ธรณี

 พรสำหรับคุณทุกคน! "

 จัดทำโดย Octavia Vasile

 ฉันเป็น Octavia และฉันเป็นช่อง Pleiadian Collective มิติที่ 9

 ฉันมาที่นี่เพื่อสนับสนุนกระบวนการจากน้อยไปหามากในการดำรงอยู่ในมิติที่ 5 โดยการแบ่งปันข้อความที่ฉันช่องกับคุณ  การส่งสัญญาณเหล่านี้นำเสนอด้วยความรักและพรจาก Pleiadian Collective สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ปกป้องและนำทางโลกไปสู่การเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงการส่งผ่านความทุกข์เข้าสู่ความรัก

ที่มาบทนำสวด"นะโม"

ที่มาของ "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"
1. ณ แดนหิมวันตประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า สาตาคิรียักษ์

มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าป่าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับพระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า

"นะโม" หมายถึง ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ

2. กล่าวฝ่ายอสุรินทราหู เมื่อได้สดับพระกิตติศัพท์ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนา ที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลนพระบรมศาสดาว่า มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก จนทำให้อสุรินทราหูอดรนทนอยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศ ตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอฟังธรรม แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา

พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้าง ของอสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า

"ตัสสะ" แปลว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

3. เมื่อครั้งที่ท้าวจาตุมหาราช ทั้ง ๔ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้น กามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวาร ท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า

"ภะคะวะโต" แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

4. ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ เจ้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ชั้นที่ ๒ ท่านสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราชได้ทูลถามปัญหาแด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า

"อะระหะโต" แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

5. "สัมมาสัมพุทธัสสะ" เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของท้าวมหาพรหม หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ

"สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

ดังนั้น การตั้งนะโมจึงเป็นการไหว้ครู สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบรมครูของสามโลก จึงขอนำคาถาฎีกานะโมมาไว้ให้ท่านทั้งหลายได้สวดท่องป้องกันภัยในทุกทิศ ประสิทธิทุกศาสตร์ ดังคำกล่าวที่ว่า "ท่องนะโมโตเต็มโลก"

นะโม สาตาคิริยักโข ตัสสะ อะสุรินโท ปะวุจจะติ
ภะคะวะโต จาตุมมะหาราชา อะระหะโต สักโก ตะถา
สัมมาสัมพุทธัสสาติ มะหาพรัหเมหิ ปะวุจจะติ ฯ

การเปล่งวาจาว่าบทนมัสการ ต้องว่า ๓ จบเสมอ มีเหตุผลดังนี้

จบที่ ๑ เพื่อนมัสการพระวิริยาธิกพุทธเจ้า ระยะกาลบำเพ็ญพระบารมี ๑๖ อสงไขย ๑ แสนกัป

จบที่ ๒ เพื่อนมัสการพระสัทธาธิกพุทธเจ้า ระยะกาลบำเพ็ญพระบารมี ๘ อสงไขย ๑ แสนกัป

จบที่ ๓ เพื่อนมัสการพระปัญญาธิกพุทธเจ้า ระยะกาลบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขย ๑ แสนกัป

อีกมติหนึ่งให้เหตุผลว่า.-  

จบที่ ๑ เป็นบริกรรม

จบที่ ๒ เป็นอุปจาร

จบที่ ๓ เป็นอัปปนา.....


“รู้ตัวทั่วพร้อม” เป็น #สัมปชัญญะ

การอยู่ด้วยการรู้เท่าทัน ตรงกับคำว่า สัมปชัญญะ คำนี้มีความหมายว่า “รู้ตัวทั่วพร้อม” เป็นองค์ธรรมที่เกื้อกูลกับสติ หรือเรียกได้ว่า เป็นธรรมที่เอื้อกับสติ จึงเรียกสององค์ธรรมนี้ติดกันว่า “สติสัมปชัญญะ”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) แสดงธรรมเรื่อง “การอยู่ด้วยการรู้เท่าทันธรรมดาของชีวิต” ซึ่งเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งในหัวข้อเรื่อง “ระลึกถึงความตาย และวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องต่อความตาย” ท่านกล่าวถึงเรื่องการอยู่ด้วยการรู้เท่าทันธรรมดาของชีวิตไว้ว่า
.
พระพุทธศาสนาสอนและฝึกฝนมนุษย์ เพื่อให้พัฒนาศักยภาพตนเองจากปุถุชนไปสู่ความเจริญก้าวหน้า (อริยบุคคล) ต้องอาศัยคุณธรรมเป็นอนุสติ (การระลึก) เพื่อให้เตือนใจตนเอง และพัฒนาไปถึงขั้นสูงสุดคือ การรู้เท่าทันว่าเป็นธรรมดา และ การมีปัญญารู้เท่าทันตามเหตุและปัจจัย
.
@@@@@
.
สำหรับมรณานุสติ หรือมรณสติ ทำให้เข้าใจว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่คู่กับความเกิด เกิดแล้วต้องดับ เมื่อเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา ก็จะทำให้สบายใจ คลายทุกข์ เมื่อเข้าใจความตายเป็นแบบนี้แล้ว ควรระลึกได้ว่า ความตายนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน แต่จะมาถึงเราในวันไหนนั้นยังไม่แน่นอน อาจช้าหรือเร็วก็ได้
.
ฉะนั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ขอให้เร่งขวนขวายทำกิจหน้าที่ และความดีต่าง ๆ สิ่งที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนี้คือหลักที่เรียกว่า มรณสติ พระพุทธเจ้าตรัสเตือนให้ระลึกถึงความตาย และมีความไม่ประมาท ดังนี้ว่า
.
    ”น เหว ติฏฐํ นาสีนํ สยานํ น ปตฺถคุ“ 
.
แปลความได้ว่า “อายุสังขารจะพลอยประมาทไปกับมนุษย์ทั้งหลาย ที่ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ก็หาไม่“
.
หมายความว่า มนุษย์ทั้งหลายนี้อาจจะมีความประมาทในขณะยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ขวนขวายทำสิ่งที่ควรทำอยู่ ปล่อยเวลาให้ผ่านไป แต่ในเวลานั้นขอให้เข้าใจว่า อายุสังขารของเราหาได้ประมาทตามเราไปด้วยไม่ คือ 
.
อายุสังขารของเราเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยง มีความทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ และมีความเป็นอนัตตา ไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา เป็นแบบอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือหยุดยั้งสภาวะธรรมนี้ได้
.
@@@@@
.
เมื่ออายุสังขารเปลี่ยนแปลงไป แล้วเราระลึกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราจึงไม่ควรที่จะประมาทและนิ่งเฉย พระองค์ทรงกล่าวต่อไปอีกว่า…
.
    “ตสฺมา อิธ ชีวิตเสเส กิจฺจกโร สิยา นโร น จ มชฺเชติ“ 
.
แปลความได้ว่า “เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ คนเราควรกระทำกิจหน้าที่ของตนและไม่พึงประมาท”
.
อันนี้คือ การนำความรู้เท่าทันธรรมดามาใช้ในทางที่เป็นกุศลและเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ในทางพระพุทธศาสนาก็ว่าความเกิดนั้นนำมาและนำไปสู่ความตาย 
.
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความขวนขวายไม่ประมาท พระพุทธศาสนาจึงสอนเช่นนี้ มนุษย์ก็จะได้ไม่ประมาท จึงต้องสอนให้ตรงข้ามเพื่อให้มนุษย์ขวนขวายที่จะกระทำความดี 
.
@@@@@
.
ตรงกับพระพุทธพจน์ในคาถาธรรมบทที่ว่า
.
    ”ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา กยิรา มาลาคุเฬ พหู เอวํ ชาเตเน มจฺเจน กตตฺพฺพํ กุสลํ พหุ“ 
.
แปลความได้ว่า “ดอกไม้ที่สุมกันอยู่เป็นกองนี้ นายช่างที่ฉลาดสามารถนำเอามาร้อยกรองเป็นพวงมาลัยที่สวยงาม มีคุณค่าได้ฉันใด ชีวิตคนเราที่ได้เกิดมานี้ ก็ควรจะใช้ประกอบกุศลกรรมความดีให้มาก ฉันนั้น“
.
การเกิดมาแล้ว พึงกระทำความดีให้มาก เฉกเช่น นายช่าง (ดอกไม้) ร้อยกรองมาลัยจากกองดอกไม้ออกมาได้สวยงาม ก่อนความตายจะมาเยือน เราได้ทำประโยชน์ต่อตัวเราและผู้อื่นแล้วหรือยัง

.................
ที่มา : ระลึกถึงความตาย และวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องต่อความตาย โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
ภาพ : https://pixabay.com
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/157642.html#cxrecs_s
By nintara1991 ,22 March 2020

การเลื่อนระดับมิติจิตและกาย: เราจะรู้ได้อย่างไร

28 มีนาคม 2563
โดย Narendra Mishra

สวรรค์คืออะไร
https://awakeningspark.com/blog/ascension-how-do-we-know-part-12

การเลื่อนระดับคือการตระหนักในตนเองหรือการทำให้เป็นพระเจ้า มันเรียกว่า 'สวรรค์' เพราะวิญญาณขึ้นจากความเป็นลูกผู้ชายสู่ความเป็นพระเจ้า มันส่งผลให้เกิดอิสรภาพหรือการปลดปล่อยวิญญาณแต่ละดวงจากวัฏจักรของการเกิดและความตายที่เรียกว่าการกลับชาติมาเกิด
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ความมุ่งมั่นในการขึ้นสวรรค์เป็นสิ่งที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ผู้ที่เข้าร่วมมักจะออกคำสั่งวัดหรือเกษียณอายุในถ้ำภูเขาป่าไม้หรือพื้นที่ที่เงียบสงบอื่น ๆ เพื่ออุทิศตนตลอดชีวิตของเขา / เธอเพื่อการแสวงหา
อย่างไรก็ตามเวลานี้การเลื่อนระดับแตกต่างกัน ตอนนี้โลกตัวเองในฐานะจิตสำนึกที่มีชีวิตอยู่กับร่างกายของดาวเคราะห์กำลังขึ้นและพาประชาชนทั้งหมดของเธอไปกับเธอ วิญญาณที่ถูกจุติลงมาเกือบทั้งหมดบนโลกรวมถึงมนุษย์สัตว์พืชและแร่ธาตุตอนนี้มีโอกาสที่จะมีส่วนร่วมในการเลื่อนระดับขึ้นสู่สวรรค์ของมวลชนโดยไม่ต้องอาศัยการสละชีวิต

เรารู้ได้อย่างไรเกี่ยวกับการเลื่อนระดับ
สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของดาวเคราะห์มาจากสองแหล่งที่มาหลัก ที่แรกก็คือจากที่ทันสมัยธรรมิกชนบกและนักวิชาการและที่สองคือจากแหล่งที่อยู่อย่างผ่านกระบวนการที่เรียกว่าเจ้าอารมณ์ เราจะตรวจสอบแหล่งข้อมูลแรกในส่วนที่ 1 ของบทความนี้และดูแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ในส่วนที่ 2
ให้เราดูตัวอย่างของธรรมิกชนและปราชญ์ผู้พูดถึงช่วงเวลาของการเลื่อนระดับขึ้นสู่สวรรค์ของดาวเคราะห์ ศรี Sri Yukteswar Giri อาจเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดที่สนับสนุนการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของดาวเคราะห์ ในหนังสือเล่มน้ำเชื้อของเขาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เขามาประกอบการขึ้นไปยังวงจรธรรมชาติของทุกเพศทุกวัยซึ่งต่อไปนี้ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่รู้จักในฐานะprecession ของ equinoxes
ในโมเดลนี้แกนของโลกเอียงหมุนรอบตัวในอัตราประมาณ 1 รอบทุก 24,000 ปี * ในช่วงเวลานี้มีการแปรผันของปริมาณรังสีคอสมิคที่มาถึงโลกจากใจกลางกาแลคซี รังสีคอสมิคนี้มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อจิตใจและจิตสำนึกของทุกชีวิตบนโลก
ในช่วงเวลาที่มีการแผ่รังสีคอสมิคสูงสุดสติปัญญาและความก้าวหน้าทางวิญญาณของมนุษยชาติจะอยู่ในระดับสูงสุด เมื่อวงโคจรของโลกมีปริมาณรังสีคอสมิคลดลงและตามด้วยความสามารถทางปัญญาและจิตวิญญาณของมนุษยชาติ อย่างน้อยที่สุดมนุษย์ก็เข้าสู่ยุคมืด
ต่อไปนี้รุ่นนี้มีจึงเป็นระยะเวลาสี่ทุกเพศทุกวัยที่เรียกว่า yugas มนุษย์ที่อาศัยอยู่ผ่าน เหล่านี้เป็นแบบจำลองในภาพ ที่แสดงระยะเวลาเมื่อรังสีคอสมิกอยู่ในระดับสูงสุด สิ่งนี้ก่อให้เกิด Satya Yuga หรือยุคทอง เมื่อการปฏิวัติในแนวแกนของโลกได้รับปริมาณรังสีคอสมิคค่อย ๆ ลดน้อยลงสูงสุดในยุคมืดหรือ Kali Yuga ที่จุดตกต่ำที่สุดของมัน
จากการคำนวณของ Sri Sri Yukteshwar Giri, Kali Yuga ได้เสร็จสิ้นแล้วและตอนนี้เราอยู่ใน 'ยุคเปลี่ยนผ่าน' ภายในส่วนโค้งขึ้นไปกลับไปที่ Satya Yuga หรือยุคทอง นักบุญและนักวิชาการที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ อีกหลายคนยืนยันด้วยว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ บางส่วนของเหล่านี้ ได้แก่ Sadguru Sivaya Subramuniyaswami, Dr. NS Rajaram และ Dr. David Frawley
พิจารณาตัวอย่างคำแถลงของดร. ฟรอว์ลีย์
“ เหตุการณ์จักรวาลที่สำคัญกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ฤดูหนาวตอนนี้เป็นจุดร่วมกับศูนย์กาแล็กซี่ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับตำแหน่งที่แน่นอนของจุดนี้ ฉันจะแทนที่มันที่ 6 ° 40 ′ราศีธนูหรือตรงกลางของ Nakshatra Mula ขึ้นอยู่กับการใช้งานของ ayanamsha ข้อต่อนี้อาจเกิดขึ้นได้ในตอนนี้หรือในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า เหตุการณ์เดียวกันนั้นสะท้อนออกมาในการคำนวณปฏิทินของเผ่ามายาซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่แบ่งปันการปฏิบัติหลายอย่างกับคนเวท
สิ่งนี้บ่งบอกถึงความกลมกลืนของมนุษยชาติกับ พระเจ้าซึ่งจะถ่ายทอดจากใจกลางกาแล็กซี่ ความคิดทางจิตวิญญาณใหม่ของวันนี้อาจเป็นผลมาจากกระบวนการปรับนี้ซึ่งยืนยันว่าเราเข้าสู่ยุคแสงสว่างที่สูงขึ้นใหม่และขับไล่เงาของยุคมืดแห่งความขัดแย้งและความขัดแย้ง ถึงแม้ว่าจะต้องช็อกและทนทุกข์ไปทั่วโลก แต่ผลลัพธ์ก็สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ที่ดีที่สุดเท่านั้น
เราควรมีศรัทธาในพินัยกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการนี้และไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวังที่สถานะปัจจุบันของโลกจะต้องปรากฏในตัวเรา แม้ว่าเราอาจไม่ได้ถูกนำเข้าสู่ยุคแห่งการตรัสรู้อย่างรวดเร็ว แต่การเติบโตในเชิงบวกจะเกิดขึ้นมากมาย การเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญเทียบเท่ากับวันใด ๆ จะได้รับการฝึกฝนพร้อมกับการเคลื่อนไหวจากความมืดไปสู่แสงสว่างและการแสวงหาความรู้สึกใหม่” (1)
บางส่วนของหลักฐานอื่น ๆ ว่าบุคคลที่โดดเด่นเหล่านี้ได้มีการผลิตในการสนับสนุนของการเรียกร้องของพวกเขาได้รับการบันทึกไว้ในบทความของฉันจุดจบของยุคมืด 
เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบที่นี่ว่านอกเหนือจากธรรมิกชนและนักวิชาการวัฒนธรรมโบราณหลายรู้รอบแกรนด์ของ 26,000 ปี บางทีสิ่งที่โด่งดังที่สุดของเหล่านี้คือชาวมายันที่รู้ถึงจุดจบของยุคนี้และเข้ารหัสไว้ในปฏิทินที่มีมายาวนาน วันที่ครบรอบปีที่สำคัญของพวกเขาคือ 21 ธันวาคม 2012

การสื่อสารกับแหล่งอื่นทางโลกนั้นไม่ปกติสำหรับคนส่วนใหญ่ ในความเป็นจริงการสื่อสารดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตที่ผิดปกติหลายครั้ง อย่างไรก็ตามตามที่ศาสตราจารย์ Jon Klimo จิตวิทยาได้ชี้ให้เห็นว่ามีบางกรณีของการสื่อสารอื่น ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิต

อินสแตนซ์เหล่านี้อาจจัดเป็นปรากฏการณ์เรียกว่าแชแนล ในหนังสือเรียนที่เชื่อถือได้ของเขา Klimo ได้กำหนดปรากฏการณ์ประหลาดดังต่อไปนี้: 

"Channeling คือการสื่อสารข้อมูลไปยังหรือผ่านมนุษย์ที่เป็นตัวเป็นตนทางร่างกายจากแหล่งที่กล่าวกันว่ามีอยู่ในระดับอื่น ๆ ของมิติหรือความจริงที่เรารู้ และไม่ได้มาจากจิตใจปกติ (หรือตนเอง) ของช่องการสื่อสารนั้น "

มีบางจุดที่สำคัญในความหมายของเขาที่ฉันตรวจสอบในอีกเป็นบทความ สำหรับวัตถุประสงค์ของเราเราจะมองไปที่หนึ่ง  ที่นี่ ความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งที่มีอยู่ใน  บางระดับอื่น ๆ ของมิติหรือความจริงที่เรารู้ว่า 

แหล่งข้อมูลเหล่านี้ฉันใช้คำว่า 'อื่น ๆ - ทางโลก' และฉันอยู่ในหมวดหมู่นี้ Klimo ประกอบด้วยหน่วยงานนอกโลกทั้งทางกายภาพและทางกายภาพและทางวิญญาณ 

ตามคำจำกัดความของ Klimo คัมภีร์ทางศาสนาที่สำคัญของโลกหลายแห่งมีข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผย การได้รับบัญญัติสิบประการของโมเสสนั้นถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เกิดช่องทาง เช่นเดียวกันการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างท่านศาสดามูฮัมหมัดและทูตสวรรค์กาเบรียลก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำเช่นกัน พระคัมภีร์หลักของชาวฮินดู, พระเวทเรียกว่า Srutis - หมายถึงการรับข้อมูลที่ได้รับการถ่ายทอดโดยธรรมิกชนและนักปราชญ์ของอินเดีย 

เกี่ยวกับการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของดาวเคราะห์  อัครเทวดาไมเคิลคนหนึ่งผ่าน Ronna Vezane บอกเราเกี่ยวกับอายุของดาวเคราะห์ที่เรากำลังมาถึง

"รู้สิ่งนี้คนที่กล้าหาญของคุณคุณอยู่ในช่วงสุดท้ายของหน่วยเวลาที่เฉพาะเจาะจงและคุณทุกคนต้องอยู่ภายใต้ระบบของกฎที่ไม่ซ้ำกันเรากำลังทำซ้ำและเน้นข้อมูลนี้เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณเข้าใจ แนวคิดนี้ภายในกฏหมายสากลฉบับใหม่ของยุคกุมภ์ " แมทธิวผู้พูดมาจากชีวิตหลังความตาย

อีกแหล่งกล่าวว่าในปี 2012 “ มันเป็นโชคชะตาของโลกที่จะทำให้ความหนาแน่นที่สาม [ขึ้น] เมื่อวงจรสากลเปิดหน้าต่างดาวปลายปีนี้และไม่มีใครที่มืด จิตใจและหัวใจจะถูกทิ้งไว้บนโลกใบนี้ " ดังที่เราได้เห็นในส่วนที่ 1 ของบทความนี้สิ้นปี 2012 เป็นวันสำคัญที่เข้ารหัสในปฏิทินมายาโบราณอันยาวนาน

Ra ที่มีอารยธรรมจะอ้างว่าได้มีการพัฒนาในรอบดาววีนัส 2600000000 ปีที่ผ่านมา. *  Ra เป็นช่องทางในปี 1981 โดยคาร์ล่า Rueckert ระหว่างสภาวะมึนงง เต็ม channeling เซสชันและสอบสวนโดยนักฟิสิกส์ดอนเอลกินส์ ในช่วงเซสชั่นแรก Ra ถูกถามถึงจุดประสงค์ของพวกเขาในการสร้างการสื่อสารกับกลุ่มและตอบกลับดังนี้

"เราอยู่มานานแล้วบนโลกของคุณและรับใช้หลายระดับแห่งความสำเร็จในการถ่ายทอดกฎแห่งความเป็นเอกภาพแห่งความเป็นเอกภาพให้กับประชาชนของคุณเราเดินบนโลกของเราแล้วเราได้เห็นใบหน้าของชนชาติของคุณแล้ว กับหลาย ๆ หน่วยงานของสมาพันธ์กาแล็กซี่เราพบว่ามันไม่ได้มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามเรารู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการกำจัดความบิดเบี้ยวและอำนาจที่ได้รับจากกฎข้อหนึ่งเราจะ ดำเนินต่อไปในนี้จนกว่าคุณจะเราบอกว่ารอบจะสิ้นสุดลงอย่างเหมาะสมถ้าไม่นี้แล้วต่อไปเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเวลาและดังนั้นจะสามารถอยู่กับคุณในเวลาใด ๆ ของคุณ " [หมายเหตุ: ความสำคัญของฉัน  ในตัวหนา]

ในเซสชั่นอื่น Ra ให้การประเมินว่าเมื่อใดจะสิ้นสุดรอบการประมาณ 30 ปีจากปี 1981 - ตัวเลขทีประเมินได้ประมาณปี 2012  

"6. 16 ผู้ถาม: ตำแหน่งของดาวเคราะห์นี้เกี่ยวกับความก้าวหน้าของวงจรในเวลานี้คืออะไร ? 
Ra: ฉันคือ Ra. ทรงกลมนี้ในเวลานี้ในการสั่นสะเทือนในมิติที่สี่วัสดุของมันค่อนข้างสับสนเนื่องจากคอมเพล็กซ์หน่วยความจำทางสังคมที่ฝังอยู่ในจิตสำนึกของมันไม่ได้ทำให้เปลี่ยนจากการสั่นสะเทือนได้ง่าย มันจะถูกดึงมาด้วยความไม่สะดวก

6.17 ผู้ถาม: ความไม่สะดวกนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่ปีหรือไม่?
Ra: ฉันคือรา คอมเพล็กซ์สั่นสะเทือนที่ไม่ลงรอยกันไม่สะดวกนี้ได้เริ่มต้นมาหลายปีแล้วในอดีต มันจะไม่ลดลงต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณสามปีสามสิบปี [30] 

6.18 ผู้ถาม: หลังจากระยะเวลาสามสิบปีนี้ฉันคาดว่าเราจะเป็นดาวเคราะห์สี่มิติหรือความหนาแน่นสี่ ถูกต้องหรือไม่ 
Ra: ฉันคือรา นี่เป็นเช่นนั้น "

คำแถลงสุดท้ายนี้สอดรับกับแมทธิวที่ทำไว้ก่อนหน้าในบทความนี้เมื่อสิ้นสุดรอบนี้โลกออกจากความหนาแน่นที่สามและเข้าสู่ความหนาแน่นที่สี่

มีช่องทางที่น่าเชื่อถืออีกหลายช่องที่บอกเราจากแหล่งที่มาว่าวัฏจักรของดาวเคราะห์อยู่ในช่วงวิกฤตและเรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ในช่วงเวลานี้ ส่วนของบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ของข้อมูลดังกล่าว 

โดยสรุปฉันได้ขอในบทความนี้เพื่อให้หลักฐานการเลื่อนระดับขึ้นจากสองแหล่งที่มาที่แตกต่าง - ธรรมิกชนและนักวิชาการภาคพื้นดินและแหล่งที่มาจากโลกอื่น ๆ ที่ได้มาจากเจ้าอารมณ์ ข้อมูลนี้ไม่ได้ครอบคลุมโดยสื่อกระแสหลัก (ด้วยเหตุผลหลายประการ) แต่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือและได้รับการรับรองที่มีให้สำหรับผู้อ่านที่สนใจในการสำรวจ ฉันหวังว่าบทความนี้จะกระตุ้นการวิจัยดังกล่าว
 https://goldenageofgaia.com/2020/03/28/ascension-how-do-we-know-part-1-2/

https://awakeningspark.com/blog/ascension-how-do-we-know-part-22

สติปัญญาของคนเหมือนบัวสี่เหล่า

♦️บัวมีหลายเหล่า คนก็เช่นกัน♦️

สติปัญญาของคนเหมือนบัวสี่เหล่า

#บัวพ้นน้ำ คือ ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถเรียนรู้เข้าใจสิ่งต่างๆได้ง่าย

#บัวเสมอน้ำ คือ ผู้มีปัญญาระดับกลางๆ ไม่โง่แต่ก็ไม่ฉลาด พอจะมีความรู้ความสามารถเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้ถ้าเกิดศรัทธานำไปพิจารณาแล้วพิจารณาอีก

#บัวใต้น้ำ คือ (จะค่อยๆเจริญขึ้นได้) เหมือนคนไม่มีปัญญา(โง่) ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดคนมีปัญญา หรือ ได้กัลยาณมิตรที่ดี ได้สิ่งที่ยึดถืออันถูกต้อง เหมือนคนลอยคออยู่กลางทะเลได้มีเครื่องพยุงตัวอยู่ได้ก็พอจะรอดปลอดภัย เหมือนคนแม้โง่เขลา แต่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แม้ไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ แต่ก็ไม่ตกต่ำ เช่น ยึดในพุทธคุณเป็นต้น

#บัวจมใต้โคลนตม คือ (ไม่สามารถเจริญเติบโตจนเสมอน้ำได้) ซึ่งเป็นอาหารของเต่าและปลา เป็นคนที่ไม่มีปัญญา มักถูกคนอื่นหลอกลวงต่างๆ นานา พาให้ลุ่มหลงงมงาย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นชั่วเป็นดี เห็นผีเป็นคน คนที่มาหลอกมาลวงก็เหมือนเป็นเต่าเป็นปลา คอยแทะคอยเล็มบัวใต้น้ำเป็นอาหาร บำรุงบำเรอตนด้วยอุบายต่างๆ ซึ่งเป็นหนทางห่างปัญญา หานิพพานไม่พบ หลงงมในที่มืด ❤🙏

อานิสงส์การสวดมนต์บ่อยๆ

ฝนตกทีละหยาด
“...สวดมนต์วันละนิดวันละหน่อย จะมีอานิสงส์อย่างไรครับ...”
“...เดี๋ยวก่อน..เวลาสวดมนต์นี่เป็นอุปจารสมาธิ สวดมนต์นี่เป็นอุปจารสมาธิตรง...”
เทวดาชั้นยามา ที่จะอยู่ได้ต้อง

๑.รักสวดมนต์เป็นปกติ กับ
๒.เจริญสมาธิขั้นอุปจารสมาธิ
สองอย่างนี่อยู่ชั้นยามาได้
สวรรค์มี ๖ ชั้นนี่ไม่ใช่ใครจะอยู่ไหนก็ได้นะ เขามีกฎมีเกณฑ์ของเขา

อย่างตำรวจนี่ต้องอยู่สถานีตำรวจ ไม่ใช่อยู่ที่วัด พระอยู่วัดไม่ใช่อยู่ที่สถานีตำรวจ (หัวเราะ) ก็เหมือนกัน ก็มีกฎมีเกณฑ์การเข้าอยู่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ คือวันหนึ่งจิตว่าจากกิเลสชั่วขณะจิตหนึ่ง มันเหมือนกับน้ำใสๆ และสะอาดหยดแปะ วันละหนึ่งแปะ แปะเดียว ถ้าร้อยวันก็ร้อยแปะ ไม่นานก็เต็มขวด
พระพุทธเจ้าใช้ศัพท์ว่า โถกัง โถกัง เหมือนน้ำฝนตกมาทีละหยาดๆ

ก็สามารถทำภาชนะให้เต็มได้ กำลังความดีที่ทำจิตให้ว่าจากกิเลสวันละนิดๆ หนึ่ง ไม่ช้าอารมณ์จิตก็เต็มด้วยบารมี บารมีเต็ม ฝนมันตกมาทีไอ้ตัวสกปรกก็หายไปหน่อย พอไอ้สะอาดลงมาไอ้ตัวสกปรกก็หายไปนิด ใช่ไหม หล่นมาอีกทีสกปรกหายไปนิด มาอีกทีสกปรกหายไปนิด พอนานๆ เข้าไอ้ตัวสกปรกก็อยู่ไม่ได้

การนั่งวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางของหลวงปู่โต๊ะ แห่งวัดประดู่ฉิมพลี

ก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงปู่โต๊ะท่านจะสอนวิธีนั่งเจริญกรรมฐาน วิปัสสนาให้แก่ศิษย์ ท่านจะได้ศิษย์แต่ละคนที่มีความประสงค์จะถวายตัวเป็นศิษย์ทางนั่งเจริญกรรมฐานวิปัสสนา เพื่อแสวงหาความสงบทางใจ จัดหาดอกไม้ธูป เทียน มาสักการะท่านเป็นการขึ้นครูหรือเรียกว่าขอขันธ์๕จากท่านก่อน และท่านจะนัดให้มาในวันพฤหัส โดยแต่ละคนต้องนำ 
๑.ธูป ๕ ดอก 
๒.เทียนขาว ๕ เล่ม 
๓.ดอกไม้ ๕ กระทง 
๔.ข้าวตอก ๕ กระทง 
เมื่อมากันพร้อมแล้ว ท่านจะนำเข้าสู่พระอุโบสถและเริ่มสอนวิธีนั่งปฎิบัติเจริญกรรมฐานวิปัสสนาต่อไปนี้ 

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ 
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ 
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ 
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ 
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ 
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ 
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ 
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ 
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ 

ปาณาติปาตาเวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ 
อะทินนาทานาเวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ 
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ 
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ 
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ 
อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ นิจจะสีละวะเสนะสาธุกัง อัปปมาเทนะ รกฺขิตัพพานิ สีเลนะสุคคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโสธะเย 

จุดธูปเทียนได้………………………………………..
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ(กราบ) 
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ(กราบ) 
สุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ(กราบ) 
พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ 

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวามะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ(กราบ) ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฎฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ(กราบ) สังฆัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ สุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฎฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ(กราบ) 

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 
อุกาสะ ข้าพเจ้าจะขออาราธนา พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้า คุณบิดามารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ข้าพเจ้าจะขออย่างพระลักษณะปิติทั้ง๕ จงมาบังเกิดใน จักขุทวาร โสตะทวาร ฆานะทวาร ชิวหาทวาร กายะทวาร มโนทวาร แห่งข้าพเจ้า ในกาลบัดนี้เถิด นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ(กราบ) 

(หลวงปู่บอกวิธีนั่งเจริญสมาธิ)

เท้าขวาทับเท้าซ้าย…มือขวาทับมือซ้าย…ตั้งตัวให้ตรง…แล้วมองดูพระประธาน…ผิวพรรณวรรณ สัณฐาน ท่านเป็นอย่างไร…หลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง ลืมตาเห็นผิวพรรณ สัณฐานเป็นอย่างไร แม้หลับตาก็เห็นผิวพรรณวรรณท่านเหมือนอย่างกับลืมตา ทำอย่างนั้นไป 
น้อมพระที่เราจำได้ มาตั้งไว้บนไหล่ขวา…น้อมพระที่เราจำได้ มาตั้งไว้บนไหล่ขวา(ให้เวลาเพิ่อปฎิบัติ) 
น้อมพระจากไหล่ขวามาตั้งไว้บนไหล่ซ้าย…น้อมพระจากไหล่ขวามาตั้งไว้บนไหล่ซ้าย(ให้เวลาเพิ่อปฎิบัติ) 
น้อมพระจากไหล่ซ้ายมาตั้งไว้บนกระหม่อม…น้อมพระจากไหล่ซ้ายมาตั้งไว้บนกระหม่อม(ให้เวลาเพิ่อปฎิบัติ) 
น้อมพระจากกระหม่อมมาตั้งไว้ที่ทรวงอก…น้อมพระจากกระหม่อมมาตั้งไว้ที่ทรวงอก(ให้เวลาเพิ่อปฎิบัติ) 
น้อมพระจากทรวงอกมาตั้งไว้ที่ศูนย์จุดสะดือ…น้อมพระจากทรวงอกมาตั้งไว้ที่ศูนย์จุดสะดือ(ให้เวลาเพิ่อปฎิบัติ) 
ยกพระพ้นศูนย์ ๒ นิ้ว…ยกพระพ้นศูนย์ ๒ นิ้ว…ยกพระพ้นศูนย์ ๒ นิ้ว 
ภาวนาว่า”พุทโธ”ร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง… 
ภาวนาว่า”พุทโธ”ร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง…(ให้เวลาปฎิบัติพอสมควรแล้ว หลวงปู่จะสอนและแนะแนวทางปฎิบัติ)

ต่อไปนี้ จะแนะแนวทางของการปฎิบัติในกรรมฐาน กรรมฐานแบ่งเป็น ๒ สมถะกรรมฐานประการหนึ่ง วิปัสสนากรมมฐานประการหนึ่ง สมถะเรียกว่าความสงบ วิปัสสนา ปัญญาเห็นแจ้ง สมถะ สงบจากอะไร “นิวรณ์๕” มีอะไรบ้าง กามฉันทะ ความใคร่ในกาม กามคืออะไร รูป เสียง กลิ่น รส ดผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่กามเรียกว่า กามคุณ๕ เราพึงสังเกตุดูว่า จิตของเรามันตกอยู่ในกามตัวใดบ้าง เมื่อเรารู้ว่า อ้อ มันติดอยู่ที่ความพอใจ ในรูปก็ดี ในเสียงก็ดี ในกลิ่นก็ดี ในสัมผัสก็ดี ในรสก็ดี เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตัวใดตัวหนึ่งก็ตาม ความสงบหาเกิดขึ้นกับเราไม่ เพราะเหตุใด เพราะจิตมันเข้าไปอยู่ในกาม ความสงบไม่มี เมื่อความสงบไม่มีเรียกว่าอะไรไม่ใช่สมถะไม่ใช่สมถะ แล้วเรียกว่าอะไร จิตฟุ้งซ่าน ไปในรูปบ้าง ไปในเสียงบ้าง ไปในกลิ่นบ้าง ไปในรสบ้าง ไปในสัมผัสบ้าง จิตตกอยู่ในกาม ความสงบหาเกิดขึ้นได้ไม่ สมถะกรรมฐาน ถ้าความสงบไม่มีเรียกว่าสมถะไม่ได้ จิตมันตกอยู่ในอำนาจของกามคุณแล้ว

เรามีวิธีอะไรที่จะพึงแก้ ไม่ให้จิตมันตกไปในกามคุณทั้ง๕นั้นได้ 
มีทางแก้ พิจารณา กายะคะตานุสติ ก็ได้ หรืออสุภะกรรมฐานก็ได้ เพื่อแก้ไม่ให้จิตมันตกไปในกามคุณทั้ง๕ 
ไอ้ที่จิตมันตกไปในกามคุณ เพราะเราเห็นผิดว่าเป็นไปตามจริตของจิตที่มันพอใจ มันชอบรูป เออ!รูปดี มันชอบเสียง เออ!เสียงเพราะดี ชอบกลิ่น เออ!หอมดี ชอบรส รสอย่างนั้น รสอย่างนี้ ชอบสัมผัส การถูกต้องนิ่มนวลอะไรๆเหล่านี้ ธรรมารมณ์อารมณ์พอใจ ไม่พอใจเพิ่มขึ้น แก้ด้วย อสุภะกรรมฐาน รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี สัมผัสก็ดี ธรรมารมณ์ก็ดี ไม่แน่นอน มันมีแต่ทุกข์ ทุกข์มันมาได้อย่างไร อะไรเป็นตัวทุกข์ชาติ ชาติเป็นตัวทุกข์ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ นี่เป็นตัวทุกข์ ไหนบ่นกันอยู่เรื่อยๆว่า เป็นทุกข์จริง ฉันนี่เป็นทุกข์จริง แล้วเราก็เข้าไปหาทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรานะ เราไม่ต้องการความทุกข์ เราต้องการความสุข แต่ทำไมจิตมันตกไปเองในเรื่องทุกข์อย่างนั้น ทุกข์อย่างนี้ ทุกข์อย่างโน้น ทุกข์ร้อยแปดพันเก้า กิเลส กิเลสกรรมวิบาก กิเลสความใคร่ ใคร่ไปในเรื่องต่างๆ กรรมแปลว่ากระทำ กิเลสกรรม กระทำดี กระทำชั่ว วิบาก เราทำดี ได้รับผลดี เราทำชั่ว ได้รับหลชั่ว พวกนี้เอง ทำให้เราเห็นไปในทางที่ผิดทำนองคลองธรรม มันก็เพลินในเรื่องความเห็นผิด มันเพลินไป ความเพลินที่เราเพลินเลยเผลอ เผลอไป เผลอไป เผลอไปเลยหลง หลงว่าอย่างนี้ดี หลงไปหมด คนที่หลงนั่นเป็นเพราะอะไร 
ปราศจากสติ คนปราศจากสติ ปราศจากสติ เขาเรียกว่าอะไร คนประมาท อ้อ!เรานี่เป็นคนประมาทนะ ทำเป็นคนไม่ประมาทเสียบ้างซี เอ้อ! ทำไง 
ทำสมถะกรรมฐานนี่ละ เพื่อความไม่ประมาท เพื่อความสงบจากกาม แล้วรู้ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเรามีความสงบ รู้ได้ มีสติเข้าไปคุมจิต เมื่อเรามีสติเข้าไปคุมจิต เราจะรู้ว่า จิตมีอะไรเป็นอารมณ์ มีดีกับชั่ว อะไรดี กุศลจิต นี่ดี เป็นคนฉลาดเกิดขึ้นในจิตของตนเอง 
รู้เหตุผล นี่ควร นี่ไม่ควร เกิดปัญญาขี้นในจิต อกุศลจิต นี่จิตโง่ จิตไม่ฉลาด เรียกว่าอกุศลจิต เกิดขึ้นรู้ไม่เท่าทัน อะไรเป็นอารมณ์ของจิต กุศลจิต อกุศลจิต พุทโธ นี่เรียกว่ากุศลจิต มีประโยชน์อะไร ภาวนาพุทโธ มีประโยชน์อะไร แล้วทำไมมีตั้งหลายอย่างหนัก เดี๋ยวก็ให้ตั้ง เดี๋ยวก็ไม่ให้ตั้ง ตั้งอย่างนั้น ตั้งอย่างนี้ ก็เพื่อทดลอง สติกับจิต ให้รู้ว่า ตั้งที่ตรงนั้นน่ะ จิตใจมันเป็นอย่างไรไม่ทราบ มันยังส่ายออกออกไปนอกพุทโธ หรือว่าอยู่ในพุทโธ

เมื่อมันส่ายออกออกไปนอกพุทโธ จิตมันเป็นอย่างไร สติคุมไว้ เมื่อมันอยู่ในพุทโธ จิตมันเป็นอย่างไร ความสุขอยู่นอกพุทโธ ได้ผลอย่างไรบ้าง ในเรื่องการปฎิบัติ จิตมันอยู่ในพุทโธมันได้ผลอะไรบ้าง ในการปฎิบัติของแต่ละท่าน ละท่าน มันเป็นอย่างงั้น พุทโธนี่เป็นอารมณ์ของจิต สติ จิต แล้วก็อารมณ์ จะต้องมีสติคุมจิตเสมอ คุมอะไร เดี๋ยวเลื่อนไปตั้งที่โน้น เดี๋ยวเลื่อนไปตั้งที่นี่ เพราะจริตของคน แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบโยกย้าย ดี โยกย้าย ได้เห็นสิ่งอะไรผิดแปลก แปลก ของที่เราไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยิน เราก็เห็น ก็ได้ยิน ถิ่นที่เราไม่เคยไป เอ้อ! ไปได้ ไปได้ดูของแปลกๆ เมื่อไปดูของแปลกๆน่ะ มันมีประโยชน์อะไรสำหรับรู้ สำหรับเห็น มันเป็นประโยชน์ทางโลกหรือว่าประโยชน์ทางธรรม หรือเอาทางโลกมาเปรียบเทียบกับทางธรรม หรือเอาทางธรรมมาเปรียบเทียบกับทางโลก บางคนชอบอย่างนั้น บางคนไม่ไปอยู่เฉยๆ อยู่ที่เดียวดีกว่า มันไม่ยุ่ง อยู่ที่เดียวอย่างงั้นก็มี ไม่อยากเที่ยวไปโน้น ไม่อยากเที่ยวไปนี่ อยู่ที่ไหนก็อยากอยู่ที่นั่นมันสบาย มีศีล มีจิตที่ตั้ง เราก็ตั้งดู มันสบายที่ไหน อยู่ที่นั่นก็ได้ เห็นว่ามันไม่สบายก็ย้ายไปอีก ย้ายไปหาความสุขเกิดจากจิตใจของเรา ทำไป ขั้นสมถะกรรมฐาน ก็ต้องมีอย่างนี้ มีพระปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ ปริยัติเป็นข้อที่ดี ว่าพุทโธเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็นำเอาพุทโธมาปฎิบัติ เรียกว่าธรรม เราภาวนา พุทโธ พุทโธ ให้สังเกตอยู่ที่ใจ ใจมันเลื่อมใสในพุทโธ บางคราวมันไม่เลื่อมใสในเครื่องพุทโธ เมื่อภาวนาพุทโธเมื่อไหร่มันไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย เมื่อไม่เห็นด้วย เราจะต้องทำ ต้องแก้ ไม่แก้ก็ไม่ได้ ปล่อยไปใหญ่ ต้องแก้ ต้องอ้อนวอน ชวนให้ทำงาน ชวนจิตให้มาทำงานว่า ไอ้งานที่ทำๆกันน่ะ ฉันเคยทำเหมือนกันน่ะ ไอ้งานเหล่านั้นน่ะ แต่มันได้ประโยชน์น้อย งานที่ฉันได้ใหม่ได้ประโยชน์มาก เชิญมาลองทำดู ดูฉันเป็นตัวอย่าง เดี๋ยวนี้ฉันทำงานอีกอย่างหนึ่งแล้ว รู้สึกสบาย 

ท่านผู้ใหญ่ก็ชอบว่า ทำงานดี ผู้น้อยก็ชอบว่า ดี ท่านอัธยาศัยใจคอ วางตนเป็นกลางๆ ไม่เข้าไม่ออก ท่านถือเป็นกันเอง เออ! งานดีแล้วท่านเสนองานการของเราที่ทำ เสนอผู้หลักผู้ใหญ่ว่า นาย ก. เขาทำยังงั้นๆได้รับความชมเชย หรือขึ้นเงินดาวเงินเดือนอะไรให้นี่ล่ะ ฉันทำอย่างงี้ได้เพราะกิจการที่ทำชิ้นใหม่ 

เราก็ชวนเขา เอ้า!ไปวัดประดู่ ไปทำงานที่วัดประดู่ หลวงปู่โต๊ะ ท่านสอนให้ฉันทำงานขึ้นใหม่ ไปซี เราก็ไป เราก็มาขึ้นทำกันนี่ละ บางคราวก็เห็นด้วยที่นั่งภาวนา บางคราวไม่เห็นด้วย เพราะอะไร 
เพราะงานมันบีบคั้น นั่งไปนานๆหน่อย เมื่อย ปวดที่นั่น เจ็บที่นี่ ยุงกัดที่โน่น ยุงกัดที่นี่ ง่วงเหงาหาวนอนไป จิตใจไม่สงบ นั่งอยู่ที่นี่ คิดไปที่โน่น ต่อไปถึงที่นั่น อะไรอีก จะถามว่า นั่นแกคิดเรื่องอะไรอยู่บ้างไหม ที่ไปนั่งภาวนานับไม่ถ้วน อะไรต่ออะไร มันเข้ามาวุ่นวายกันใหญ่ ไม่เห็นจะมีท่ามีทาง อย่า อย่า อย่าเพิ่งใจร้อน อย่าเพิ่งใจร้อนต้องอ้อนวอนนิดหน่อย เพราะงานเขายังไม่เคยทำ เขาไม่เคยทำงานชิ้นนี้ ต้องอ้อนวอนหน่อย ให้รู้ว่า ดีนะ งานนี้น่ะดี ทำไปเหอะ ค่อยๆทำไป ไม่ต้องรีบร้อนอะไร ถึงศรัทธาเวลาไหน ก็เวลานั้นได้ จะถามว่าทำยังไง ยืนก็ทำได้ นอนก็ทำได้ นั่งก็ทำได้ เดินก็ทำได้ มันอยู่ที่การกระทำ เออลองดูซี นั่งก็ทำ ไม่ต้องมาก ๕มินิส๑๐มินิส หรือจะมีศรัทธายิ่งไปกว่านั้นก็ได้ นั่งกำหนดจิตว่า เดี๋ยวนี้จิตมันเป็นอย่างไร 
จิตมันเป็นอย่างไร ทีนี้จิตมันก็เชื่องช้า คุ้นกับงานการเข้า ทีหลังเราไม่ต้องเตือน มันเดินไปตามงานมราเรากะให้ทำ ไม่ต้องไปทำกันบ่อยๆ จำได้ก็เข้ามา อารมณ์อื่นๆก็เบาไป เบาไปแล้วเราก็รู้สึกแช่มชื่น จิตใจมันสมคบดี มันรู้เท่าทัน กิเลส ตัญหา อุปาทาน รู้เท่าทันเขา เย็นเข้า เ ย็นเข้า ไอ้พวกนั้นดับ ดับด้วยอะไร ดับด้วยศีล ดับด้วยสมาธิ ดับด้วยปัญญา เรียกง่ายๆเขาว่า”วิมุติ” หลุดไปเป็นครั้งเป็นคราว เป็นขณะ เป็นสมัย เป็นกาล หลุดไปได้เราเคยโกรธคนมากๆ ต่อไปโกรธน้อยลง เรามารู้ตัวว่า เอ๊ะ!ไอ้โกรธนี่ มันต้องเราก่อนซิ เราก่อน มันเผาเราก่อน แล้วมันจึงไปเผาคนอื่น แล้วก็เดือดร้อน ด้วยประการต่างๆ ลดลงเพราะเห็นโทษ ได้ที่โกรธหรือราคะอะไรนี่ เพราะความหลงของเรา เข้าใจว่ามันเป็นยังงั้นๆยังงั้นๆ ทีนี้ก็แก้ความหลง เขาเรียกว่า อวิชชา เราก็ทำ อวิชชานั่นน่ะ เป็นวิชชาขึ้น เมื่อมันเป็นวิชชา ความรู้มันก็ดีขึ้น ความโง่หมดไป ความเขลาหมดไป ความฉลาดก็เกิดขึ้นฉันใด การที่เรามาอบรมใจก็ฉันนั้น ต้องปลอบ ช่วยเหลือตัวของตัวเอง เพราะฉะนั้น การที่จะมาทำจิต ขั้นสมถะกรรมฐาน ก็ตั้งสติคุมจิต จิตก็มีอารมณ์ คือ พุทโธ ทำจิตตัวเอง จะนั่งได้นานเท่าไหร่ก็ตาม ที่ได้อธิบายมานี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ด้วยประการฉะนี


อดีตชาตพระหลวงพ่อทวด ..ผู้ที่จะมาเป็น #พระศรีอาริยะเมตไตรย โพธิสัตว์ในสมัยพุทธกาล

....อดีตชาติของ #พระศรีอาริยะเมตไตรย โพธิสัตว์ในสมัยพุทธกาล ซึ่งมาบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพื่อรับพุทธพยากรณ์
#พระอชิตะ  คือ พระราชโอรสของ #พระเจ้าอชาตศัตรู ประสูติแต่พระนางกาญจนาเทวี ซึ่งเป็นพระมารดา เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้พาบริวาร ๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นภิกษุ คราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งที่สอง

#พระอชิตะ เมื่อบวชใหม่ ๆ ได้เป็นผู้รับยุคลพัสตร์ (ผ้า ๒ ผืน)ของ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งมีความพิสดารอย่างย่อว่าพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเสียพระทัย ที่ตั้งใจจะถวายให้แด่พระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับเพราะเพื่ออนุเคราะห์แก่สงฆ์ในอนาคต เพื่อให้ชนทั้งหลายซึ่งเกิดภายหลังให้เกิดจิตคิดการกระทำเคารพสงฆ์ให้จงมาก และทรงอนุเคราะห์แก่พระนางเองเพราะทานที่ให้แด่สงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขย่อมมีพลานิสงส์มากกว่า

พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ทรงทราบดำริของพระพุทธองค์จึงเข้าไปหาพระอานนท์ ให้พระอานนท์ทูลถามว่า สาเหตุใดจึงไม่ทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น กาลต่อมา พระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า มีสาเหตุใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่รับทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงปาฏิบุคลิกทักษิณาทานโดยพิสดาร แล้วตรัสเทศนาทักษิณาวิภังคสูตร จำแนกประเภทแห่งปาฏิบุคลิกทาน แลสังฆทาน โดยพิสดาร แก่พระอานนท์

เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ทรงทราบในเทศนาทักษิณาวิภังคสูตรในภายหลังแล้ว จึงทรงถือซึ่งภูษาทั้งคู่เข้าไปหาพระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้รับ เข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะท่านก็ไม่ได้รับ แม้ในที่สุดแห่งพระอสีติมหาสาวกก็ไม่พระรูปใดรับไว้เลย จนกระทั่งองค์สุดท้ายซึ่งเป็นพระนวกะชื่อพระอชิตะท่านจึงรับไว้
ในเวลานั้นพระนางปชาบดีโคตมีก็ทรงน้อยพระทัยว่า พระนางตั้งใจในการทำผ้าทั้งคู่นี้ด้วยว่า จะถวายแด่พระผู้มีพระภาคแต่ก็ไม่ทรงรับ แม้นพระอสีติมหาสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็ไม่ทรงรับแต่มาบัดนี้ พระภิกษุหนุ่มซึ่งเป็นพระนวกะมารับซึ่งผ้าของพระนาง

พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางเสียพระทัย จึงทรงพระดำริว่า จะทำให้พระนางบังเกิดโสมนัสในวัตถุทานนี้ จึงมีพระพุทธดำรัสเรียกพระอานนท์ว่า ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา แล้วทรงพุทธาธิษฐานว่าพระอัครสาวกและสาวกทั้งปวงอย่าได้ถือบาตรนี้ได้เลย ให้พระอชิตภิกษุหนุ่มนี้จงถือซึ่งบาตรของตถาคตได้ แล้วทรงโยนบาตรนั้นขึ้นไปบนอากาศ แลบาตรนั้นก็ลอยขึ้นไปในกลีบเมฆอันตธานไปมิได้ปรากฏ ในลำดับ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอสีติสาวกทั้งหลาย ก็อาสานำบาตรนั้นกลับคืนมา แต่ก็หาไม่พบ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสั่งพระอชิตภิกษุว่า ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา 
               
ในลำดับนั้น พระอชิตะได้มีดำริว่า ควรจะเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระอสีติมหาสาวกนี้ ล้วนเป็นพระอรหันต์มีฤทธาอานุภาพมาก แต่มิอาจนำบาตรมาถวายแด่พระพุทธองค์ได้ แลอาตมะนี้ไซร้มีจิตอันกิเลสครอบงำอยู่ แลเหตุไฉนพระบรมครูจึงตรัสสั่งอาตมาให้แสวงหาซึ่งบาตรนั้น จะต้องมีเหตุอันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคง จึงรับอาสาที่จะนำบาตรนั้นคืนมาพระอชิตะได้ไปยืนในที่สุดบริษัท มองขึ้นไปบนอากาศแล้วกระทำสัตยาธิษฐานว่า 
                     
“อาตมาบรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หวังซึ่งลาภยศทั้งหลาย แต่อาตมาบวชประพฤติพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์ที่จะตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง อันอาจสามารถรื้อสัตวโลกให้พ้นจากสงสารทั้งสิ้น หากว่าศีลของอาตมามิขาดทำลายและด่างพร้อยบริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ขอให้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงมาสถิตในมือของอาตมาด้วยเทอญ”

พระอชิตะทรงตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว จึงเหยียดมือออกไปขณะนั้น บาตรก็ปรากฏตกลงจากอากาศ ประดิษฐานอยู่ที่มือของพระอชิตะ พระอัครมหาสาวกและพระอสีติมหาสาวก ได้มีดำริว่า
บาตรนี้ควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ควรแก่มหาสาวกทั้งหลายแลภิกษุรูปนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเป็นแน่

พระนางประชาบดีโคตมีได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็มีความปิติโสมนัสเป็นกำลังด้วยวัตถุทานที่ถวายให้แก่พระอชิตะแล้วกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จคืนพระราชนิเวศน์สถานเมื่อพระอชิตะได้รับผ้าคู่นั้นมาแล้ว เห็นว่า ไม่ควรแก่ท่านจึงนำผ้าผืนหนึ่งไปปูบนเพดานบนพระคันธกุฎี แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า อีกผืนหนึ่งแบ่งเป็น ๔ ท่อน ผูกเป็นม่านห้อยลงในที่สี่มุมแห่งเพดานนั้น แล้วอธิษฐานว่า ขอให้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ท่านอชิตภิกษุรูปนี้เป็นพระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระเมตไตรยพุทธเจ้าในอนาคต(๑) ในอนาคตวงศ์(๒) เล่าว่า ในภัททกัลปนี้ ชาติสุดท้ายคือชาติที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระเมตไตรยพุทธเจ้าเมื่อยังมิได้ทรงผนวชก็ทรงพระนามว่า... “อชิตะ”

(๑. ปฐม. แปล. -/๓๑๕-๓๒๘ ๒. อนาคตวํส. -/๔๓-๕๖)

: ขอขอบคุณเจ้าของภาพและข้อมูล

อาพาธสูตร

             [๖๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระคิริมา-
*นนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนักครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้
มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระคิริมานนท์
อาพาธ ได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคได้
โปรดอนุเคราะห์เสด็จเยี่ยมท่าน พระคิริมานนท์ยังที่อยู่เถิด พระเจ้าข้า ฯ
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้วกล่าวสัญญา
๑๐ ประการแก่คิริมานันทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานันทภิกษุจะพึงสงบระงับ
โดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ สัญญา ๑๐
ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑ อนัตตสัญญา ๑ อสุภสัญญา ๑ อาทีนว
สัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑ สัพพโลเกอนภิรต
สัญญา ๑ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑ อานาปานัสสติ ๑ ฯ
             ดูกรอานนท์ ก็อนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่
เที่ยง ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ด้วย
ประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอนิจจสัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ ก็อนัตตสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
จักษุเป็นอนัตตา รูปเป็นอนัตตา หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา จมูกเป็น
อนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา กายเป็นอนัตตา
โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา ย่อมพิจารณาเห็น
โดยความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ๖ ประการ
เหล่านี้ ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่า อนัตตสัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ ก็อสุภสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้นั่นแล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา
มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่า ในกายนี้
มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจ
ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด
หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่งามในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์
นี้เรียกว่าอสุภสัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ ก็อาทีนวสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ
โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก
โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้อง
โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก
โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด หูด
โรคละออง บวม โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม
โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน
อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาต อาพาธอันเกิดแต่ฤดูแปรปรวน
อาพาธอันเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความเพียรเกินกำลัง
อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย
ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้ ด้วย
ประการดังนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอาทีนวสัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ ก็ปหานสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความ
ไม่มี ซึ่งกามวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้
หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาทวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี
ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งวิหิงสาวิตก
อันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อม
ทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันชั่วช้า อันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นแล้ว
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าปหานสัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ ก็วิราคสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรม
เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอกกิเลส
ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าวิราคสัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ นิโรธสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรม
เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่ดับโดยไม่
เหลือ ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่านิโรธสัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ สัพพโลเกอนภิรตสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ ละอุบาย ๑- และอุปาทานในโลก อันเป็นเหตุตั้งมั่น ถือมั่น และเป็น
อนุสัยแห่งจิต ย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพโลเกอนภิรต
สัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชังแต่สังขารทั้งปวง ดูกรอานนท์
นี้เรียกว่าสัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ฯ
             ดูกรอานนท์ อานาปานัสสติเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอเป็นผู้มีสติหายใจออก เป็นผู้มีสติ
หายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็
รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อ
หายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวง
@๑. อุบาย คือ ตัณหาและทิฐิ อุปาทาน คือ อุปาทาน ๔
(ลมหายใจ) หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวงหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร (ลมหายใจ) หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร
หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตตสังขาร (เวทนา) หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตตสังขาร
หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตตสังขารหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตตสังขาร
หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักยังจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักยังจิตให้บันเทิงหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตให้มั่นหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตให้มั่นหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจออก
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมศึกษา
ว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็น
ผู้พิจารณาเห็นโดยความดับสนิทหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็น
โดยความดับสนิทหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสลัด
คืนหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสลัดคืนหายใจเข้า
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอานาปานัสสติ ฯ
             ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้ว กล่าวสัญญา ๑๐ ประการนี้แก่
คิริมานนทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานนทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน
เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ
             ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ในสำนักของ
พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าว
สัญญา ๑๐ ประการแก่ท่านพระคิริมานนท์ ครั้งนั้นแล อาพาธนั้นของท่าน
พระคิริมานนท์สงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ ท่านพระ-
*คิริมานนท์หายจากอาพาธนั้น ก็แลอาพาธนั้นเป็นโรคอันท่านพระคิริมานนท์ละได้
แล้วด้วยประการนั้นแล ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบสจิตตวรรคที่ ๑
-----------------------------------------------------
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
             ๑. สจิตตสูตร  ๒. สาริปุตตสูตร  ๓. ฐิติสูตร              ๔. สมถสูตร
             ๕. ปริหานสูตร  ๖. สัญญาสูตรที่ ๑  ๗. สัญญาสูตรที่ ๒  ๘. มูลสูตร
             ๙. ปัพพชิตสูตร  ๑๐. อาพาธสูตร ฯ
-----------------------------------------------------

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๒๕๙๗-๒๗๑๑ หน้าที่ ๑๑๑-๑๑๖.