วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ความสัมพันธ์พลังจิตกับระดับคลื่นสมอง

ความสัมพันธ์พลังจิตกับระดับคลื่นสมอง





“คลื่นสมอง” ก็คือการแกว่งขึ้นๆลงๆอย่างเป็นจังหวะของแรงดันไฟฟ้าอย่างหนึ่ง ระหว่างส่วนต่างๆของสมอง จนเป็นผลให้เกิดกระแสการไหลของไฟฟ้าขึ้น ซึ่งสภาวะของคลื่นสมอง หรือก็คือกิจกรรมทางไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายในช่วงความถี่หนึ่งๆ ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด มีอยู่ 4 สภาวะด้วยกัน ได้แก่ คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta), อัลฟา (Alpha), ธีต้า (Theta), และ เดลต้า (Delta)
ซึ่งระดับความถี่ของคลื่นสมองของพวกคุณนี้เอง ที่เป็นตัวกำหนดระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเอง และในทางกลับกัน ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะนำพาไปสู่การมี ”อารมณ์” และ/หรือ “ความคิด” แบบใดแบบหนึ่งตามมาด้วย
คลื่นสมองทุกๆสภาวะ จะดำรงอยู่ในส่วนต่างๆของสมองของพวกคุณ ในปริมาณที่แตกต่างกันไป
และระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะถูกกำหนดโดยคลื่นสมอง ที่กำลังเป็นใหญ่อยู่ในสมองของพวกคุณ ในขณะนั้นๆด้วย



คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta Brainwaves)

คลื่นสมองระดับเบต้า ปกติแล้วจะเกิดจากการจดจ่ออยู่กับโลกภายนอก และเกิดจากการจดจ่อในขณะที่ยังลืมตาอยู่เป็นหลัก คลื่นสมองชนิดนี้ จะบ่งบอกถึงความสามารถของพวกคุณ ในการจัดการกับความคิดทั้งหลายของตัวเองอย่างมีสติสัมปชัญญะ พวกคุณมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในยามตื่นของตัวเองอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับเบต้านี้ ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 13 – 40 รอบต่อวินาที โดยเฉพาะคนที่มีความเครียดมาก อยู่ในภาวะเร่งรีบบีบคั้น ตื่นเต้น ตกใจ อารมณ์ไม่ดี โกรธ หรือดีใจมากๆ สมองจะมีการทำงานในช่วงคลื่นเบต้าอาจสูงได้ถึง 40 รอบต่อวินาที
ในสภาวะนี้พวกคุณจะจดจ่อความสนใจอยู่แต่กับเรื่องราวและตรรกะในชีวิตประจำวันของตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่ พวกคุณจะใช้กิจกรรมของสมองซีกซ้ายซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกคุณจะยุ่งอยู่กับการประมวณผลข้อมูลข่าวสาร จำนวนมหาศาล ที่ถูกส่งเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของพวกคุณเองอยู่ตลอดเวลา
คลื่นสมองระดับเบต้านี้ จะทำให้พวกคุณสามารถจดจ่อความตระหนักรู้ของตัวเองไปบนร่างกายเนื้อของตัวเองได้ และไปบนภาระหน้าที่ๆกำลังทำอยู่นั้นได้ ในขณะที่หากไม่มีคลื่นเบต้าเกิดขึ้นเลย มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ หรือทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้ในโลกภายนอก

คลื่นสมองระดับอัลฟา (Alpha Brainwaves)

คลื่นสมองระดับอัลฟา เป็นคลื่นสมองที่เกิดในสภาวะพักผ่อน หรือกำลังทำสมาธิ โดยจะเกิดจากการผสมผสานการจดจ่อระหว่าง การจดจ่ออยู่กับโลกภายในและกับโลกภายนอก ซึ่งในขณะนั้นๆ พวกคุณกำลังให้ความใส่ใจอยู่กับจินตนาการภายในของตัวเอง พอๆกับการให้ความใส่ใจกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอกในเวลาทำอะไรเพลินๆ จนลืมสิ่งรอบๆตัว เวลาสบายใจ เวลาอ่านหนังสือ หรือจดจ่อกับกิจกรรมใดๆ อย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่ง และการเข้าสมาธิในระดับภวังค์ที่ไม่ลึกมาก
ในขณะที่พวกคุณผ่อนคลาย หรือ กำลังทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ คลื่นสมองของพวกคุณจะเปลี่ยนไปอยู่ในระดับอัลฟา ซึ่งมีความถี่อยู่ระหว่าง 7 – 13 รอบต่อวินาที
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองในระดับอัลฟานี้ จะเป็นจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ที่ผสมผสานระหว่างสิ่งกระตุ้นจากมิติที่ 3 และมิติที่ 4 ซึ่งจะทำให้ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 4 ของพวกคุณเอง ซึ่งก็คือ “กายทิพย์” (Astral Body) ของพวกคุณเอง สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของพวกคุณเองได้อย่างเป็นอิสระ
ในขณะที่พวกคุณกำลังอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้อยู่ พวกคุณจะสามารถ “คิดแบบใช้สมองทุกๆส่วน” (Whole Brain Thinking) ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ซึ่งการคิดแบบใช้สมองทุกๆส่วนที่ว่านี้ก็คือ
การมีความสมดุลระหว่างสมองซีกขวาและสมองซีกซ้าย ในการเขียน การเต้นรำ การปั้น การร้องรำทำเพลง หรือการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ใดๆก็ตาม
ในสภาวะนี้ ตามปกติแล้ว ระดับความเข้มข้นของสารเอนดอร์ฟินส์ (endorphins) ในร่างกายของพวกคุณ ก็จะสูงกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้พวกคุณรู้สึก “เบิกบาน” ตามไปด้วย

คลื่นสมองระดับธีต้า (Theta Brainwaves)

คลื่นสมองระดับธีต้า จะเกิดขึ้นเมื่อพวกคุณหลับตาลง และจดจ่อความสนใจอยู่กับโลกภายในอย่างเข้มข้น คลื่นสมองระดับธีต้านี้ จะมีความถี่อยู่ระหว่าง 4 – 7 รอบต่อวินาที และจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ภายในที่เกิดจากการเข้าสมาธิ และการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ขั้นลึกที่สุด
และเพื่อที่จะรักษาจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้เอาไว้ให้ได้ พวกคุณจะต้องทำให้ร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่นิ่งๆเท่านั้น เพราะว่าในสภาวะนี้พวกคุณจะต้องจดจ่ออยู่แต่กับโลกภายในของตัวเองเท่านั้น ดังนั้น มันอาจจะเป็นการไม่ปลอดภัยหากจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหน ในโลกทางกายภาพในระหว่างที่กำลังอยู่ในสภาวะนี้
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองในระดับธีต้านี้ ปกติแล้วจะได้มาจากการเข้าสมาธิขั้นลึก และจะทำให้พวกคุณสามารถยังมีสติเต็มตื่นอยู่ได้ ในขณะที่กำลังท่องไปด้วยกายทิพย์ เพื่อเข้าไปสู่มิติที่ 4 ส่วนบน และเข้าไปสู่สะพานสายรุ้งที่เชื่อมต่อไปสู่มิติที่ 5 ด้วย
และด้วยการฝึกฝน พวกคุณก็จะสามารถจดจำการผจญภัยของตัวเองในช่วงระหว่างที่กำลังอยู่ในสมาธิได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับการผจญภัยเหล่านี้ มันก็จะหายไปทันทีเมื่อพวกคุณลืมตาขึ้น
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับธีต้านี้ ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การฝันแบบรู้ตัว” (Lucid Dreaming) และมีส่วนเกี่ยวข้องกับมโนภาพต่างๆ ที่พวกคุณจะได้ประสบในระหว่างที่พวกคุณ กำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอีกด้วย (ทั้งช่วงเวลาก่อนหลับ และ ก่อนตื่น)
จิตวิญญาณของพวกคุณ หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น จะปิติยินดีกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้มาก เพราะว่ามันจะทำให้พวกคุณสามารถเข้าไปใน “กระแสของความเป็นหนึ่งเดียวกัน” (the Flow of the One) ได้
ซึ่งภายในกระแสดังกล่าวนี้ พวกคุณจะสามารถติดต่อสื่อสารกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวเองได้ เพื่อทำให้ตัวเองมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจเพิ่มมากขึ้น อย่างมหาศาล
คลื่นสมองระดับธีต้านี้ จะไปกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่เคยถูกใช้งานของพวกคุณ และจะเชื่อมต่อพวกคุณให้เข้ากับ “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก” อีกด้วย

คลื่นสมองระดับเดลต้า (Delta Brainwaves)

คลื่นสมองระดับเดลต้า คือความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นของจิตเหนือสำนึกของพวกคุณ(your superconscious empathy) ซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กับ และเชื่อมโยงพวกคุณเข้ากับ ตัวตนหลากมิติของพวกคุณเอง
คลื่นสมองระดับเดลต้านี้ จะมีความถี่อยู่ในช่วง 0.5 – 4 รอบต่อวินาที และจะเกี่ยวข้องกับการบำบัดรักษาโรคแบบปาฏิหาริย์, ความรู้อันศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบน, การเกิดใหม่, การหายจากความเจ็บปวดทางจิตใจ, การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล (สมาธิ), ประสบการณ์เฉียดตาย (near death experience) และอาการโคม่า
ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเดลต้านี้ ปกติแล้วพวกคุณจะ “ไม่รับรู้” ความเป็นไปของโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพเลย
ในระหว่างที่อยู่ในสภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ดังกล่าวนี้ ปกติแล้ว จะปราศจากความฝัน และจะมีก็เพียงแต่ผู้ปฏิบัติสมาธิที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์สูงที่สุดเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าถึงจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ได้
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่สามารถเข้าถึงสภาวะแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกับ “ความเป็นหนึ่งเดียว” (the ONE) ได้แล้ว มันก็จะไม่มีการลืมเกิดขึ้น เพราะว่ามันจะค่อยๆซึมซับเข้าไปในทุกๆพื้นที่ของชีวิตของพวกคุณ และ จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้ มันก็จะช่วยให้พวกคุณ ได้มาซึ่งสภาวะอันมั่นคงของความเป็นหนึ่งเดียวกัน กับตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณเอง ในท้ายที่สุด
และเมื่อใดที่ตาที่สามของพวกคุณถูกเปิดขึ้นแล้ว พวกคุณก็จะสามารถทำให้จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเอง ถูกครอบงำด้วยคลื่นสมองระดับนี้ และสามารถรักษาไว้ซึ่งคลื่นสมองระดับนี้ ได้อย่างง่ายดาย
จิตวิญญาณของพวกคุณ หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น จะปิติยินดีกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้มาก เพราะว่ามันจะช่วยให้จิตวิญญาณ/ตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง สามารถที่จะโฉบลงมาจิกเอาพวกคุณขึ้นไปได้ เพื่อพาพวกคุณท่องเที่ยวเข้าไป ใน “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (Oversoul) ของพวกคุณเอง และท่องเที่ยวเข้าไป
ในโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆที่มีอยู่จำนวนมากมายก่ายกอง ที่ตัวตนหลากมิติของพวกคุณเอง มี “รูปกาย” อยู่ เพื่อไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันหลากหลายมาได้
คลื่นสมองระดับเดลต้านี้ จะช่วยให้พวกคุณหลุดพ้นจากมายาการของโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้ได้ และจะช่วยเชื่อมต่อพวกคุณให้เข้ากับ “จิตสำนึกระดับกาแลกซี่” (Galactic Consciousness) ได้

คลื่นสมองระดับแกมม่า (Gamma Brainwaves)

คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ จะสั่นสะเทือนอยู่ในช่วงความถี่ประมาณ 40 รอบต่อวินาที คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ เป็นคลื่นสมองที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ชนิดหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นคลื่นสมองที่ยากต่อการใช้เครื่องมือตรวจวัดค่ามันออกมาให้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นสมองระดับเบต้าซะอีก และมันก็ถูกเข้าใจว่ามันเป็น “ความถี่แห่งการประสานกลมกลืนกัน” (harmonizing frequency)
การสังเกตการณ์ดูวัตถุใดๆ เช่น ดูขนาด, ดูสี, ดูเนื้อสัมผัส, ดูหน้าที่ของมัน เป็นต้น จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้, ถูกรับรู้ และถูกจัดการโดยส่วนต่างๆของสมองของพวกคุณ ที่แตกต่างกัน
คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ จะเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสมอง ในการสร้างภาพโฮโลแกรมขึ้นมา
โดยการปะติดปะต่อเอาข้อมูลต่างๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้ในส่วนต่างๆของสมองเข้าด้วยกัน เพื่อรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นภาพรวมระดับสูงกว่าขึ้นไปอีก
จิตวิญญาณของพวกคุณ จะพึงพอใจกับคลื่นสมองระดับนี้เป็นอย่างมาก พอๆกับที่พึงพอใจ “คลื่นสมองใหม่” อื่นๆ เพราะว่าพวกมันจะทำให้พวกคุณสามารถนำเอาประสบการณ์ภายในทั้งหมดของตัวเอง มารวมเข้าด้วยกันได้ และจะทำให้พวกคุณสามารถจดจำพวกมันได้ ในชีวิตจริงทางโลกของพวกคุณด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ คือสิ่งที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก ต่อการกราวด์มิติที่ 5 ให้เข้ากับดาวเคราะห์โลกของไกอา ที่อยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้

คลื่นสมองใหม่ (New Brainwaves)

นักวิจัยด้าน EEG ได้สังเกตเห็นว่ามันมีคลื่นสมองที่มีความถี่สูงมากๆแบบสุดขั้ว จนสูงกว่าคลื่นสมองระดับแกมม่าอยู่อีก คือราวๆ 100 รอบต่อวินาที ดังนั้น พวกเขาจึงตั้งชื่อให้มันว่า “คลื่นสมองระดับไฮเปอร์แกมม่า” (Hyper Gamma Brainwaves)

        ส่วนคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่านั้นไปอีก คือมีความถี่ราวๆ 200 รอบต่อวินาที พวกเขาตั้งชื่อให้มันว่า “คลื่นสมองระดับแลมบ์ด้า” (Lambda Brainwaves)
และในทางกลับกัน พวกเขาก็ยังค้นพบคลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำมากๆแบบสุดขั้วอีกด้วย ซึ่งต่ำกว่าคลื่นสมองระดับเดลต้าซะอีก นั่นก็คือมีความถี่ต่ำกว่า 0.5 รอบต่อวินาที ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตั้งชื่อให้กับมันว่า “คลื่นสมองระดับเอปซิลอน” (Epsilon Brainwaves)
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเอปซิลอนนี้ ถูกเข้าใจว่ามันคือสภาวะที่เหล่าโยคีทั้งหลายใช้เพื่อเข้าสู่นิโรธสมาบัติ (Suspended animation) ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในสภาวะนี้ เหล่าแพทย์ชาวตะวันตกจะไม่สามารถตรวจพบชีพจร, การเต้นของหัวใจ, และการหายใจ ของโยคีเหล่านี้ได้เลย
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับไฮเปอร์แกมม่า และ แลมบ์ด้านี้ เป็นสภาวะที่มีความเกี่ยวข้องกับ ความสามารถของพระทิเบตบางนิกาย ที่สามารถนั่งสมาธิบนภูเขาหิมาลัยที่มีอุณหภูมิติดลบได้ โดยสวมใส่เครื่องนุ่งห่มเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง และยังสามารถทำให้หิมะที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาละลายได้ด้วย
คลื่นสมองระดับเอปซิลอน ที่มีความถี่ต่ำกว่า 0.5 รอบต่อวินาทีนี้ พวกคุณจะเห็นว่ามันซ่อนอยู่ภายในรูปแบบของคลื่นสมองระดับไฮเปอร์แกมม่า และแลมบ์ด้า ซึ่งมีความถี่ 100 – 200 รอบต่อวินาทีด้วย
และในทำนองเดียวกัน ถ้าพวกคุณสามารถถ่ายภาพเป็นมุมกว้างย้อนกลับไปได้ พวกคุณก็จะเห็นว่า คลื่นสมองระดับแลมบ์ด้า ซึ่งมีความถี่สูงแบบสุดขั้ว คือราวๆ 200 รอบต่อวินาทีนี้ ก็จะขี่อยู่บนยอดของคลื่นสมองระดับเอปซิลอน ซึ่งมีความถี่ต่ำแบบสุดขั้ว อยู่เช่นเดียวกัน
ในทำนองเดียวกัน ประสาทสัมผัสภายในของพวกคุณเอง ก็จะถูกตรึงเอาไว้กับประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณ และจะต้องพึ่งพาอาศัยประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณด้วย ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถรับรู้โลกภายในได้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ในท้ายที่สุด ในขณะที่ยังคงอยู่ในรูปกายทางกายภาพของมิติที่ 3 นี้
มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพวกคุณ ที่จะต้องจดจำเอาไว้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าทั้งหลาย พวกมันยังคงมีอยู่เสมอ แต่ในชั่วขณะใดที่พวกคุณหลงลืมพวกมันไป พวกมันก็จะไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นไปได้ของพวกคุณอีกต่อไป
เพราะฉะนั้นแล้ว แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลกที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย จึงจะกลายเป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” ไป
ดังนั้น ยิ่งพวกคุณกล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” อันนั้น มากเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งสามารถ เข้าถึงการทำงานขั้นสูงกว่าของสมองตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งพวกคุณ “เปิดใจตัวเอง” มากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งทำให้ “สมองของตัวเองพัฒนา” มากขึ้นเท่านั้นด้วย
- See more at: http://warningdisasters.blogspot.com/2014/08/blog-post_28.html#sthash.jeVhE6D7.dpuf

ที่มา https://www.novabizz.com/NovaAce/Physical/Brainwave.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น