วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

สวดภาวนาเพื่อความสุขความเจริญต่อไป

🌺อาตมภาพได้ทูลขอพระคาถาที่จะให้ญาติโยมทั้งหลายใช้สวดภาวนาเพื่อความสุขความเจริญต่อไป พระองค์จึงได้ประทานพระคาถาเรียกเงินเรียกทอง เป็นการอนุเคราะห์แก่ญาติโยมดังนี้
"โอม พุทธะโธ ธัมมะโม สังฆะโฆ ให้มือข้าโต เรียกเงินได้เงิน เรียกทองได้ทอง ยะมาหายะ ยะมาหายัง นะนะนะโม เงินทองพอประมาณ กวักเงินได้เงิน กวักทองได้ทอง" 

กับได้ประทานพระดำรัสอธิบาย วิธีใช้พระคาถาดังนี้ 

เวลาก่อนนอนให้ภาวนา ๓ ครั้ง หรือ ๙ ครั้ง แล้วใช้มือกวักไปทั้ง ๔ ทิศ ภาวนาเรียกเงินเรียกทอง เมื่อจะออกจากบ้านไปทำธุระ ให้ภาวนาคาถานี้ ๓ ครั้ง แล้วยกมืออธิษฐานชื่อท่านจตุระเทวา นึกตามที่จะปรารถนา 

ผู้ใดปฏิบัติได้ดังนี้ จะได้สมมโนรถของตน
ญาติโยมทั้งหลายที่ได้รับพระคาถานี้ไปสวดภาวนาปรากฏว่า ได้รับความสุขความเจริญโดยทั่วกัน 

เจริญพร
(องสรภาณมธุรส บ๋าวเอิง)
เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร
๘ กันยายน ๒๕๐๓
Cr.SaRaN WiKi

จิต เป็นพลังงาน

”จิต เป็นพลังงาน“

ในพระสูตร วันหนึ่ง มีผู้ถามพระพุทธเจ้าว่าทำไม พระสงฆ์ จึงรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ
พระพุทธเจ้ามีพระดำรัสตอบว่า 
"สัตว์ทั้งหลาย ลงกันด้วยธาตุ" สัตว์ ในที่นี้ หมายถึง "สังคม ของสิ่งมีชีวิต"
ผู้ชอบปัญญาอยู่กับพระสารีบุตร
ผู้ชอบมีฤทธิ์อยู่กับพระโมคคัลลานะ
ผู้ชอบศีลอยู่กับพระอุบาลี
ผู้ชอบปลีกวิเวกอยู่กับพระมหากัสสปะ
ผู้ชอบธรรมอันหยาบอยู่กับ พระเทวทัต

"สัตว์ทั้งหลายลงกันด้วยธาตุ"
ธาตุที่เสมอกันจะรวมกันอยู่ ธาตุ ในที่นี้ หมายถึง คุณภาพของจิตอันเกิดจากปรุงแต่งด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติธรรม 

"นกชนิดเดียวกัน จะอยู่ในฝูงเดียวกัน คนที่เคยมีบุพกรรมร่วมกันจะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”

เราอยู่ในโลกของพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง (แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง) ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา 

หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้ แล้วประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ 

ซึ่งความจริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว และตรัสไว้ผ่านทางหลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า...

ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) 
ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง) 
และไม่มีตัวตน (อนัตตา) 

สามสภาวะนี้เรียกรวมกันว่า “กฎไตรลักษณ์”

กฎข้อนี้ในบางส่วน นักจิตวิทยาก็ค้นพบ เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น ..

คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น

ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ อยู่ 2 ส่วน คือ..

1. ส่วนที่เป็นกายภาพ สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”

2. ส่วนที่เป็นพลังงาน สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน” เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น 

กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์” ทางพระเรียกว่า “นาม” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า..

นามนั้นประกอบด้วย..
ความรู้สึก (เวทนา), 
ความจำ (สัญญา), 
ความคิด (สังขาร), 
การรับรู้ (วิญญาณ)

ข้อดีของสัจธรรมก็คือ..
เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในชีวิตประจำวัน เราต้องมาพบ มาทำงานร่วมกับคน ๆ นี้ ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตาม ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไร นั่นก็เพราะเรายังมี “กายภายใน” ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกับเขา “คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน” เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์ หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น

ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรา..ยังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป และวิธีการสลัดตนให้ "หลุดพ้น" จากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ 
“ระดับพลังงาน” ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ โดยเริ่มต้นจากความอยากเปลี่ยนแปลง.. "ไปในทางที่ดี"

“ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดีได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล ออกกำลังกายอยู่เสมอ 

ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ เราก็จะไม่มีทางพบเจอ คนเหล่านั้นอีกเลย แต่จะเปลี่ยนไปเจอคนที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า..เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก” ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไปโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”

ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก..
ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก.. “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก” แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมดังคำสอนเปลี่ยนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
“การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕)

ทาน .. บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี 

ศีล .. บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก 

สมาธิ .. บอกระดับความสุขสงบเย็น 

ปัญญา .. บอกระดับความรู้ ความเข้าใจต่อโลก และสรรพสิ่ง

“คนที่เสมอกันจะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”



#ธรรมะธรรมชาติธรรมดาโลก

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2567

อานาปานสติ....เบื้องต้น

..........อานาปานสติ....เบื้องต้น...........
...เมื่อลมสงบแล้ว..นำมาเจริญ..
...กรรมมัฏฐาน.5..ว่า.เกศา...เส้นผม..ทั้งหมด..
..เมื่อลมสงบแล้ว.ก็เจริญ..โลมา...ขน..ทั้งหมด..
..เมื่อลมสงบแล้ว..ก็เจริญ..นะขา..เล็บ.ทั้งหมด...
..เมื่อลมสงบแล้ว..ก็เจริญ..ทันตา..ฟัน.ทั้งหมด....
เมื่อลมสงบแล้ว..ก็เจริญ...ตะโจ.หนังหุ้มกายสุดรอบ..
...ขยับไปทีละ.1.กรรมมัฏฐาน..ตามลำดับ....
.......เบื้องต้น..การเจริญ..กรรมมัฏฐาน5....
......จนครบ.32..จนลมดับสนิท...
..ก็เจริญ.วิปัสสนา..(ไตรลักษณ์..)..
อุปาทานขันธ์ทั้ง5...(.รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)..กิเลส..16..ตันหา..ภวะตัณหา.
วิภวตัณหา....ตามลำดับ..เพื่อละ..(.รูป..และนาม..).....

รู้ได้อย่างไรว่า “จิตเริ่มสงบเป็นสมาธิ”???

เมื่อทำอานาปานสติ คือ การรู้ลมหายใจเข้า-ออก หรือ ภาวนาพุทโธๆๆๆ หรือ รู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือเพ่งกสิณ มีสติอยู่กับกรรมฐานที่ตนทำอยู่นั้น เมื่อจิตเริ่มสงบเป็นสมาธิ จะเริ่มมีอาการปรากฏที่กาย ดังต่อไปนี้
น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ 
ขนลุก ขนผอง 
รู้สึกเหมือนตัวขยาย ตัวใหญ่ขึ้น
รู้สึกเบาสบายเหมือนตัวลอยได้ รู้สึกซาบซ่านไปทั้งตัวทุกอณูขุมขนเหมือนสัมผัสลมเย็นหรือลงไปอาบในสระน้ำเย็น 
เห็นแสงสว่างสีขาว
อาการเหล่านี้เรียกว่า “ปีติ” แสดงว่าคท่านมาถึง “ฌาน” หรือ “อัปนาสมาธิ” องค์ฌานประกอบด้วย “วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา” ตอนนี้ท่านได้ 3 ใน 5 แล้ว

เมื่อมีอาการ “ปีติ” อย่าไปสนใจหรือปีติใน “ปีติ” ให้เอาสติกลับมาอยู่กับกรรมฐานที่ท่านทำอยู่ขณะนั้น จะก้าวข้าม “ปีติ” เกิดเป็น “สุข” และ “เอกัคตา” ตามลำดับ ซึ่งเป็นสมาธิที่ละเอียด ประณีตกว่ามาก สมาธิระดับนี้แหละที่มีอานิสงส์มากเข้าถึงแค่เพียงช้างกระดิกหู มีอานิสงส์มากกว่าถือศีล 100 ปี ตักบาตรจนบาตรหินก้นทุละก็ไม่เท่า “จิตรวมเป็นสมาธิ”

ให้จิตพักในสมาธิระดับนี้จนเต็มอิ่มหรือยกระดับสู่ ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน และอรูปฌานตามลำดับ เมื่อจิตอยู่กับความสงบจิตเต็มอิ่ม 1 ชม. 3 ชม. 6 ชม. 24 ชม. 3 วัน 7 วัน จะถอนมาที่ “อุปจารสมาธิ” เองโดยไม่ต้องบังคับ เหมือนคนบริโภคอาหารอิ่มแล้ว ขณะนั้นจิตจะมีกำลังและปัญญาสว่างไสวมาก เวลาขณะนั้นเหมาะแก่การเจริญปัญญา คือ การทำวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อทำลายกิเลสจนหมดสิ้นไปในที่สุด……

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2567

ตาทิพย์ที่เกิดจาก อาโลกสัญญา (ภาพแสงสว่าง)

สำหรับท่านผู้ปรารถนาอยากได้ตาทิพย์ หูทิพย์ เพื่อใช้ในการโปรดสัตว์ขออนุญาตให้เคล็ดลับดีๆครับ
พระโมคคัลลานะ ผู้มีฤทธิ์มาก พระอนุรุทธ ผู้มีทิพยจักษุญาณเป็นเลิศ ล้วนเกิดจากพระพุทธเจ้าทรงประทานให้ฝึกอาโลกสัญญา กำหนดภาพแสงสว่างกลางวันไว้ในใจ ภาวนาว่า
“กลางวัน ฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น”

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เทศน์ว่า “ตาทิพย์ที่เกิดจาก อาโลกสัญญา (ภาพแสงสว่าง) จะแจ่มชัดที่สุด ช่วยให้วิชามโนมยิทธิ ตั้งมั่นอยู่ได้นาน”
เคล็ดลับ (ของผม) คือ ให้นำดวงแก้วจักรพรรดิ (ดวงเล็ก) พกติดกระเป๋าสตางค์ มีเวลาว่างก็นำขึ้นมาแล้วจดจำภาพดวงแก้วนี้ให้ดี แล้วระลึกให้ภาพดวงแก้วอยู่ในมโนจิต ให้ภาพดวงแก้วนี้ติดอยู่ในมโนจิตตลอดเวลาทุกอริยาบท การใช้ชีวิตประจำวัน ลมหายใจเข้าบริกรรม “อาโลกสิณัง” หายใจออกบริกรรม “อาโลกสิณัง” พร้อมนะลึกให้เห็นภาพดวงแก้วในใจก็ได้ จะทำให้ท่านใจเย็นขึ้น ถ้าลืมก็หยิบดวงแก้วมาจำภาพใหม่ ให้ภาพดวงแก้วนี้ให้ติดอยู่ในมโนจิตทั้งวัน

เมื่อมีเวลาว่างในช่วงเช้าหรือเย็นสัก 30 นาที - 2 ชั่วโมง นั่งขัดสมาธิ หายใจเข้า บริกรรมว่า อาโลกสิณัง หายใจออก บริกรรมว่า อาโลกสิณัง หรือจะบริกรรมว่า แสงสว่างๆๆๆ รัวๆๆ ก็ได้ คำภาวนาเพื่อเป็นสติให้ท่านระลึกถึงภาพดวงแก้ว
ที่สำคัญอย่าลืมดูลมหายใจเข้า-ออกด้วย จะเป็นกรรมฐานใหญ่

เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิ จะเริ่มเกิด ปิติ คือ ขนลุกขนผอง น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวขยาย ตัวเบาเหมือนลอยได้ ซาบซ่านทั้งตัว ตามด้วยเกิดบรมสุข สุขที่ไม่เคยพบเจอในชีวิต

เมื่อเลยปิติและสุข ภาพดวงแก้วจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นแก้วประกายพรึก ส่องสว่างสวยงามมาก เมื่อสงบยิ่งขึ้น จะทิ้งคำบริกรรม ทิ้งปิติ ทิ้งสุข ทิ้งลมหายใจและกาย เหลือแต่อารมณ์อุเบกขา จิตตั้งมั่นกับดวงแก้วประกายพรึก ส่องสว่าง ไสว แสดงว่าท่านบรรลุอาโลกสัญญาแล้ว

ให้ท่านอยู่กับอารมณ์ความสงบดังกล่าวจนจิตถอนออกจากสมาธิเอง จะเริ่มรู้สึกถึงกาย ลมหายใจ สุข ปิติ ตามลำดับ ถอยมาที่ อุปจารสมาธิ แล้วนึกถึงดวงแก้วประกายพรึก แล้วอธิฐานขอให้ข้าพเจ้าเห็นภาพ.... นรก สวรรค์ พรหมโลก บางคนมีของเก่าเยอะ อาจจะเห็นทั้งภาพและเสียงพร้อมกัน เสียงดังชัดเจนยิ่งกว่า หูเนื้อมากจนประหลาดใจ

ขอให้ทุกท่านสำเร็จกสิณกองนี้สมดังปรารถนา สาธุๆๆๆ

ที่มา


วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

วงจรปฏิจจสมุปบาท

จากวงจรปฏิจจสมุปบาท จึงเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด
1. เพราะจิต หรือ ธาตุรู้ หรือวิญญาณธาตุ ถูกอวิชา คือ ความไม่รู้ ครอบงำ จึงเกิดสังขาร คือ การปรุงแต่งของจิต 
2.เมื่อเกิดสังขาร จึงเกิดวิญญาณ (ขันธ์) คือ สภาพรับรู้ของจิตผ่านทาง 6 ทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
3.เมื่อเกิดวิญญาณ (ขันธ์) จึงเกิด นามรูป คือ ร่างกาย
4. เมื่อเกิดนามรูป จึงเกิด เวทนา คือ ความรู้สึกทุกข์ สุข ดีใจ พอใจ
5.เมื่อเกิดเวทนา จึงเกิด สัญญา คือ ความจำได้ ความรู้จำสิ่งที่ปรากฏได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความรู้สึกได้ทางใจ 
6. เกิด ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา และมรณะในที่สุด 

เมื่อปฏิบัติศีล สมาธิ (อานาปานสติ) และวิปัสสนา จิต (วิญญาณธาตุ) จะแยกออกจากขันธ์ 5 จิตเกิดปัญญา (วิชา) ทำลายความไม่รู้ (อวิชชา) เห็นตามความเป็นจริงว่า กาย เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ ล้วนไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ตามกฏไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจังและอนัตตา หยุดวงจรวงจรปฏิจจสมุปบาท ไม่กลับมาเวียนว่าย ตายเกิดอีก คนที่ไม่ปฏิบัติจะมองไม่เห็นสิ่งนี้

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566

**ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลวงพ่อฤาษี**



เรื่องที่ ๖๓ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
 
 
 “..**ถ้าใครไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ผ่านอำเภอถลางจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรี ๒ ท่าน คือ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทร**ประวัติของท่านมีดังนี้ ท่านท้าวเทพกษัตรี เดิมชื่อ “**จัน**” กับน้องสาวคือ ท่านท้าวศรีสุนทร เดิมชื่อ “**มุก**” เป็นชาวเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นเจ้าเมืองถลาง คุณจันกับคุณมุกได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างคล่องแคล่วชำนาญและมีความกล้าหาญ เมื่อเจ้าเมืองถึงแก่กรรม คณะกรรมการเมืองก็แต่งตั้งสามีคุณจันขึ้นเป็นเจ้าเมืองถลาง
 
 **ต่อมาสามีคุณจันถึงแกกรรม พม่าก็ยกทัพมาตีเมืองถลาง** ทั้งสองท่านได้ประชุมปรึกษากับคณะกรรมการเมือง โดยคิดอุบายลวงข้าศึก **ได้รวบรวมผู้หญิงราว ๕๐๐ คน ให้แต่งตัวเป็นผู้ชายโพกศีรษะ พอถึงเวลากลางคืนใช้ทางมะพร้าวทำเป็นอาวุธถือเดินแปรขบวนระหว่างค่ายทุกวัน**ตอนกลางวันก็เข้าทำเป็นกองหนุนเข้าสมทบในค่าย จนข้าศึกคิดว่าไทยมีกำลังหนุนอยู่เสมอ จึงนำทัพถอยร่นไป คุณจันจึงสั่งระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในกองทัพพม่า พม่าตกใจต่างหนีลงเรือแล่นออกจากอ่าวไป **เมื่อศึกสงบแล้วรัชกาลที่ ๑**โปรดให้แต่งตั้งคุณจัน**เป็น “ท้าวเทพกษัตรี” และคุณมุกน้องสาวเป็น “ท้าวศรีสุนทร”
 **
 **วีรกรรมของท่านทั้งสองจึงเป็นเกียรติประวัติแก่ชาติไทยสืบมาจนทุกวันนี้** อนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่านตั้งอยู่ที่ตำบลท่าเรือ สี่แยกเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต องค์พี่จูงมือน้องสาว มือขวาถือดาบ นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอกมีตะเบ็งมาน ผมทรงดอกกระทุ่ม เป็นสำริดสีดำทั้งสององค์
 
 **เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ อาตมาเดินทางไปภาคใต้ ได้นั่งรถผ่านอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต **เห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่าน จึงคิดว่าเรามาอยู่บนแผ่นดินของท่านทั้งสองผู้มีพระคุณใหญ่ที่รักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ ถ้าเวลานั้นไม่มีท่านทั้งสองก็ยังไม่แน่นักว่าจังหวัดภูเก็ตจะเป็นของเราหรือเป็นของใคร ก็เลยมีความคิดว่าท่านทั้งสองตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ถ้าพบได้ก็จะดี พอคิดเพียงเท่านี้ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองมาปรากฏอยู่ที่ข้างรถพอดี มายกมือไหว้ให้เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านในสมัยที่ท่านเป็นแม่ทัพ

ท่านบอกว่า “**ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์**”
 
 อาตมาจึงถามว่า “การสงครามต้องฆ่าคนตายไปสวรรค์ด้วยหรือ”

ท่านยิ้มแล้วก็ถามว่า “ท่านก็เคยเป็นแม่ทัพมาเคยเป็นทหารมา เคยฆ่าคนมาเป็นอันมากและก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นอันมาก ทำไมถึงไม่ลงนรกบ้างล่ะ” อาตมาตอบว่า “เรื่องก่อนเกิดจำไม่ได้และเรื่องของท่านจะรู้ได้อย่างไร ให้เล่าว่าเป็นคนวางนโยบายฆ่าคนเป็นจำนวนมากแล้วไปดาวดึงส์ได้อย่างไร”
 
 ท่านก็ตอบว่า “**ฉันทำบาปได้ฉันก็ทำบุญได้ การทำบาปคราวนั้นฉันพลีชีวิต เลือดเนื้อ สติปัญญา กำลังกายกำลังใจ ก็เพื่อความสันติสุขของประชาชนส่วนมาก** ฉันไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว จะตั้งฉันเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของพระราชาผู้ตั้ง เวลาทำฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น เมื่อทำแล้วฉันรู้ว่าเป็นบาปก็เลยทำบุญทำกุศล ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์”

ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม

อาตมามองไปที่อนุสาวรีย์แล้วก็มองรูปโฉมลักษณะของท่านที่มาปรากฏให้เห็นแต่งตัวเป็นแม่ทัพในสมัยนั้น คล้ายคลึงรูปจริงๆ ของท่านมาก แสดงว่าท่านทั้งสองคงดลใจให้คนปั้นรูปท่าน ปั้นได้คล้ายคลึงความเป็นจริงของท่านมาก

#ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี2