พระครูวิมลคุณากร | |
---|---|
(ศุข เกสโร) | |
190px | |
เกิด | พ.ศ. 2390 |
มรณภาพ | 23 ธันวาคม พ.ศ. 2466 |
อายุ | 76 |
อุปสมบท | พ.ศ. 2412 |
พรรษา | 54 |
วัด | วัดปากคลองมะขามเฒ่า |
ท้องที่ | ชัยนาท |
ตำแหน่ง ทางคณะสงฆ์ | เจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่า |
หลวงปู่ศุข เกสโรผู้ชำนาญในการแสดงฤทธิ์วัดปากคลองมะขามเฒ่า
อำเภอวัดสิงห์
จังหวัดชัยนาท
ในฐานะพระภิกษุสงฆ์ของชาวไทยรูปหนึ่งในอดีต คือ หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านผู้ได้สร้างชื่อเสียงในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ที่เกิดจากอำนาจจิตและเป็นผู้ทรงอภิญญายิ่งแห่งยุค ตลอดต่อมาในช่วงปัจจุบันนี้ ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ย่อมเป็นที่รู้จักเคารพศรัทธาในผลงานแห่งการประพฤติปฎิบัติของท่านมาด้วยดี เพราะหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษ และมีคณะศิษย์มากมายทั่วเมืองไทย นอกจากนี้แล้ว หลายท่านมีความเชื่อเหลือเกินว่า หลวงปู่ศุข หรือท่านพระครูวิมลคุณากร ท่านเป็นพระผู้สำเร็จวิชชาขั้นสูง หลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านจะได้สำเร็จวิชาอันเกิดจากการปฎิบัติทางจิตนั้นมากน้อยเพียงไรขนาดไหน ก็อยู่ในดุลพินิจของท่านทั้งหลายเท่านั้น ส่วนตัวของหลวงปู่ศุขเองท่านย่อมรู้ความจริงในจิตของท่านเอง จะหาใครในโลกนี้มารู้จิตของท่านได้นั้นยากหนักหนา นอกเสียจากพระผู้ทรงคุณเหนือกว่าท่านเท่านั้น ท่านผู้อ่านที่เคารพ เมื่อกล่าวถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ความอัศจรรย์ต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านต่างก็มีความสนใจเป็นพิเศษ ก่อนอื่น ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจฐานะของผู้เขียนเสียก่อน และให้เข้าใจว่า นี่คือคนเขียนเขียนขึ้นมาตามคำบอกเล่าของท่านผู้ใหญ่ อันเป็นเรื่องราวที่เล่าเป็นทอด ๆ กันมาเพราะคนเขียนเกิดไม่ทันในยุคของท่าน ฉะนั้น สิ่งใดก็ตาม แม้ผิดตกบกพร่องไปแล้ว ต้องขออภัยท่านผู้รู้และท่านผู้อ่านเป็นอย่างสูง หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่าองค์นี้ ส่วนมากมักจะเล่าความเป็นมาของท่านในเชิงชั้นอิทธิปาฎิหารย์มากกว่าสิ่งใด แท้จริงแล้ว ครูบาอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในอดีตที่ผ่านมา จะต้องมีคุณวิเศษที่เลิศไปกว่านี้อย่างแน่นอน สิ่งสำคัญนั้นคือ “จิต” การฝึกฝนอบรมจิตให้แก่กล้ามั่นคงดีนั้น จะต้องอาศัยจิตที่เกิดจาก อำนาจสมาธิ พระพุทธศาสนามีกำหนดบทธรรมที่สำคัญคือ ไตรสิกขา ได้แก่ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นข้อวัตรปฏิบัติตนของพระภิกษุและสามเณรทั้งหลาย ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าสืบทอดกันมา ผู้เขียนได้รับฟังและศรัทธาในองค์หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่าว่า มีคุณวิเศษ อธิษฐานจิตปลุกเสกใบไม้ หัวปลี ให้เป็นสัตว์น่ารัก กระโดดโลดเต้นไปมาได้ อีกทั้งยังมีความแก่กล้าสามารถมากที่สุด คือ “อภิญญาญาณ” และวิชชา 8 นั้น ในพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ในธรรมวิภาคปริจเฉทที่ 8 ดังต่อไปนี้ 1. วิปัสสนาญาณ คือปัญญาที่พิจารณาห็นสังขาร อันได้แก่ รูป นาม โดยพระไตรลักษณ์ 2. มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ที่สำเร็จได้ด้วยใจ 3. อิทธิวิธี คือ สามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ 4. ทิพยโสต คือ มีหูเป็นทิพย์ 5. เจโตปริยญาณ คือ ความรู้ที่สามารถกำหนดรู้ใจของบุคคลอื่นได้ 6. ปุพเพนิวาสานุสสติ คือ ความรู้เรื่องระลึกชาติ 7. ทิพยจักษุ คือ มีตาเป็นทิพย์ 8. อาสวักขยญาณ คือ เป็นความรู้ที่สามารถทำให้สิ้นอาสวะ นอกจากท่านจะเก่งกล้าทางอภิญญาแล้ว ท่านยังมีความแคล่วคล่องทางด้านวิปัสสนาญาณอีกด้วย วิปัสสนาญาณ ท่านหมายถึงการใช้ปัญญาพิจารณาธรรม (คำนึง) แบ่งออกเป็น 9 ประการ คือ 1. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ มีความปรีชาสามารถพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ 2. ภังคานุปัสสนาญาณ มีความปรีชาสามารถพิจารณาเห็นความดับ 3. ภยตุปัฎฐานญาณ มีความปรีชาสามารถ พิจารณาเห็นสังขารเป็นสิ่งของที่น่ากลัว ไม่มีแก่นสาร 4. อาทีนวานุปัสสนาญาณ มีความปรีชาสามารถ พิจารณาเห็นเป็นโทษ 5. นิพพิทานุปัสสนาญาณ มีความปรีชาสามารถ พิจารณาเห็นเป็นความน่าเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 เกิดคลายความยินดี 6. มุจจิตกัมยตาญาณ มีความปรีชาสามารถ พิจารณาด้วยความใคร่พ้นเสียในกองขันธ์ 5 นั้น 7. ปฎิสังขานุปัสสนาญาณ มีความปรีชาสามารถ พิจารณาด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในธาตุขันธ์ ปล่อยวางเสีย 8. สังขารุเปกขาญาณ มีความปรีชาสามารถ พิจารณาด้วยความวางเฉยเสีย 9. สัจจานุโลมิกญาณ มีความปรีชาสามารถ พิจารณาเป็นไปด้วยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ หลวงปู่ศุข หรือท่านพระครูวิมลคุณากร แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่าจังหวัดชัยนาทองค์นี้ โดยปกติคณะศิษยานุศิษย์และบุคคลโดยส่วนมาก มักจะกล่าวเรื่องความวิเศษอัศจรรย์แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ตลอดถึงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ในองค์ท่าน ที่เคยสร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธบริษัท ที่ส่วนมากมักเกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช แต่จะมีใครสักคนหนึ่งคิดบ้างไมว่า หลวงปู่ศุขท่านก็ไม่น้อยหน้าในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐาน ท่านมีความรอบรู้เชี่ยวชาญในเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานมากที่สุดองค์หนึ่ง เพราะก่อนที่จะเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ยงคงธรรม เป็นที่เคารพนับถือในหมู่ชน นับตั้งแต่บุคคลชั้นสูง คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงถวายตัวเป็นศิษย์แด่หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า นอกจากนี้ ยังมีคณะศิษย์อีกมากมายทั่วประเทศไทยอีกด้วย เมื่อหมดวาระ ท่านก็กำหนดจิตสู่ภูมิโลกุตรธรรมต่อไปได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด ฉะนั้น เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีหลักความจริงอยู่ว่า แม้ประสงค์จะให้เกิดมีขึ้นแก่ผู้ใดก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ปฏิบัติคนนั้น อนึ่ง อภิญญาโลกีย์นี้ ท่านผู้เป็นครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ได้กล่าวสอนตักเตือนไว้ว่า เพียงแต่ทำให้ถูก ให้พอดีกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น อิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ มันมิใช่ทางออก ไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์ได้เลย เพราะมันยังข้องอยู่ในโลก มันวุ่นวายเป็นทุกข์แท้ ๆ ฉะนั้น ท่านผู้เปรื่องปราดด้วยสติปัญญา ท่านจะหาทางที่ดีที่ควรปฏิบัติอย่างชนิดไม่ติดไม่ข้อง หาทางรอดออกไปจากกองทุกข์ ท่านอาศัยอะไร ? ก็อาศัยอำนาจจิต กำลังสมาธินั้นแหละพิจารณา เมื่อเห็นทางแล้วท่านก็เดินตามคลองธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดในธรรม นี้จึงจะพ้นทุกข์ขจัดเสี้ยนหนามอันเราเรียกว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน ไปได้อย่างแน่นอน จากไปได้เป็นพระ สำหรับชีวประวัติส่วนตัวที่แน่ชัดจริง ๆ ยังไม่ปรากฎในบันทึกหรือจดหมายเหตุฉบับใด เพียงแต่ทราบต่อ ๆ กันมาว่า หลวงปู่ศุขเกิดที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ภูมิลำเนาของท่านอยู่ใกล้ ๆ วัดมะขามเฒ่านั่นเอง เป็นที่น่าเสียดายอย่างมากที่ไม่มีใครรู้ว่า หลวงปู่ศุขบวชที่วัดอะไร อยู่ที่ไหนและ เมื่อไร แต่ก็รู้กันแต่เพียงว่า เมื่อเยาว์วัยของท่านนั้น วันหนึ่งท่านต้อนควายลงมากินน้ำที่ท่าน้ำวัดมะขามเฒ่า และขณะนั้นเอง ท่านก็กระโดดลงน้ำ เกาะเรือโยงที่ผ่านมาเล่นอย่างสนุกสนาน ด้วยความเพลิดเพลินใจ ทำให้ท่านไม่อยากขึ้น ร้อนถึงแม่มาตามเรียกให้ขึ้นจากน้ำก็หายอมขึ้นไม่ ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียงั้นแหละ ทำให้แม่โกรธมาก ฉะนั้น พอท่านขึ้นจากน้ำ แม่ก็เลยเอาดินขว้างไม่ยอมให้ขึ้น ประสงค์จะให้ท่านเล่นจนสะใจ เมื่อจะขึ้นอีก แม่ก็เอาดินขว้างอีก ทำไงดี...เมื่อท่านกิดขัดใจ หุนหันขึ้นมาชั่วอารมณ์วูบหนึ่ง ก็เลยเกาะเรือโยงลำนั้นขออาศัยเขาเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ท่านหายสาบสูญไปจากจังหวัดชัยนาทตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สร้างความอาลัยเป็นห่วง ทั้งตระหนกทุกข์ร้อนแก่ผู้เป็นแม่ ซึ่งต้องว้าเหว่อยู่เบื้องหลัง ปฏิทินรายวันถูกฉีกทิ้งไปวันแล้ววันเล่าตามกำหนดหมุนของโลก แม่ของท่านก็เข้าสู่วัยชราตามอายุขัย และมีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียนจนกระทั่งป่วยเรื้อรังตลอดมา ครั้นกลุ่มเมฆดำเคลื่อนคล้อยไปแล้ว ดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงสีทองอร่ามจับฟ้า วันนั้นแหละ หลวงปู่ศุขเดินทางกลับมาบ้านในลักษณะของพระภิกษุ ครองจีวรสีทองสุกใสด้วยศีลและจริยาวัตรอันงดงามเกินคาด และอย่างยากที่จะมีใครคิด ทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูราวกับเป็นความฝันอันบรรเจิด โยมแม่ขยับตัว ขยี้ตาดูให้แน่ชัด สักครู่ก็รู้สำนึกว่าไม่ใช่ฝันแต่เป็นความจริงทุกประการ ท่านนึกภาพออกหรือไม่ว่า สองชีวิตที่กำลังเผชิญหน้ายืนจังงังอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพที่ตรึงตราตรึงใจเพียงไร พระภิกษุที่ยืนเคร่งอยู่เบื้องหน้า มีผิวพรรณที่ผ่องแผ้วด้วยแสงธรรมจับ โยมแม่นั้นเล่าก็ยิ้มชื่น สีหน้าอิ่มเอิบเพราะความปราโมทย์สราญใจ การกลับมาของหลวงปู่ศุขในครั้งนี้ เป็นที่ทราบกันว่า ท่านไม่ยอมไปจำพรรษา ณ วัดอื่นใดให้ไกลิบ แต่ท่านสมัครใจจำวัดอยู่ในวิหารเก่าแก่ค่อนข้างทรุดโทรมของวัดปากคลองมะขามเฒ่า ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่น่าเสียดาย ประวัติแห่งการประพฤติปฏิบัติกรรมฐานของหลวงปู่ศุข ไม่มีศิษย์ท่านใดสืบสายต่อตาม จึงเป็นเหตุให้ขาดการบันทึกหรือขาดการจดจำจากคำบอกเล่าของท่านเสีย นอกเสียจากวิชาพุทธาคมที่หลวงปู่สอนสั่งมาเท่านั้น ยังเป็นที่กำนดจดจำของคณะศิษย์และท่านที่เคารพบูชาท่าน ฉะนั้น ทางด้านอิทธิปาฏิหาริย์อันเกิดจากอำนาจจิต และอำนาจแรงอธิษฐานของหลวงปู่ศุข ย่อมหนีพื้นฐานของการปฏิบัติกรรมฐานไปไม่ได้เลย อนึ่ง ข้อวัตรปฏิบัติธรรมอันเป็นนัยนโยบายทางจิต เป็นเครื่องดำเนินให้พบกับความวิเศษอัศจรรย์ตามคำเล่าลือมาแต่อดีตกาล จำต้องขาดตกหายสิ้นไปอย่างน่าเสียดายยิ่งนัก แสวงหาผู้ทรงคุณ จากการที่หลวงปู่ศุขเป็นพระผู้ทรงอภิญญา จนสามารถแสดฤทธิ์ปาฏิหาริย์อำนาจต่าง ๆ ได้อย่างมากมายนั้น มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับศิษย์เอกของท่าน คือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์มากมาย มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ก่อนที่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จะทรงเลื่อมใสในฤทธิ์อภิญญา คราวหนึ่ง พระองค์เจ้าวิบูลย์พรรณ ได้ถวายพระเครื่ององค์หนึ่งแก่ท่านโดยอ้างว่า เป็นพระเครื่องที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นยอด ตกทอดมาแต่ครั้งวังหน้า เนื่องจากพระองค์ชอบทดลอง ชอบพิสูจน์ในสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นที่ประจักษ์เท็จและจริง เมื่อรับพระเครื่ององค์นั้นมาจากพระองค์เจ้าวิบูลย์พรรณแล้ว ท่านก็ให้มหาดเล็กนำพระเครื่ององค์นั้นไปผูกไว้ที่ปลายกิ่งไม้ แล้วบัญชาให้นาวาเอกพระยานาวาพลพยุหรักษ์ เป็นผู้ทดลองถึงความแน่ไม่แน่แค่ไหน การทดลองครั้งนี้ใช้ปืน ร.ศ. บรรจุด้วยกระสุนที่คัดเลือกแล้วเป็นอย่างดี นาวาเอกพระยานาวาพลพยุหรักษ์ยิงปืน ร.ศ.ไปยังพระเครื่องนั้นต่อหน้าบุคคลมากหน้าหลายตา เป็นจำนวนกระสุนที่ยิงออกไป 3 นัด การณ์ปรากฎให้คนหมู่มากเห็นว่า ปืน ร.ศ.กระบอกนั้นคงมีแต่เสียงดัง แชะ แชะ แชะ แปลว่ายิงไม่ออก ความสงสัยได้ผุดขึ้นมาทันทีว่า กระสุนคงจะด้าน ก็เลยมีบัญชาให้หันลำกล้องปืนไปทางอื่นและยิงใหม่ทันทีอีก 3 นัด ก็เป็นที่ปรากฎว่ายิงออกทั้งสามนัด หาได้เป็นเพราะกระสุนด้านไม่ แต่เท่าที่ยิงไม่ออกเนื่องจากพระเครื่ององค์นั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง แสดงพุทธานุภาพให้ประจักษ์แก่ตา สร้างความเลื่อมใส ความมหัศจรรย์แก่ชนทั้งปวง นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์จึงมีความเชื่อถือในฤทธิ์อภิญญา เลื่อมใสในพุทธานุภาพเป็นที่ยิ่ง จากนั้นมา พระองค์เจ้าวิบูลย์พรรณได้เข้ารับราชการอยู่ในกองทัพเรือ โดยการชักชวนของเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ นับจากวันทดลองปืน ร.ศ. กับพระเครื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ผ่านไป เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯก็พยายามแสวงหาพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษ เพื่อจะได้ศึกษาวิชาการอยู่เสมอ ครั้นต่อมา กิตติศัพท์ของหลวงปู่ศุขก็รู้สึกจะเป็นที่สนพระทัย ความคิดที่ใคร่จะได้ทดลองดูให้เป็นที่ประจัษ์แก่ตา เผื่อว่าอย่างไร หากมีโอกาสก็จะได้ฝากพระองค์เป็นลูกศิษย์ลูกหา เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เมื่อครั้งที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เสด็จไปตากอากาศทางภาคเหนือ ตอนเสด็จกลับ พระองค์ท่านทรงเสด็จทางเรือล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้เรือกลไฟลำหนึ่งเป็นเรือลากจูงเรือประเทียบ เมื่อเรือผ่านมาทางจังหวัดชัยนาท แทนที่ขบวนเรือจะแล่นลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงกรุงเทพฯ พระองค์กลับได้สั่งให้เรือกลไฟลากจูงเรือประเทียบ ล่องลงมาตามแม่น้ำท่าจีน (แม่น้ำท่าจีนนี้เป็นแม่น้ำที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาท แล้วไหลลงสู่อ่าวไทยที่จังหวัดสมุทรสาคร เป็นแม่น้ำที่มีความยาวถึง 200 กิโลเมตร) เมื่อขบวนเรือล่องมาเกือบจะถึงบริเวณหน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ความอัศจรรย์ก็ปรากฎให้รู้ชัด คือเครื่องเรือเกิดขัดข้อง ทำให้แล่นต่อไปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ได้แก้ไขกันอย่างสุดฝีมือแล้ว เอาแล้ว หลวงปู่ศุข ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ทักทาย โดยการบันดาลให้เครื่องยนต์ดับ คณะที่เป็นทหารเรือ ได้ช่วยกันชลอเรือมาเทียบที่หน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อรอการแก้ไขเครื่องยนต์ ขณะที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงมองผ่านไปบนศาลาท่าน้ำ ก็ได้เห็นเด็ก ๆ หลายคนกำลังวิ่งชุลมุนไปตัดหัวปลีมากองไว้ที่ข้าง ๆ ศาลา ครู่เดียวเท่านั้น เด็ก ๆ ได้นำหัวปลีมาสุมรวมไว้เป็นกองโต เมื่อกองไว้เรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งจับกลุ่มมองดูที่กองหัวปลีนั้น อย่างจิตใจจดจ่อ เหมือนดังกับจะได้พบความสนุกตื่นเต้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และพวกนายทหาร ตลอดถึงทหารเรือที่ร่วมขบวนมาด้วย ต่างก็มองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า อะไรหนอจะเกิดขึ้นเหมือนกัน สักครู่หนึ่ง พระองค์ท่านและคณะก็ได้เห็นพระภิกษุสงฆ์ผู้ชรา รูปร่างของท่านค่อนข้างผอมเล็กน้อย ตามลักษณะของท่านผู้มีอายุ แต่แท้จริงแล้ว พระภิกษุผู้ชรารูปนี้ท่านเป็นคนสูงโปร่ง กระดูกใหญ่ ท่าทางแข็งแรง ผิวดำแดง ออกจะคล้ำไปด้วยลายสักบนผิวหนังและต้นแขน พระภิกษุชราเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ กองหัวปลีที่เด็ก ๆ นำมากองสุมไว้ พระภิกษุชรารูปนั้น แท้จริงท่านก็คือหลวงปู่ศุข หรือท่านพระครูวิมลคุณากรนั่นเอง เมื่อพระภิกษุผู้ชรานั่งลงกับพื้นเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ทำจิตใจของท่านเป็นปกติ ทั้ง ๆ ที่รู้การมาของเจ้านายชั้นสูง ซึ่งพระองค์กำลังเพ่งมองดูพระภิกษุชราด้วยใจจดจ่ออย่างยิ่ง พระภิกษุชราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ค่อย ๆ หยิบปลีกล้วยขึ้นมาพร้อมทั้งบริกรรมภาวนาเพ่งจิตอันแน่วแน่เป็นสมาธิ กำหนดจิตด้วยอิทธิฤธิ์ทางใจ อธิษฐานลงสู่หัวปลีที่ถืออยู่นั้น แล้วทำพิธีคล้ายกับว่าเสกคาถาอาคมอะไรลงไปกำกับอีกครั้ง จากนั้นค่อย ๆ ลูบ ๆ หัวปลีในอุ้งมือ ก่อนที่จะค่อย ๆ ปล่อยลงไปยังพื้นดิน หัวปลีที่หลวงปู่ศุขค่อย ๆ วางลงสู่พื้นนั้น ก็ปรากฎแก่สายตาของทุก ๆ คน ว่า บัดนี้หัวปลีกล้วยมิใช่อยู่ในสภาพเก่าเสียแล้ว หัวปลีนั้นกลับกลายสภาพเป็นกระต่ายสีขาวที่มีชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง กระต่ายสีขาวที่สำเร็จขึ้นจากอิทธิฤทธิ์ทางใจของหลวงปู่ศุข มันเที่ยวกระโดดโลดเต้นไปมาในลานบริเวณศาลาท่าน้ำนั้น กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ภายในบริเวณนั้น ต่างก็เกิดความตื่นเต้นไปตาม ๆ กัน พระภิกษุผู้ชราภาพนั้นท่านไม่สนใจกับสายตาของผู้ใดที่มองมายังท่าน ท่านหยิบหัวปลีเป่าทีละหัว ๆ จนหัวปลีทั้งกองกลับกลายเป็นกระต่ายสีขาวไปหมดทั้งกอง บัดนี้ กระต่ายที่สำเร็จมาจากอำนาจจิตและอาศัยหัวปลีเป็นองค์ประกอบ กำลังเที่ยววิ่งเล่นอยู่เป็นที่สนุกสนาน มันกระโดดสวนกันไปสวนกันมาเต็มบริเวณศาลาท่าน้ำนั้นเลยทีเดียว หลวงปู่ศุข ท่านปล่อยให้กระต่ายหัวปลีเหล่านั้นกระโดดโลดเต้นสนุกสนานไปพักหนึ่ง จากนั้นท่านจึงเรียกเข้ามาหาท่านทีละตัว กระต่ายสีขาว ๆ นั้นเดินเข้ามายังที่ท่านนั่งอยู่คล้ายกับรู้ภาษา หลวงปู่ศุขจับมาอุ้มไว้ เอามือลูบ ๆ ตัวกระต่ายสีขาวตัวนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หลวงปู่ศุขก็ค่อย ๆ ปล่อยมือวางเจ้ากระต่ายตัวนั้นลง น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อท่านวางกระต่ายสีขาวลงถึงพื้น พลันกระต่ายสีขาวที่มีชีวิตก็กลับกลายเป็นหัวปลีดังเดิม หลวงปู่ศุข ท่านเรียกกระต่ายสีขาวที่กระโดดโลดเต้นอยู่บนลานศาลาท่าน้ำมาจนหมด แล้วเสกด้วยพระอำนาจพระคาถาและอำนาจพลังจิตคลายฤทธิ์ให้กระต่ายกลับสภาพดังเดิมเป็นหัวปลีจนหมดสิ้น กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ตลอดถึงนายทหารและพลทหาร ได้เห็นสิ่งอันล้ำเลิศ สร้างความประหลาดอัศจรรย์แก่สายตาของพวกเขา ซึ่งอาจเรียกได้ว่า ทั้งชาตินี้เขาเพิ่งมาพบความอัศจรรย์ก็ในองค์หลวงพ่อแก่ ๆ องค์นี้เท่านั้น ความศรัทธาอันแก่กล้ามั่นคงของเจ้าฟ้าพระองค์นี้ เป็นที่ประจักษ์แก่เราชาวพุทธในกาลต่อมา ต่อมา หลวงปู่ศุขได้สั่งลูกศิษย์ไปเชิญบุคคลสำคัญในเรือหลวงลำนั้น พร้อมกับได้กำชับไว้ว่า “ขอให้รู้ไว้ว่า บุคคลที่อยู่ในเรือนั้น คือกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ควรมีการกล่าวนอบน้อมถ่อมตน รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ รู้จักประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ ควรกาลแค่ไหน” เมื่อหลวงปู่ศุข ท่านได้กำชับไปแล้ว ท่านก็นั่งรอในที่อันสมควรเพื่อรอรับเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ความยินดีเป็นที่ยิ่ง ปกติพระองค์เองก็ทรงศรัทธาเลื่อมใสในคุณธรรมของหลวงปู่ศุขเต็มจิตใจอยู่แล้ว เมื่อมาได้สนทนากันบนกุฏิเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธามากขึ้นไปอีก กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องหัวปลีกลายเป็นกระต่ายไปได้ พระองค์จึงทรงสอบถามหลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ขอให้บอกความลับนี้แก่พระองค์ด้วย พระองค์ทรงใช้เวลาพูดคุยกันเป็นเวลานานพอสมควรเลยทีเดียว ในประวัติของหลวงปู่ศุขได้กล่าวไว้ว่า ภายหลังได้พูดคุยกัน ซึ่งกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ทรงกระทำตนเป็นญาติโยมธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น พระองค์มิได้กล่าวหรือแสดงตนว่าเป็นใครมาจากไหน เพียงมองดูแล้วก็เป็นกลุ่มข้าราชการธรรมดา ๆ นั้นเอง หลวงปู่ศุขได้กล่าวอนุญาตให้คณะของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์จอดเรือที่หน้าวัดได้ จนกว่าจะซ่อมเครื่องยนต์กลไกเสร็จ หลวงปู่ศุข พระผู้ทรงอภิญญาญาณท่านสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ก็เพราะหลวงปู่ท่านอาศัยปัญญาอธิษฐานให้เกิดเป็น “ฤทธิ์” หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่ง “อิทธิวิธีญาณ” เป็นไปในอารมณ์ 7 ผู้เขียนมีความเชื่ออยู่ว่า หลวงปู่ศุขท่านจะต้องใช้วิธีนี้ ส่วนการที่จะทำปากคล้ายเสกคาถาไปมานั้น เป็นวิธีให้เกิดชวนเชื่อหรือเพื่อความมั่นใจแก่ผู้พบเห็น อนึ่ง พระคาถานั้น อย่างน้อยก็ทำให้จิตของผู้ศึกษาสงบลงได้เหมือนกัน แม้ในประวัติของหลวงปู่ศุขท่านมิได้กล่าวไว้ แต่ความเข้าใจของผู้เขียน หลวงปู่ศุขจะต้องมีการอาศัยจิตดังต่อไปนี้อย่างแน่นอน คือ ในช่วงนั้น หลวงปู่ศุขท่านจักต้องทำให้เกิดอารมณ์ขณะน้อมกายและจิตไปตามอำนาจแห่งสมาธิอันแก่กล้า แม้ในช่วงนี้ผู้ปฏิบัติถึงอย่างหลวงปู่ศุขท่าน ถ้าจะประสงค์ให้นิมิตตนเป็นไปอย่างไร ก็จักเป็นไปตามอำนาจจิตปรารถนานั้น ๆ แต่ถ้าจะแสดงให้เกิดรูปต่าง ๆ อย่างเช่น กระต่าย กุ้ง ปลา นก ช้าง ม้า อันเป็นสิ่งภายนอกกายของตน ก็จะเป็นไปตามอารมณ์จิตอธิษฐานนั้น ๆ ได้อย่างฉับพลันทันใด พระผู้ทรงอภิญญาญาณเช่นหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่านั้น ท่านจักต้องเข้าใจในเรื่องอารมณ์ 7 ได้เป็นอย่างดี เพราะการที่จะแสดงฤทธิ์ได้ก็ด้วยอาศัยอารมณ์ตามคำบาลีนี้ คือ 1. ปริตตารมณ์ อารมณ์เล็กน้อย 2. มหัคคตารมณ์ อารมณ์ใหญ่ 3. อตีตารมณ์ อารมณ์อดีต 4. อนาคตารมณ์ อารมณ์อนาคต 5. ปัจจุบันนารมณ์ อารมณ์ปัจจุบัน 6. อัชฌัตตารมณ์ อารมณ์ภายใน 7. พหิทธารมณ์ อารมณ์ภายนอก อารมณ์ทั้ง 7 นี้ ผู้ทรงอภิญญาญาณ มีจิตแก่กล้ามั่นคงดีแล้ว ท่านจะใช้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็ได้ ในการอธิษฐานฤทธิ์ซึ่งจะไม่พ้นอารมณ์เหล่านี้ หรือไม่อารมณ์ใดก็อารมณ์หนึ่ง เสกคนให้เป็นจระเข้ ในทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่หลวงปู่ศุข พระผู้ทรงอภิญญารูปนี้ท่านกำหนดด้วยฤทธิ์อย่างคล่องแคล่วว่องไว ความเป็นผู้ชำนาญในการแสดงฤทธิ์นี้ นอกจากจะอธิษฐานจิตให้หัวปลีกลายเป็นกระต่าย อธิษฐานจิตให้ข้าวสารกลายเป็นกุ้งแล้ว หลวงปู่ศุขท่านยังอธิษฐานจิตที่คงด้วยฤทธิ์ ให้คนเป็นจระเข้ได้อีกด้วย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ทรงทราบความจริงจากปากคำของหลวงปู่ศุขทำให้เกิดความตื่นเต้นใคร่ที่จะได้ชม ก่อนเอ่ยปากออกไป หลวงปู่ศุขท่านก็ได้กล่าวดักคอขึ้นก่อน ซึ่งได้บันทึกไว้ตามประวัติดังนี้ว่า “ท่านทั้งหลายอยากจะให้อาตมาแสดงให้ชม หรือท่านมีความปรารถนาที่จะได้ชมดูหรือไม่” กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์และนายทหารที่ร่วมขบวนในครั้งนั้น ต่างก็รับปากกับหลวงปู่ศุขเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากจะเห็นเพื่อประจักษ์แก่สายตาตนเอง” หลวงปู่วัดมะขามเฒ่า ท่านกล่าวขึ้นช้า ๆ ว่า “เมื่อท่านปรารถนาจะได้ชม โดยการกำหนดจิตให้คนเป็นจระเข้ อาตมาก็จะแสดงให้ท่านทั้งหลายชม ขอให้ท่านจงจัดคนของท่านมาให้อาตมาสักคนหนึ่ง เอาคนที่ล่ำสันแข็งแรงหน่อย เพื่ออาตมาจะได้แสดงให้คนกลายเป็นจระเข้ให้พวกท่านทั้งหลายชมเป็นขวัญตา” กลุ่มนายทหารทั้งปวงตั้งใจฟังเสียงของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าอย่างใจจดใจจ่อ เพราะมีความสนใจยิ่งนัก กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์จึงทรงคัดเลือกทหารที่ร่วมขบวน อาสาที่จะสมัครเป็นจระเข้ โดยความยินดีที่จะให้หลวงปู่ศุขทำพิธีทำให้คนกลายเป็นจระเข้ ให้ทุกคนได้ประจักษ์ เมื่อนำทหารเรือผู้นั้นมาให้หลวงปู่ศุขพิจารณาตรงหน้า หลวงปู่ศุขก็ได้ถามขึ้นว่า “เจ้าจะยอมให้อธิษฐานจิตเกิดอิทธิฤทธิ์ให้กลายร่างเป็นจระเข้ เพื่อให้เจ้านายทุกท่านทั้งหลายในนี้ได้ชมยังงั้น ใช่หรือไม่” พลทหารเรือคนนั้นตอบถวายว่า “ข้าน้อยขอถวายตนเต็มใจที่จะเป็นจระเข้” หลังจากหลวงปู่ศุขได้ฟังคำจากพลทหารอย่างมั่นใจแล้ว หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่าได้สั่งให้นำเชือกมะนิลาเส้นขนาดเขื่องไม่ขาดง่าย ๆ มีความยาวพอสมควร จากนั้น หลวงปู่ศุขได้สั่งให้ผูกมัดที่เอวของพลทหารคนนั้นอย่างแน่นหนาแข็งแรง เพราะเมื่อความจริงปรากฎคือ คนได้กลายเป็นจระเข้ แม้เกิดอาการดิ้นรนอย่างรุนแรงตามวิสัยสัตว์ เชือกมะนิลานั้นก็สามารถคงทนไม่ขาดหรือไม่หลุดออกง่าย ๆ แล้วคณะทั้งหมดได้ยกขบวนเดินไปที่สระน้ำภายในวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งสระนี้อยู่ทางทิศเหนือบริเวณวัด ก่อนเป็นสระน้ำนี้ ทางวัดได้ก่อสร้างพระอุโบสถ ก่อนสร้างได้ขุดดินนำมาถมที่บริเวณสถานที่สร้างพระอุโบสถ จึงปรากฎว่าเป็นสระน้ำที่ใหญ่และลึกพอประมาณ ขณะนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ศุขได้สั่งให้พลทหารคนนั้นนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ สระน้ำ พร้อมกับหลับตาพนมมือนิ่งอยู่ หลวงปู่ได้เข้าที่ทำพิธี โดยมือข้างหนึ่งท่านจับปลายเชือกไว้ จากนั้น หลวงปู่ได้กำหนดจิตหลับตานิ่งสู่ภูมิแห่งสมาธิ ทำจิตเป็นกลางวางอารมณ์เป็นหนึ่งจากนั้นหลวงปู่ศุขท่านได้อธิษฐานจิตให้เกิดฤทธิ์ทางใจ จิตที่ได้ฝึกฝนอบรมดีแล้วก็เกิดปรากฎการณ์อัศจรรย์ขึ้น ขณะที่หลวงปู่เพ่งจิตไปยังทหารหนุ่ม ผู้กล้าสละตนด้วยจิตใจอันแน่วแน่และศรัทธา มืออีกข้างหนึ่งของหลวงปู่ศุขที่ไม่ได้จับปลายเชือกยื่นออกไปข้างหน้า ในท่ากึ่งตบกึ่งผลักยังกลางหลังของพลทหารผู้นั้น ด้วยอำนาจจิตอันแก่กล้า กับกำลังที่ผลักออกไป พลทหารผู้นั้นตกลงไปในสระน้ำนั้นดังตูม......น้ำกระจาย ฉับพลัน สิ่งอัศจรรย์ซึ่งยากหนักหนาที่จะได้พบเห็นกันบ่อย ๆ ได้ปรากฎแก่สายตาที่เพ่งมองอยู่ทุกคู่ เพราะในบ่อน้ำใหญ่หรือสระน้ำนั้นก็ปรากฎจระเข้ตัวใหญ่กำลังฟาดหัวฟากหางดำผุดดำว่ายอยู่ในสระอย่างคึกคะนอง อวดเขี้ยวอันแหลมคมไปมา ทุกคนในที่นั้น เช่น กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และนายทหารในที่นั้นทุกคน ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดในคุณวิเศษจากอภิญญาญาณของหลวงปู่ศุข ภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นนับเป็นภาพที่ทุกคนไม่อาจลืมเลือน หลวงปู่ศุขท่านปล่อยให้จระเข้ตัวใหญ่นั้นแหวกว่าย แสดงกิริยาขัดขืนขณะที่ถูกผูกไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่ จนที่สุดได้เวลาอันสมควรแล้ว หลวงปู่ศุขจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านจะมีความปรารถนาให้จระเข้นั้นกลับเป็นคนดังเดิม หรือจะให้เป็นจระเข้อยู่ตลอดไป” กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงตอบแก่หลวงปู่ศุขไปว่า “พระอาจารย์ที่เคารพ ฉันมีความปรารถนาจะให้จระเข้นั้นกลายร่างเป็นคนดังเดิม มิได้ปรารถนาจะให้เป็นจระเข้ไปตลอดดอก เพียงเพื่อให้ชมความอัศจรรย์อันเกิดจากอิทธิปาฏิหาริย์จากพระอาจารย์แล้ว ก็นับว่าเป็นบุญตาบุญใจยิ่งนัก” หลวงปู่ศุข ทราบดังนั้น ก็ได้ส่งเชือกไว้โดยกำชับว่า “จงพยายามจับเชือกดึงเอาไว้ รักษาปลายเชือกไว้ให้จงดี อย่าได้ปล่อยไปเป็นอันขาด มิฉะนั้น จระเข้จะดำน้ำลงไปกบดานเสียที่ก้นสระ เมื่อนั้นจะเป็นการยุ่งยากแก่การกระทำให้กลายเป็นคนดังเดิมได้” หลวงปู่ศุขกล่าวจบก็ได้ส่งปลายเชือกให้กลุ่มบุรุษที่แข็งแรงเหล่านั้น หลายคนเมื่อได้รับปลายเชือกแล้ว ก็ต้องคอยดึงคอยรั้งเอาไว้อย่างวุ่นวายเลยทีดียว น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ขณะหลวงปู่ศุขท่านจับปลายเชือกไว้นั้น จระเข้ตัวใหญ่แม้จะดิ้นรนฟาดหัวฟาดหางอย่างไร ก็ไม่เป็นที่รบกวนด้วยการเหนี่ยวรั้งของหลวงปู่เลย ท่านจับไว้เฉย ๆ มือเดียวแท้ ๆ แต่ที่รู้กันแน่ ๆ นั้น เป็นที่แน่นอน หลวงปู่ศุขท่านจะต้องกำหนดพลังจิตส่งไปทางเส้นเชือกให้เกิดพลังอำนาจอย่างมหาศาล คอยบังคับหรือกำกับอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แม้จระเข้จะดิ้นรนก็ไม่สามารถหลุดขาดจากบ่วงเชือกได้ ครั้นมื่อหลวงปู่ศุขท่านปล่อยปลายเชือกส่งให้ทหารที่แข็งแรงหลายคน ก็เล่นเอาคนถือเชือกเหงื่อโทรมกายไปเลยที่เดียว เพราะจระเข้ตัวนั้นเที่ยวดำผุดดำว่าย ฟาดหางโผงผางไปมา บางคราวทำท่าจะดำลงไปกบดานอยู่ก้นสระตามวิสัยสัตว์ หรือธรรมชาติของจระเข้ หลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเดินตรงไปยังกุฏิของท่าน แล้วตักน้ำใส่ลงไปในบาตรจนเต็ม จากนั้น ท่านได้เข้าที่นั่งสมาธิ ภาวนาเพ่งจิตอันแก่กล้ามั่นคง วางลงไปในน้ำที่เต็มบาตร แล้วอธิษฐานจิตด้วยอำนาจอย่างมากมาย เสร็จสิ้นพิธีกรรมแล้ว หลวงปู่ศุขท่านจึงเดินลงกุฏิมายังสระน้ำ ในมือของท่านประคองบาตรน้ำพระพุทธมนต์มาด้วย จากนั้นหลวงปู่ได้บอกแก่คนที่รั้งตัวจระเข้นั้นให้ดึงเชือกให้ตึง ๆ เพื่อจะได้ให้จระเข้ลอยตัวขึ้นมาเต็มตัว นาทีอันระทึกมาถึงอีกครั้ง คือ หลวงปู่ศุขท่านค่อย ๆ เทน้ำมนต์ลงไปตั้งแต่หัวจระเข้ไปถึงหาง จนหมดบาตร ด้วยตบะธรรมอันแก่กล้าที่หลวงปู่ศุขท่านได้บำเพ็ญฝึกอบรมมา นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ได้พบ คณะทหารอันมีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และนายทหารเรือสำคัญ ๆ ตลอดถึงคณะผู้น้อยร่วมขบวนมา ต้องตื่นเต้นระทึกใจอีกครั้ง ด้วยขณะนี้สายตาทุกคู่ต่างเบิกโพลง มองดูด้วยอาการไม่กระพริบ เพราะเบื้องหน้าภายในสระน้ำปรากฎว่า ร่างของจระเข้ที่มีเชือกผูกอยู่ บัดนี้ได้กลับกลายเป็นร่างของพลทหารคนเดิมซึ่งกำลังสาวเชือกขึ้นมาจากสระน้ำ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ทรงศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่ศุขเป็นอันมา ถึงกับเข้ากราบนมัสการขอฝากตัวเป็นศิษย์ ของหลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ตั้งแต่นั้นเลยทีเดียว ความจริงแล้ว เรื่องการอธิษฐานฤทธิ์นี้ ครูบาอาจารย์หลายองค์จะใช้วิธียกธาตุขึ้นมาพิจารณา หรือยกธาตุมาบริกรรม จนกระทั่งจิตของผู้เพ่งเพียรเป็นสมาธิแล้ว จากนั้นจึงอธิษฐานตามความปรารถนาของตน แต่บางอาจารย์ท่านจะมีคำสั่งที่ไม่ซ้ำแบบกัน ศิษย์ทุกคนจึงต้องถือเคร่งครัดในเรื่องคำสั่ง โดยเฉพาะอาจารย์ให้ยกธาตุดินเพียงอย่างเดียว เมื่อนำมาบริกรรมจนเกิดสมาธิแล้ว ท่านก็ให้อธิษฐานฤทธิ์ให้หายตัว บุคคลผู้นั้นก็จะกำบังตัวหายไป ส่วนอีกอาจารย์หนึ่งให้ยกธาตุดินมาเพ่งเพีย�
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น