ธรรมะเปิดโลก วันที่ 27 เมษายน 2558
ตอนที่ 10 **เห็นกงจักรเป็นดอกบัว**
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา กับพวกเราทั้งหลาย ดังนี้
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. คนที่เกิดมาอยู่บนโลกมนุษย์นั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะลุ่มหลง
หลง อยู่กับโลก
หลง อยู่กับร่างกาย
หลง อยู่กับสรรพสิ่งที่มีอยู่
จนลืมคิด ลืมนึก ลืมเห็นความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เราต้องระลึกรู้อยู่เสมอ คือ อะไร…
เปรียบเสมือนบุคคลที่เห็น *กงจักรเป็นดอกบัว* จึงเห็นแต่ความสวยงามอันจอมปลอม ที่หลอกตัวหลอกตนอยู่เสมอ วิ่งแสวงหาจนวันเวลาหมดไป วันแล้ววันเล่า วิ่งไปวันๆ จนหมดเวลาของตน
ท้ายที่สุด ตนไม่มีสิ่งใด นำไปด้วยเลย
พระยาธรรมเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว เวลาที่มีอยู่นั้น ช่างสั้นนัก ไม่ยาวนานเลย..ลูกเอ๋ย
พอเราเผลอไปแป๊บนึง ก็แก่เสียแล้ว จะหมดเวลาเสียแล้ว
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคล ผู้ที่ลุ่มหลงอยู่กับทางโลก เกิดมาครั้งหนึ่ง เขาก็จะนำอะไรไปด้วยไม่ได้เลย เพราะเขาหลงอยู่กับสิ่งทดสอบ หลงอยู่กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ยึดติดในนั้น จนหมดเวลา
บุคคลเช่นนั้น เป็นบุคคลที่น่าสงสารยิ่งนัก เหมือนคนๆหนึ่งที่จะไปในที่แห่งหนึ่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตน
แต่กลับไปลุ่มหลงในที่แห่งนั้น และในที่สุดก็เอาอะไรกลับมาไม่ได้เลย
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลบางกลุ่ม ยังน่าสงสารยิ่งกว่านั้นอีก ไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เพื่อสร้างความดี สร้างประโยชน์ให้แก่ตนเอง
ท้ายที่สุด ลุ่มหลงในสิ่งต่างๆที่อยู่ที่นั่น ในสิ่งต่างๆที่ทดสอบตน
คิดว่าเป็นตัวตน เป็นของตน จึงดิ้นรน ขวนขวาย จนยอมละเมิดศีล สร้างกรรม เบียดเบียนต่อผู้อื่น
เมื่อครั้งกลับมา ยังต้องตกไปสู่จุดที่ต่ำ ชดใช้กรรม ติดหนี้กลับมาอีกต่างหาก
พระยาธรรมเอ๋ย.. คนในแบบนั้น เขาเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
เห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เป็นจริง
เห็นสิ่งที่จริงนั้น เป็นไม่จริง
คือ เขาหลงอยู่กับโลก ยึดติดอยู่กับโลก กับร่างกายที่มี กับตัวตนที่มี สิ่งสมมุติทั้งหลายนั้น
เขาลืมนึกไปว่า มีเวลาตั้งขึ้นอยู่ และดับไป เขาเปรียบเสมือนบุคคลผู้หนึ่ง ที่ไปในที่นั่น เพื่อแสวงหา ประโยชน์ให้แก่ตนโดยการประพฤติดี ปฏิบัติดี แต่ไม่ใช่ไปยึดติด หรือหาเงินให้ได้มากที่สุด มีคนรักตนมากที่สุด รวยมากที่สุด มีชื่อเสียงมากที่สุด
ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ตนต้องไป เพื่อทดสอบ
ความลุ่มหลงในร่างกาย
ลุ่มหลงในสิ่งของข้าวของ
ลุ่มหลงในโลก
เพื่อทดสอบว่าตนจะเป็นคนดีได้หรือเปล่า จะลุ่มหลงยึดติดอยู่กับโลกได้หรือเปล่า
ทดสอบระหว่างความหลง หลงในโลก สร้างกรรมชั่ว หรือจะทำดี และอยู่ในฝ่ายดี
-- เมื่อครั้งกลับมา จะได้สิ่งที่เกิดประโยชน์มากับตน --
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่ลุ่มหลงนั้น เขาจะเสียเวลาไปทั้งหมดที่เขามี
บุคคลผู้ใดที่สามารถระลึกรู้อยู่เสมอว่า
** คนเราเกิดมาต้องตายเป็นแน่แท้
** เกิดมาแล้ว เพื่อทำหน้าที่แห่งตน
** ความดี ความชั่วเท่านั้น ที่จะติดตัวไปได้
** ระลึกนึกถึงความตายอยู่เสมอ
บุคคลผู้นั้น เขาจึงจะเป็นผู้ที่ไม่หลง ไม่ยึดติด ไม่ไหลไปกับโลก เขาจะไม่สร้างกรรมเพื่อสิ่งใด
เวลาของเขา เขาจะนำมาเพื่อสร้างประโยชน์ สร้างสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่เขาอย่างแท้จริง
เมื่อครั้งเวลาหมดไป ดับไป เขาจะได้กำไรกลับมา คือ ความดีที่มาค้ำหนุนจิตของเขาให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
จนกว่า จะสั่งสมบุญบารมี.. จนถึงรอบที่จะหลุดพ้นได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่อยู่บนโลกนั้น มีหลายรูปแบบ แต่เราสามารถ เลือกได้ว่าเรา จะเป็นแบบไหน
จงสงสารตน รู้จักคุณค่าของกาลเวลา
แล้วหาสิ่งที่เป็นความสุขอย่างแท้จริง ให้แก่จิตของตนบ้าง
แสวงหาทรัพย์ภายใน คือ บุญบารมี คุณงามความดีให้แก่ตนบ้าง
อย่ามัวแต่แสวงหาแต่สิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง
อย่ามัวแต่แสวงหาสิ่งที่มันหลอกเรา ให้เราเสียเวลาเลย
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว การที่เราลุ่มหลง ยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ เห็นกงจักรว่าเป็นดอกบัวนั้น ทำให้เราดิ้นรนขวนขวาย ทุกวันทุกคืนตลอดเวลา เราจะเร่าร้อน เป็นทุกข์ และแสวงหามัน อยู่ตลอดเวลา เราสามารถ ทำทุกวิถีทาง ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อได้มันมาครอบครอง
ถ้าเราเอาความพยายามนั้น เอาสิ่งเหล่านั้น มาสร้างความดี ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์บ้าง สร้างสิ่งที่เป็นความสุขอย่างแท้จริง ให้แก่ตนบ้าง เราก็จะไม่เสียโอกาสเปล่า ไม่เสียชาติเกิด ไม่เสียดายเวลาที่ได้มาเกิดแล้วครั้งหนึ่ง
-- เพราะว่าเราได้สร้างสิ่งที่เป็นทรัพย์ภายในอย่างแท้จริง
-- เราได้สร้างสิ่งที่เรานำไปด้วยได้ อย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอ๋ย.. การลุ่มหลง ยึดติดในทางโลกนั้น ทำให้เรามีความพยายามมากมายที่จะทำทุกแบบ
แท้ที่จริงแล้ว การทำความดี ง่ายยิ่งกว่าการที่เราไปดิ้นรนขวนขวายเช่นนั้นอีก
ขอเพียงแค่ให้เรา มีแรงจูงใจ รู้ เข้าใจ ว่า...
- ทำไมถึงต้องรักษาศีล
- ทำไมถึงต้องทำความดี
ความพยายามในการสั่งสมความดี ความพยายามในการทำสิ่งที่ดีเหล่านั้น ย่อมก่อเกิดขึ้นแก่เรา
ทุกวินาทีของชีวิต เราจะทำแต่ความดี คือ คิดดี ประพฤติดี กระทำดี ปฏิบัติดี
สิ่งใดที่ดี เราจะทำทั้งหมด
สิ่งใดที่จะเป็นเหตุของทุกข์ และไม่ดีนั้น เราก็จะไม่ทำเลย **
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เราเห็นทรัพย์ภายในว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ตัวเรานั้น เราก็จะพยายามที่จะทำความดี กลัวว่าเวลาจะหมดไป แล้วเราจะได้ความดีน้อย ชีวิตของเราก็จะสร้างแต่สิ่งที่ดี
ลูกทั้งหลาย.. การที่เราจะสร้างความดี หรือระลึกรู้เช่นนั้น คือ เราต้องท่องเสมอว่า เกิดมาแล้วก็ตายไป ทุกคนมีเวลาไม่นานนัก อย่าลุ่มหลงอยู่กับสิ่งทั้งหลายเลย ตายไปเอาสิ่งใดไปไม่ได้หรอก
ท้ายที่สุดก็ต้องทิ้งทุกอย่างเอาไว้ // สิ่งที่เราจะนำไปได้ คือ ความดีเท่านั้น
ส่วนความชั่ว ถึงแม้จะนำไปด้วยได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเรา
มีแต่จะสร้างกรรม ทำให้เราต้องไปชดใช้อีก
> เราจึงไม่ปรารถนาที่จะมีความชั่วติดไปด้วย.. ทำความดีดีกว่า
เมื่อครั้งลุ่มหลงอยู่กับสิ่งใด..ก็ตาย ให้นึกถึงความตาย เป็นอารมณ์ นึกถึงความตาย เป็นที่หนึ่ง
-- เกิดมา ก็ต้องตาย
-- ทำไป ก็ต้องตาย
-- มี ไม่มี ก็ต้องตาย
นั่นคือ ความจริง ความจริงที่แท้จริงก็คือ โลกมนุษย์นี้ คือ ความฝัน
ความจริง คือ จิตนั้น จะไปอยู่ที่ไหน
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. หากเราท่องอยู่เช่นนี้บ่อยๆ ท่องอยู่เช่นนี้จนขึ้นใจ เราก็จะไม่หลงในสิ่งใด จนเกินความพอดี พอบ่อยเข้าๆ เราก็จะไม่สนใจอะไรอีกเลย นอกจากสร้างแต่ความดี
เพราะแท้ที่จริงแล้ว กงจักรเป็นดอกบัว อยู่ในโลกมนุษย์นี้
การเกิด ไม่ใช่ความสุขเลย.. ลูกเอ๋ย
การเกิด ไม่ใช่สิ่งที่ดีงามเลย..ลูกเอ๋ย
การเกิดมา และสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเหล่านั้น คือ กงจักรที่ทำให้เราลุ่มหลงว่า เป็นดอกบัว ต่างหาก
เราเกิดมา เพื่อทำหน้าที่ คือ ทำความดี เพราะว่าเรายังไม่สามารถเอาจิตแห่งตน ออกจากกองทุกข์ได้ต่างหาก จึงเป็นเหตุที่จำเป็นต้องเกิด เกิดมาตามกรรม เกิดมาตามธรรมชาติ
เกิดมาแล้ว ก็เป็นไปตามกรรม และเราก็ต้องทุกข์อยู่อย่างนั้น เป็นไปอย่างนั้น
แต่เราสามารถที่จะเลือกได้ว่า จะทำกรรมดี เพื่อสั่งสมบารมี เพื่อเราจะได้พ้นทุกข์ ในวันใดวันหนึ่ง
...นั่นคือ สิ่งที่เราเลือกได้เท่านั้น...
การเกิด ไม่ได้มีความสุขอะไรเลย …
แม้จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม การเกิดขึ้นมาแล้ว ย่อมเป็นทุกข์ทุกคน ไม่มีใคร ที่จะไม่ทุกข์เลย
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้น เมื่อเราเกิดมาแล้ว จงสร้างความดี เพื่อเติมเต็มในบารมี ในบุญที่เราสั่งสม
ยกจิตขึ้น เพื่อสักวันหนึ่ง เราจะได้เข้าถึงการดับการเกิด
การเกิดมานั้น เป็นเหตุของทุกข์.. ไม่มีใครที่จะไม่ทุกข์เลย
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้น เมื่อเราเกิดมาแล้ว จงสร้างความดี เพื่อเติมเต็มในบารมี ในบุญที่เราสั่งสม
ยกจิตขึ้น เพื่อสักวันหนึ่งเราจะได้เข้าถึงการดับการเกิด
การเกิดมานั้น เป็นเหตุของทุกข์ ไม่สร้างประโยชน์อะไรแก่เรา และไม่มีอะไรเลยที่ดี .. แท้ที่จริงแล้ว
เกิดมาเพื่อทุกข์
เกิดมาเพื่อดิ้นรน ขวนขวาย
เกิดมาเพื่อตาย แค่นั้นเอง...
ฉะนั้น..
จงอย่าปรารถนาในการเกิดเลย
จงอย่าให้การเกิด เกิดขึ้นกับเราอีกเลย
จงสั่งสมความดีเถิด
เพราะแท้ที่จริงแล้ว การเกิดนั้นเป็นทุกข์ มีแต่สิ่งจอมปลอม หลอกให้เราทุกข์อยู่ หลงอยู่ จมอยู่
กงจักรนั้น กลายเป็นดอกบัวสำหรับเรา
แต่แท้ที่จริงแล้ว ทุกข์ก็คือ ทุกข์ // สุขก็คือ สุข
ตราบใดก็ตามที่เรายังเกิดอยู่นั้น ก็ยังคงอยู่กับ ความทุกข์
ตราบใดก็ตามที่เราดับการเกิดได้แล้ว นั่นก็คือ ความสุข
ทุกคน หนีความจริงไปไม่พ้น
ทุกคน ต้องยอมรับความเป็นจริง
เหล็ก ก็คือ เหล็ก
เพชร ก็คือ เพชร
เป็นเช่นนั้นแหละลูกเอ๋ย จงปรับจิตแห่งตน ให้เห็น ให้รู้ เข้าใจ ตามความเป็นจริง
จงปรับตนให้เห็น ให้เข้าใจ ในสิ่งที่ซ่อนไว้อยู่
อย่าปล่อยให้เขาหลอกเราไปวันๆเลย
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. จงจำไว้เสมอว่า การเกิดนั้น เป็นทุกข์ ทุกข์อยู่กับการเกิด สิ่งที่อยู่บนโลกนี้ คือ สิ่งที่หลอกเราให้ลุ่มหลงอยู่ ทำให้เรา เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ทำให้เราเกิดความทุกข์ ทุกข์อย่างไม่รู้ความจริง ลุ่มหลงอยู่ เป็นเช่นนี้
แล้วยกจิตแห่งตน ออกจากสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น ที่หลอกลวงลูก
แล้วปั้น- ทำสิ่งที่ดี ให้แก่จิตของตน เพื่อจิตนั้นจะได้หลุดจากการหลอกลวงทั้งหลาย
แล้วจิตนั้นจะได้เป็นอิสระ จิตนั้นจะได้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหา สิ่งต่างๆทั้งหลายที่หลอกเรา จากโลกนี้ จากจักรวาล วัฏสงสารทั้งหมด
-- เพื่อจิตแห่งตน จะได้ไม่เป็นทุกข์ อีกต่อไป --
สาธุ
https://youtu.be/da9wc-mgByM
ที่มา https://sites.google.com/site/jantimema/thrrma-peid-lok/txn-thi-10-hen-kngcakr-pen-dxkbaw
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น