ขั้วแม่เหล็กโลก กลับทิศมากว่า 400 ครั้ง ในช่วง 330 ล้านปี โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 780,000 ปีที่ผ่านมา และพบการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง ด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อปี หากคงไว้ที่อัตราดังกล่าว ขั้วแม่เหล็กโลก จะอยู่ที่ไซบีเรีย ในอีก 50 ปี ด้านผู้เชี่ยวชาญกรมทรัพยากรธรณีไทย เผย ปรากฏการณ์ดังกล่าว ไม่ทำมนุษย์สูญพันธุ์
ทางด้าน ศ.นพ.เทพนม เมืองแมน ระบุว่า ภายในปี 2557 โลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลก แบบกลับเหนือ-ใต้ ซึ่งจะทำให้เกิดพายุหมุน แผ่นดินไหว อุณหภูมิโลกเปลี่ยนและไทยยังต้องเผชิญกับหิมะตกเชื่อกันว่า การกลับขั้วของแม่เหล็กโลกนั้น เกิดขึ้นเมื่อการไหลเวียนของนิกเกิลเหลว (liquid nickel) และเหล็กเหลว (liquid iron) ในแกนกลางชั้นนอกของโลก กระจัดกระจาย จากนั้น ก็จัดเรียงตัวใหม่ ในทิศทางตรงกันข้าม แต่ยังไม่มีใครทราบ ถึงสาเหตุของการกระจัดกระจายดังกล่าว
หลักฐานการกลับขั้ว พบได้ในสันเขากลางมหาสมุทร (mid-ocean ridges) ซึ่งแผ่นเปลือกโลกเทคโทนิค (tectonic plates) ได้แยกออกจากกัน และที่ก้นมหาสมุทร ก็เต็มไปด้วยแมกมา ซึ่งไหลซึมออกมาจากเปลือกโลกชั้นใน (mantle) อนุภาคแม่เหล็ก ในของเหลวร้อนดังกล่าว ได้พลิกทิศทางของสนามแม่เหล็กโลก ในเวลานั้น
ทั้งนี้ ขั้วแม่เหล็กโลกกับขั้วโลก (Geographic pole) นั้น เป็นคนละขั้ว และไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกัน จากข้อมูลของหน่วยงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งแคนาดา (Geological Survey of Canada) ระบุว่าในช่วง 330 ล้านปี ที่ผ่านมา มีการกลับขั้วของขั้วแม่เหล็กโลกมากกว่า400 ครั้ง โดยเฉลี่ย 700,000 ปี จะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่ช่วงเวลาระหว่างการกลับขั้ว ก็ไม่คงที่ บางครั้งเกิดห่างกันน้อยกว่า 100,000ปี และการคำนวณพบว่า ช่วงหลังการกลับขั้ว เกิดขึ้นทุกๆ 200,000 ปี แต่การกลับขั้วครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อ 780,000 ปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน นายวรวุฒิ ตันติวนิช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ข้อมูลว่าการเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็ก เป็นเรื่องปกติโดยพบมาหลายพันครั้งแล้วในอดีต แต่ขั้วแม่เหล็กโลก ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมานานพอสมควร โดยครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นประมาณ 2 ล้านปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นแล้ว และการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์แต่อย่างใด
"นักวิทยาศาสตร์ จึงคาดกันว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็กโลก ไม่น่าจะทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงถึงมนุษย์ขั้นสูญพันธุ์ แต่ผลกระทบ อาจเกิดแก่เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ต้องอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาทิ การสื่อสารวิทยุ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ที่มีมอเตอร์ และได้นาโม เป็นต้น รวมทั้งสุขภาพของคน เนื่องจาก สนามแม่เหล็กโลก จะช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิต จากรังสีนอกโลก หากมีการเปลี่ยนแปลงก็อาจทำให้พลังงานจากนอกโลกเข้ามาทำอันตรายสิ่งมีชีวิตได้"
นายวรวุฒิกล่าวพร้อมระบุว่า มีการศึกษาเรื่องการกลับขั้วแม่เหล็กโลกไม่มากนัก จึงยังไม่แน่ใจว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วแม่เหล็กโลกนั้น เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ก็พบว่า ขั้วแม่เหล็กโลกกำลังค่อยๆ เคลื่อนที่ ออกจากแคนาดา เมื่อปี 2374 นักวิทยาศาสตร์ของแคนาดา ได้เดินเรือสำรวจขั้วแม่เหล็กเหนือ (North Magenetic Pole) ของโลกเป็นครั้งแรก และคาดว่า มีตำแหน่งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรบูเธีย (Boothia Peninsula) ซึ่งอยู่ตอนเหนือสุดของแคนาดา
จากนั้น ก็มีการสำรวจตำแหน่งของขั้วแม่เหล็กเหนือ มาเรื่อยๆ และพบตำแหน่งที่ต่างกัน โดยระหว่างศตวรรษที่ 20 นี้ ขั้วแม่เหล็กเหนือ ได้เปลี่ยนตำแหน่งไป ราว 1,100 กิโลเมตรแล้ว ปัจจุบันพบว่า ความเป็นของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งขั้วแม่เหล็กโลก ได้เพิ่มขึ้นเป็น 41 กิโลเมตรต่อปี หากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง เกิดขึ้นด้วยความเร็วเท่าเดิม ในทิศทางเดิม ขั้วแม่เหล็กเหนือ จะไปอยู่บริเวณไซบีเรีย ในอีก 50 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงของขั้วแม่เหล็กโลกนั้น จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้างมีเพียงจินตนาการจากภาพยนตร์ แสดงให้เห็นความหนาวเย็น ที่ไม่อาจคาดเดาว่า จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขณะที่การสำรวจตำแหน่งของแม่เหล็กโลก ก็ยังคงดำเนินต่อไป
เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชน เกิดความหวาดหวั่น ด้วยการออกมาเปิดเผยว่า การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก จะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากการศึกษาร่วมกัน ของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง กับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์ จะสิ้นสุดระยะเวลา ที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012
โดยครั้งล่าสุด กระบวนการนี้ ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมา จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัย และการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้ จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012
คำถาม ? โลกจะเป็นอย่างไร เมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่า จะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่า ค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลง จนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้น จะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถาม ? จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก โดยปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบัง ที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะ ที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก ในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลก จะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจน บนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศ ด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้น ประกอบด้วย รังสีคอสมิก และรังสีอีกมากมาย รวมถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล
คำถาม ? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับพายุสุริยะ "ฮารัลด์ เลสช์" (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย "มิวนิค" ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลก ขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่า โลกเราจะเป็นอย่างไร หากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ "ฮารัลด์ เลสช์" สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้น แสดงให้เห็นว่า เมื่อมวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่ และทรงพลังพอ ที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิก ที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ เบนออกสู่อวกาศ
แต่ทว่า โลกเรานั้น สามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้ว กระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆ มีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น ไม่ได้เสถียรเหมือนแม่เหล็กโลกเดิม
ฉะนั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลก ย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆ มีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือ พื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั่นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีป หรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมา จากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆ ที่ โดยไม่หยุด จนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากพายุสุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีก ถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่า การกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์ จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลก จะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น จะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิก สามารถหลุดรอด มาจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตาย จากโรคมะเร็งและความร้อน
คำถาม ? เมื่อสนามแม่เหล็กโลก เกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์ จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ อาจะเหลือเชื่อ แต่ตามหลักการแล้ว ย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะ จากพายุสุริยะแค่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะ จากการหมุนกลับทางของโลก ที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์ เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ ก็เปรียบกับการพลิกด้าน ของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง
คำถาม ? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อโลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลือ อาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทาง ย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือ จะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง
หายนะที่ได้กล่าวมานี้ อาจจะไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่กล่าวมา (หรืออาจร้ายแรงกว่า) ขึ้นอยู่กับว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวนั้น จะใช้เวลานานขนาดใหนน่าแปลกใจว่า เพราะอะไร คำการทำนายจากหลายแหล่ง ตรงกันที่ปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ประกาศจากองค์การ NASA ระบุว่า วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้น แกนโลกของเรา จะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเอง จากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังสีต่างๆจากอวกาศแล้ววันนั้น จะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปี ล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังสีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)22 ธ.ค. พ.ศ. 2555 จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก และการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ มันคือวันหายนะภัยพิบัติของโลก
ในวันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012 โลกจะอวสานจริงๆหรือ ?????
1.ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่า สนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
2.ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่า จะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์
3.ทางโบราณคดี ชาวมายา มีปฏิทินถึงเพียงแค่ ปี 2012 และระบุ วันจุดจบของโลกไว้
4.ทางการทำนาย นอสตราดามุส ได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์
5.ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ อ้างว่า มนุษย์ต่างดาวได้บอกเค้า 6.ทางศาสนา พุทธและคริสต์ ได้ระบุวันจุดจบไว้แล้ว ทั้งเป็นปีพุทธศักราช และคริสตศักราช (พ.ศ. 2555 ค.ศ. 2012)
คำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกนี้ มาจากวันในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน ซึ่งทำนายว่า จะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้ว ชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่น กับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้น เป็นไปได้ว่า อาจจะมีบางสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบัน แม้ไม่ต้องใช้การสังเกตุอะไรนัก คนทั่วโลก ก็ได้เห็นกันอยู่ทุกวันแล้วว่า ตอนนี้ ธรรมชาติเต็มไปด้วยภัยพิบัติ ในรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
เมื่อกลับมามองดูปี 2012 หากพิจารณาดูเล่น ๆ จากการนับเลขฐานสิบ ซึ่งจะนับศูนย์ถึงเก้า ถ้าเราตัดเลขสองออก ก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข 5 เรียงตัวกัน 3 ตัว 5 5 5
ขอโยงไปเรื่องโหราศาสตร์ ที่จะมี โลก กาเล็กซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลก หรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้น ยังมีอีกมากมาย ทั้งในอวกาศและจักรวาล
Planet X NIBIRU ดาวสีแดงดวงนี้ มีวงโคจร ตัดกับวงโคจรของโลกเรา และมีการผ่านมาที่วงโคจรของโลกเรา ทุกๆ 3,600 ปี นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ทวีปแอตแลนติกหายไป นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดเรื่องโนอาห์ กับยุคสมัยน้ำท่วมโลก โดยดาวดวงนี้ จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อปี 2009 ก็สามารถมองเห็นได้ ทางขั้วโลกใต้ ด้วยกล้องส่องดาว ในปี 2011 ก็สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า ซึ่งมันมีขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ปี 2012 ดาวดวงนี้ อาจจะเริ่มมีปฏิกิริยา ต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศ ที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื้นโลก เป็นฝนดาวตก อันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 อาจจะเกิดหายนะครั้งยิ่งใหญ่ เท่าที่เคยเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างที่ใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้น เป็นวันที่ โลก +นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไป อาจส่งผลให้ โลก หยุดหมุนรอบตัวเอง เป็นเวลา 3 วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเล จะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะทะลักขึ้นมา เกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย
21 December2012นับถอยหลังสู่วันสิ้นโลก?????
*น่าแปลกใจมาก ทำไมการทำนายหลายๆอย่างในโลก มันถึงมาตรงกันที่ปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)*
เรื่องภัยพิบัติจากทั่วโลก น่าแปลกใจมาก ทำไมการทำนายหลายๆอย่างในโลก มันถึงมาตรงกันที่ปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เวลาที่เหลืออีกแค่ 3 ปี ประกาศจากองค์การ NASA วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังสีต่างๆจากอวกาศแล้ววันนั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังสีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
22 ธ.ค. พ.ศ. 2555 จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก และการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ มันคือวันหายนะภัยพิบัติของโลก] To The End Of The Earth - Keane บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด 21 December 2012 นับถอยหลังสู่วันสิ้นโลก?????
ในวันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012 โลกจะอวสานจริงๆหรือ ?????
1.ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่าสนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
2.ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่าจะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์
3.ทางโบราณคดี ชาวมายามีปฏิทินถึงเพียงแค่ปี 2012 และระบุวันจุดจบของโลกไว้
4.ทางการทำนาย นอสตราดามุสได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์
5.ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวได้บอกเค้า (แล้วแต่ความเชื่อ)
6.ทางศาสนา พุทธและคริส ได้ระบุวันจุดจบไว้แล้วในปี พุทธศักราชและคริสศักราช (พ.ศ. 2555 ค.ศ. 2012)*
คำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกนี้ มาจากวันในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน (ชาวเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาตอนกลาง) ซึ่งทำนายว่าจะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้วชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้นน่าจะมีอะไรเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบันผมมั่นใจว่ามันน่าจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยสังเกตจากผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี่เอง เมื่อกลับมามองดูปี 2012 ก็เลยมานั่งพิจารณาดูเล่น ๆ (การนับเลขฐานสิบจะนับศูนย์ถึงเก้า) ถ้าเราตัดเลขสองออกก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข 5 เรียงตัวกัน 3 ตัวผมขอโยงไปเรื่องโหราศาสตร์ที่จะมี โลก กาเล็กซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลกหรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้นยังมีอีกมากมายทั้งในอวกาศและจักรวาล
Planet X NIBIRU ที่มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกเราจะตัดผ่านมาใกล้โลกอีกครั้ง ดาวดวงนี้จะผ่านมาที่วงโคจรของเราทุกๆ3600 ปี นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทวีปแอตแลนติกหายไป นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องโนฮากับเรือสมัยน้ำท่วมโลก ดาวดวงนี้จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆปี 2009 จะสามารถมองเห็นทางขั้วโลกใต้ด้วยกล้องส่องดาว ปี 2011 จะสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ดาวดวงนี้เป็นสีแดง ปี 2012 จะเริ่มมีปฏิกิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื้นโลก เป็นฝนดาวตกอันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก วันที่ 21 ธันวาคม 2012 หายนะครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน วัน14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้นเป็นวันที่ โลก +นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไป โลก จะหยุดหมุนรอบตัวเอง 3 วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเลจะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะถลักขึ้นมาเกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย
ที่มา https://sites.google.com/site/pramaha2521/2012