วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2565

▪︎ชาติที่พระพุทธเจ้าเกิดเป็นพญาเหี้ย▪︎

   องค์สมเด็จพระจอมไตรตามความเป็นจริง
ดังจะเห็นได้ว่า ตามที่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้งชายและหญิง อาจจะเคยได้ยินอยู่เสมอว่า
ในสมัยครั้งหนึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเกิดเป็นพญาเหี้ย 

   แต่ความจริงจะเรียกว่า เหี้ยเฉยๆก็ได้ แต่ว่าเหี้ยพระโพธิสัตว์เขาเรียก "พญาเหี้ย" ที่เรียกว่าพญาเหี้ยก็เพราะ มีความฉลาดกว่าเหี้ยธรรมดา ถึงแม้จะเป็นสัตว์ก็มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

   ในวันหนึ่ง เทวทัตในสมัยนั้นบวชเป็นดาบส
พระพุทธเจ้าเป็นเหี้ย ก็ไปจำพรรษาเจริญสมณธรรมอยู่ใกล้กับโรงไม้ที่พญาเหี้ยอยู่ สมเด็จพระบรมครูในเวลานั้นเป็นเหี้ยก็จริงแล แต่ว่าใจเป็นคน ถึงแม้สัตว์ทุกตนก็มีสภาพเช่นเดียวกัน จะคิดว่ามีใจเหมือนคนแต่เฉพาะพระโพธิสัตว์นั้นไม่ได้ สัตว์ทุกประเภทอย่าลืมว่าจิตใจก็คือจิตใจคน จะถือว่าอยู่ในอบายภูมิ เพราะกรรมชั่วบังคับให้อยู่ในสภาพของสัตว์ย่อมมีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์เขาลงโทษ

   และสำหรับพญาเหี้ยพอออกจากโพรงออกมาเห็นดาบสห่มจีวรสีกรัก นั่งหลับตาก็มีความเลื่อมใสว่า ท่านผู้นี้มีกำลังใจสูง ทำบำเพ็ญพรตปรากฏเพื่อความบริสุทธิ์ของจิต

   ฉะนั้นเหี้ยสมเด็จพระธรรมสามิสรเวลาจะไปหากินก็เดินย้อนมาที่ดาบสก่อน มาถึงข้างหน้าก็ก้มศีรษะลงกับพื้น ๓ ครั้งเป็นการแสดงความเคารพในผ้ากาสาวพัสตร์ หลังจากนั้นหน่อพระบรมโพธิสัตว์จึงได้ไป เวลาจะกลับมาเข้าที่อยู่ไซร้ ก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน ทำอย่างนี้อยู่หลายวัน 

   ปรากฏว่าในกาลนั้น ในวันต่อมา ดาบสผู้ที่ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ว่ามีใจเลวกว่าสัตว์คือ พระเทวทัตเกิดมีความรู้สึกว่า เราอยู่ในป่านี้กินแต่หัวเผือกหัวมัน กินแต่ลูกไม้ใบไม้หรือรากไม้ อาหารที่มีรสอร่อยไม่เคยปรากฏกับตัวเองเลย แต่ว่าเจ้าเหี้ยตัวนี้มันอ้วนดี ถ้าเราได้กินจะอร่อยมาก

   ฉะนั้นเวลาตอนกลางวันที่เหี้ยยังไม่กลับมาจากการหากิน ดาบสทรชนคนนั้นก็ไปเก็บเอาเครื่องเทศเครื่องแกง เอาเครื่องแกงมาเก็บห่อเข้าไว้ ไว้ใกล้วันรุ่งขึ้นเช้าก่อนที่พญาเหี้ยจะออกมา นั่งหลับตาสมาธิ แต่ว่าเอากระบองไว้ในจีวร เอามือกุมไว้ใกล้ๆตั้งใจว่า วันนี้ถ้าเหี้ยตัวนี้มาหมอบก้มหัวต่อหน้าตัวเราเมื่อไหร่ เราจะตีให้ตาย แล้วก็นำมาแกงกิน 

   ก็เป็นการย่อมบังเอิญอย่างยิ่ง ชื่อว่าพระโพธิสัตว์จะเกิดอะไรก็มีความฉลาด ฉะนั้นในเวลาตอนเช้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ซึ่งเป็นพญาเหี้ยโผล่ศีรษะออกมาจากโพรง ตั้ง ใจะเข้าไปนมัสการดาบสทรชนคนนั้น 

   แต่ทว่าสมเด็จพระทรงธรรม์ซึ่งเป็นพญาเหี้ยมองไปแล้วเห็นตาของดาบสหลับไม่สนิทดังก่อน สมเด็จพระชินวรจึงได้มาคิดว่าดาบสคนนี้น่าจะมีการทุจริตคิดไม่ชอบ มองแล้วไม่น่าไว้ใจ ก็ผลุบหัวเข้าไปในโพรงใหม่ 

   สำหรับเทวทัตกำลังหรี่ตาจ้องมองดูอยู่เห็นสมเด็จพระบรมครูไม่โผล่หัวออกมาก็นึกในใจ ไอ้เจ้าเหี้ยตัวนี้ระยำ ไม่ออกมาตามเคย แต่ไม่เป็นไรประเดี๋ยวมันก็ออกมา ทำท่าหลับตาไม่สนิทแบบนั้น

   พอวาระที่ ๒ สมเด็จพระทรงธรรม์ก็โผล่ออกมาจากโพรงอีก ก็เห็นตาเทวทัตหลับไม่สนิทก็หลบเข้าไปใหม่ ทีนี้ตาดาบสเทวทัตเจ็บใจ ก็คิดว่าไอ้เหี้ยตัวนี้น่ากลัวจะรู้ว่ากูจะฆ่ามัน ถ้าออกมาคราวนี้ไม่ทันที่มันจะผลุบเข้าไป จะคว้าไม้มาขว้างหัวกบาลให้มันตายเราจะกินเนื้อมัน 

   ก็เป็นการพอดีที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ หรือพญาเหี้ย โผล่ศีรษะมาเป็นวาระที่ ๓ จ้องมองเทวทัต เห็นหลับตาไม่สนิทพอสมเด็จพระธรรมสามิสรจะดึงศีรษะเข้า พระเทวทัตก็คว้าไม้ขว้างไปทันที แต่ด้วยความไวขององค์สมเด็จพระชินศรี พระเทวทัตขว้างไม่ถูก เผอิญไอ้โพลงไม้นั่นก็อยู่ใกล้แม่น้ำ เมื่อเอาไม้ขว้างไป องค์สมเด็จพระจอมไตรหลบมันก็ไม่ถูก ท่านจึงได้โผล่หัวออกมากล่าวว่า..

   "สมณะท่านทรงผ้ากาสาวพัสตร์ คือผ้ากาสาวพัสตร์มีผ้าย้อมน้ำฝาดเป็นธงชัยพระอรหันต์ แต่ว่าจิตใจของท่านมันเลวกว่าเราซึ่งเป็นเหี้ยเสียอีก"

   ระวังนะ จะกินเหี้ย ระวังเหี้ยมันจะด่าเอานะ
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย โดยถ้วนหน้า ขึ้นชื่อว่าสัตว์ เราจะไปคิดว่าสัตว์เป็นสัตว์ต่ำทรามเสมอไปนั้นไม่ได้ คือจิตใจเป็นคน องค์สมเด็จพระทศพลตรัสว่า แม้แต่สัตว์ก็สามารถไปพระนิพพานได้ เป็นความจริง เพราะว่าสัตว์ทั้งหมดเขาชำระกฎของกรรมเดิมทั้งหมด หมดสิ้นแล้ว สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็มาเกิดเป็นคน สามารถบำเพ็ญกุศลเข้าถึงนิพพานได้

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
หนังสือธรรมปฏิบัติ ๖๒ หน้า ๘๖-๙๐
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..
🖋..Moddam Thammawong

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น