คนเราเมื่อใกล้เสียชีวิต จะระลึกถึงภาพความทรงจำเก่าๆขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นการบีบอัดข้อมูลในภพชาติปัจจุบัน เพื่อบันทึกเข้าสู่ภวังค์จิต ก่อนที่จะสู่จุติจิต ก่อนที่กายหยาบอันคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้จะสูญสลายไป
มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Frontiers in Aging Neuroscience วารสารเกี่ยวกับสมองชั้นนำของโลก ฉบับ 22 กุมภาพันธ์ 2022 โดยทีมนักวิจัยจาก สหรัฐ แคนาดา และจีน ถึง 13 ท่าน ทำการทดลองร่วมกัน พบว่า ก่อนและหลังหัวใจหยุดเต้น 30 วินาที สมองจะประมวลผลความทรงจำของชีวิตอีกครั้ง
ดร. อัจมาล เซมมาร์ (Ajmal Zemmar) แห่งมหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์ หนึ่งในทีมนักวิจัย บอกว่า เป็นความบังเอิญที่เราค้นพบเรื่องนี้ ในตอนแรกของการทดลอง ไม่มีใครคิดว่า คนใกล้ตายจะมีสัญญาณของคลื่นสมองที่เหมือนกับคนกำลังทำสมาธิหรือฝันอยู่
ในทางพุทธบอกว่า ความทรงจำเหล่านั้น อาจเป็นการกระทำเก่าๆ เช่น เคยฆ่าสัตว์ ภาพของสัตว์ที่กำลังถูกฆ่าจะปรากฏอย่างชัดเจน หรือปรากฏในรูปสัญลักษณ์เช่น เห็นมีด ปืน ที่ใช้ในการสร้างกรรม ส่วนบุญก็จะปรากฏตามที่สร้างมา ภาพของการถือศีล ทำทาน สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ปรากฏให้เห็น ดังนั้นภาพนิมิตที่เกิดขึ้น จะเป็นไปตามกรรมเก่าที่เคยทำ
กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากภายในไม่กี่วินาที แต่เนื่องจากจิตในขณะนั้นมีความไวสูงกว่าแสง ทำให้เวลาจิตยืดยาวขึ้น พอที่จะรับรู้เหตุการณ์ในชีวิตที่ผ่านมามากมาย
ภาพยนตร์ความยาวสองชั่วโมง เรายังสามารถ download ทั้งเรื่องเสร็จภายในเวลาไม่กี่วินาที แต่จิตทำงานเร็วกว่าระบบดิจิตอลเป็นล้านเท่า ดังนั้น กระบวนการบันทึกกรรม จะเกิดขึ้นทันทีทันใด แม้เสียชีวิตแบบกะทันหัน ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการ download เรื่องราวของชีวิตทั้งหมด
หลังจากนั้นจะเกิด “คตินิมิต” ตามมา คือ ลักษณะของภพที่จะไปเกิดใหม่ ปรากฏให้เห็น ผ่านทวารหก ทางใดทางหนึ่ง เช่นได้กลิ่นหอม เสียงอันไพเราะ ภาพวิมานแก้ว หรือ กลิ่นเหม็น เสียงโหยหวน เปลวเพลิง
ดร.ปีเตอร์ โนเบิล (Peter Noble) แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบว่า หลังเสียชีวิต ยีนและดีเอ็นเอในร่างกายส่วนหนึ่ง กลับทำงานอย่างหนักขึ้นต่อไปอีก 24 ชั่วโมง ทั้งที่มันควรจะหยุดทำงานไปแล้ว ตั้งแต่สมองตาย
ดร.พีจอท กาจาเจฟ ( Dr.Pjotr Garjajev ) นักชีวโมเลกุล ที่ศึกษาเรื่องดีเอ็นเอมาอย่างยาวนาน บอกว่า ดีเอ็นเอมีความสามารถในการส่งต่อข้อมูลเข้าไปในมิติที่ห้าได้ นั่นหมายความว่า ขณะเสียชีวิต ร่างกายพยายามถ่ายทอดข้อมูลของชีวิต ผ่านทางดีเอ็นเอด้วย และระหว่างมีชีวิตอยู่ DNA นี่แหละคือตัว download พลังแห่งกรรมเข้ามาจากอีกมิติ และเหนี่ยวนำตัวเจ้าของดีเอ็นเอนั้นให้เกิดบุคลิกภาพ ความรู้สึก โรคภัยไข้เจ็บ ไปตามกรรมเก่าที่สะสมมา วิบากกรรมกับพันธุกรรม จึงมีความสัมพันธ์กันผ่านช่องทางนี้ ดร.พีจอท กาจาเจฟ บอกว่า DNA ส่วนที่ทำหน้าที่รับพลังแห่งวิบากกรรมคือ DNAส่วนที่ไม่ได้กลายเป็นยีน (Junk DNA)
ปกติคนเราก็มีความทรงจำเก่าๆผุดขึ้นมาอยู่ทุกวัน ในรูปของความฝัน นิมิตตอนใกล้เสียชีวิตแบ่งออกได้ เป็นสี่แบบคล้ายกับความฝัน คือ บุพพนิมิต จิตอาวรณ์ เทพสังหรณ์ และธาตุกำเริบ ซึ่งบุพพนิมิตกับเทพสังหรณ์ ถ้าเกิดขึ้นกับผู้ใด จะทำให้รู้ถึงภพภูมิที่จะไปหลังจากเสียชีวิต ส่วนจิตอาวรณ์ และ ธาตุกำเริบ เป็นเพียงภาพหลอน ที่เกิดจากความแปรปรวนของกายและจิต ขณะป่วยหนัก
คนที่ฝึกเจริญสติสมาธิ จนถึงในระดับที่คุมนิมิตได้ จะสามารถเลือกให้ภาพสุดท้ายก่อนเสียชีวิต เป็นไปตามที่ปรารถนา พระพุทธองค์จึงทรงบอกว่า ถ้ามีสติ กรรมเก่าก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นควรฝึกภาวนาด้วย นอกจากการทำบุญ ทำทาน ถือศีล
ความรู้สึกสุดท้ายก่อนเสียชีวิตสำคัญมาก แต่ถ้าไม่เคยฝึกสมาธิ เจริญสติมาเลย ยากที่จะคุมความรู้สึกในช่วงนี้ได้ เพราะขณะนั้นสภาพร่างกายอ่อนแอเต็มที ระบบร่างกายแปรปรวนด้วยฤทธิ์ยา มีความเจ็บปวด จิตใจว้าวุ่น สับสน ห่วงใย ไม่อยากตาย ต้องใช้กำลังสมาธิสติมากกว่าปกติหลายเท่า จึงจะคุมจิตอยู่
ฝึกนั่งสมาธิถึง ฌาน 2 ก็เห็นนิมิตแล้ว ทำบ่อยๆ จนคุ้นเคยกับมัน ในที่สุดจะควบคุมมันได้ และไม่กลัวตายอีกเลย นั่นเพราะเราสามารถเลือกไปในภพภูมิใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้ แม้ว่าจะเคยสร้างกรรมมาบ้างก็ตาม อย่างน้อย ขอไปเกิดในภพที่สูงไว้ก่อน ส่วนบุญจากการให้ทาน ถือศีล จะส่งผล หลังจากที่ได้ถือกำเนิดในภพใหม่แล้ว
ไม่สงสัยเลยว่า ทำไมไอน์สไตน์ ถึงบอกว่า ในอนาคต จะเหลือศาสนาแห่งจักรวาลเพียงศาสนาเดียว นั่นก็เพราะการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับสิ่งที่พุทธศาสนาบอกมาก่อนตั้งสองพันห้าร้อยปี ไม่ว่าเรื่อง เวลายืดหด ปรมาณู มิติต่างๆ เรื่องจักรวาล การทำงานของสมอง ฯลฯ
-------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น