วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2566

พลังจิต มันไม่ได้สูญหายไปไหน

หลวงพ่อออกประกาศตนของตนเองได้เลยว่า วันหนึ่งๆนี่หลวงพ่อ ไม่ให้หลวงพ่อเสียเวลา ตั้งแต่เป็นสามเณรมาจนกระทั่งเป็นพระมานี่ หลวงพ่ออธิษฐานไว้ว่า

"ข้าพเจ้าจะต้องนั่งสมาธิทุกวัน แล้วข้าพเจ้าจะต้องพาสวดมนต์"
วันหนึ่งไม่ได้มาสวดกับพระที่ศาลา แต่ว่าสวดในกุฏิ หลวงพ่อต้องสวด แล้วก็ยังไม่เคยขาด ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ๘๐ - ๙๐ ปีมานี่ ไม่ได้ขาด เพราะว่า เรามาคิดว่า ตะวันมันตกดินนี่ มันไม่ได้ตกไปเฉยๆ มันกลืนกินชีวิตของเราไปด้วย

พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า 
"อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง
...กิจสิ่งใดที่เป็นบุญเป็นกุศล รีบทำเสียวันนี้ทีเดียว"
"โก ชัญญา มะระณัง สุเว
...ใครเล่าจะรู้จักว่า ความตายจะมาถึงเราวันพรุ่งนี้"
"นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา
...ความตายเท่ากับพญามัจจุราช"

ซึ่งใครๆ จะมีอำนาจแค่ไหน ไม่สามารถที่จะสู้กับพญามัจจุราชท่านนี้ได้ ท่านจะเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้อะไร มีเงินมีทอง มีข้าวมีของ นับหมื่นนับแสนล้าน จะไปสู้กับพญามัจจุราช..ไม่มีทาง

เพราะว่า พญามัจจุราชไม่ได้กินสินบนใคร มีแต่ว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว เขาก็จัดการทันที เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงเวลานั้น เราก็ทำชีวิตของเรานี่ให้มันมีประโยชน์ซะ ไม่ได้อะไร หลวงพ่อก็ให้ขั้นสุดท้ายแล้ว

วิทิสาสมาธิ ๕ นาที เราทำ ๓ ครั้งไม่ได้ เราก็ทำสักครั้งหนึ่งก็ยังดีอย่างนี้เป็นต้น สมมุติว่า ถ้าหากว่าท่านทำได้ ๓ ครั้ง ก็เท่ากับว่าวันหนึ่งทำได้ ๑๕ นาที แล้วลองคิดดูซิ ๑๕ นาทีนี่..๑ เดือนมันได้กี่ชั่วโมง ..ได้ถึง ๗ ชั่วโมง มันก็ไม่ใช่น้อยๆ ก็สามารถที่จะปกป้องเรา และสามารถที่..เวลาเราแก่ชราภาพลง เราก็จะได้อันนี้เป็นที่พึ่ง

แล้วก็พลังจิตอันนี้ มันไม่ได้สูญเสียไปไหน มันจะเพิ่มเติม เช่น อย่างว่าวันนี้เราทำ ๕ นาที พรุ่งนี้ ๕ นาที มะรืนนี้ ๕ นาที มันก็บวกเข้าไปเรื่อย แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ก็สติปัญญา ลองคิดดูว่า คนที่อายุ ๙๔ อย่างหลวงพ่อ ต้องลืมหน้าลืมหลัง กินแล้วว่ายังไม่ได้กิน กูไม่ได้กินนี่หว่า ทั้งๆที่มันกินไปเมื่อกี้นี้เอง นี่คือสติหลงใหล เป็นอย่างนั้นคนแก่ ท่องอันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ลืม มันก็เป็นภาระต่อลูกหลานต่อไป

อย่างหลวงพ่อเวลานี้ก็ยังสวดปาฏิโมกข์ ก็ยังสวดได้ มันเป็นเรื่องอย่างนั้น..เพราะว่า"พลังจิต"

พระธรรมมงคลญาณ วิ.
(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
เจ้าอาวาส วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร และ 
ประธานมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพฯ

ที่มา หนังสือแสงสว่าง หน้า ๒๓ - ๒๔
ขออนุโมทนากับผู้มีส่วนแห่งสาระธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น