วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566

**ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลวงพ่อฤาษี**



เรื่องที่ ๖๓ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
 
 
 “..**ถ้าใครไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ผ่านอำเภอถลางจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรี ๒ ท่าน คือ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทร**ประวัติของท่านมีดังนี้ ท่านท้าวเทพกษัตรี เดิมชื่อ “**จัน**” กับน้องสาวคือ ท่านท้าวศรีสุนทร เดิมชื่อ “**มุก**” เป็นชาวเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นเจ้าเมืองถลาง คุณจันกับคุณมุกได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างคล่องแคล่วชำนาญและมีความกล้าหาญ เมื่อเจ้าเมืองถึงแก่กรรม คณะกรรมการเมืองก็แต่งตั้งสามีคุณจันขึ้นเป็นเจ้าเมืองถลาง
 
 **ต่อมาสามีคุณจันถึงแกกรรม พม่าก็ยกทัพมาตีเมืองถลาง** ทั้งสองท่านได้ประชุมปรึกษากับคณะกรรมการเมือง โดยคิดอุบายลวงข้าศึก **ได้รวบรวมผู้หญิงราว ๕๐๐ คน ให้แต่งตัวเป็นผู้ชายโพกศีรษะ พอถึงเวลากลางคืนใช้ทางมะพร้าวทำเป็นอาวุธถือเดินแปรขบวนระหว่างค่ายทุกวัน**ตอนกลางวันก็เข้าทำเป็นกองหนุนเข้าสมทบในค่าย จนข้าศึกคิดว่าไทยมีกำลังหนุนอยู่เสมอ จึงนำทัพถอยร่นไป คุณจันจึงสั่งระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในกองทัพพม่า พม่าตกใจต่างหนีลงเรือแล่นออกจากอ่าวไป **เมื่อศึกสงบแล้วรัชกาลที่ ๑**โปรดให้แต่งตั้งคุณจัน**เป็น “ท้าวเทพกษัตรี” และคุณมุกน้องสาวเป็น “ท้าวศรีสุนทร”
 **
 **วีรกรรมของท่านทั้งสองจึงเป็นเกียรติประวัติแก่ชาติไทยสืบมาจนทุกวันนี้** อนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่านตั้งอยู่ที่ตำบลท่าเรือ สี่แยกเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต องค์พี่จูงมือน้องสาว มือขวาถือดาบ นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอกมีตะเบ็งมาน ผมทรงดอกกระทุ่ม เป็นสำริดสีดำทั้งสององค์
 
 **เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ อาตมาเดินทางไปภาคใต้ ได้นั่งรถผ่านอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต **เห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่าน จึงคิดว่าเรามาอยู่บนแผ่นดินของท่านทั้งสองผู้มีพระคุณใหญ่ที่รักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ ถ้าเวลานั้นไม่มีท่านทั้งสองก็ยังไม่แน่นักว่าจังหวัดภูเก็ตจะเป็นของเราหรือเป็นของใคร ก็เลยมีความคิดว่าท่านทั้งสองตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ถ้าพบได้ก็จะดี พอคิดเพียงเท่านี้ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองมาปรากฏอยู่ที่ข้างรถพอดี มายกมือไหว้ให้เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านในสมัยที่ท่านเป็นแม่ทัพ

ท่านบอกว่า “**ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์**”
 
 อาตมาจึงถามว่า “การสงครามต้องฆ่าคนตายไปสวรรค์ด้วยหรือ”

ท่านยิ้มแล้วก็ถามว่า “ท่านก็เคยเป็นแม่ทัพมาเคยเป็นทหารมา เคยฆ่าคนมาเป็นอันมากและก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นอันมาก ทำไมถึงไม่ลงนรกบ้างล่ะ” อาตมาตอบว่า “เรื่องก่อนเกิดจำไม่ได้และเรื่องของท่านจะรู้ได้อย่างไร ให้เล่าว่าเป็นคนวางนโยบายฆ่าคนเป็นจำนวนมากแล้วไปดาวดึงส์ได้อย่างไร”
 
 ท่านก็ตอบว่า “**ฉันทำบาปได้ฉันก็ทำบุญได้ การทำบาปคราวนั้นฉันพลีชีวิต เลือดเนื้อ สติปัญญา กำลังกายกำลังใจ ก็เพื่อความสันติสุขของประชาชนส่วนมาก** ฉันไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว จะตั้งฉันเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของพระราชาผู้ตั้ง เวลาทำฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น เมื่อทำแล้วฉันรู้ว่าเป็นบาปก็เลยทำบุญทำกุศล ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์”

ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม

อาตมามองไปที่อนุสาวรีย์แล้วก็มองรูปโฉมลักษณะของท่านที่มาปรากฏให้เห็นแต่งตัวเป็นแม่ทัพในสมัยนั้น คล้ายคลึงรูปจริงๆ ของท่านมาก แสดงว่าท่านทั้งสองคงดลใจให้คนปั้นรูปท่าน ปั้นได้คล้ายคลึงความเป็นจริงของท่านมาก

#ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น