วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566

**ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลวงพ่อฤาษี**



เรื่องที่ ๖๓ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
 
 
 “..**ถ้าใครไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ผ่านอำเภอถลางจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรี ๒ ท่าน คือ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทร**ประวัติของท่านมีดังนี้ ท่านท้าวเทพกษัตรี เดิมชื่อ “**จัน**” กับน้องสาวคือ ท่านท้าวศรีสุนทร เดิมชื่อ “**มุก**” เป็นชาวเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นเจ้าเมืองถลาง คุณจันกับคุณมุกได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างคล่องแคล่วชำนาญและมีความกล้าหาญ เมื่อเจ้าเมืองถึงแก่กรรม คณะกรรมการเมืองก็แต่งตั้งสามีคุณจันขึ้นเป็นเจ้าเมืองถลาง
 
 **ต่อมาสามีคุณจันถึงแกกรรม พม่าก็ยกทัพมาตีเมืองถลาง** ทั้งสองท่านได้ประชุมปรึกษากับคณะกรรมการเมือง โดยคิดอุบายลวงข้าศึก **ได้รวบรวมผู้หญิงราว ๕๐๐ คน ให้แต่งตัวเป็นผู้ชายโพกศีรษะ พอถึงเวลากลางคืนใช้ทางมะพร้าวทำเป็นอาวุธถือเดินแปรขบวนระหว่างค่ายทุกวัน**ตอนกลางวันก็เข้าทำเป็นกองหนุนเข้าสมทบในค่าย จนข้าศึกคิดว่าไทยมีกำลังหนุนอยู่เสมอ จึงนำทัพถอยร่นไป คุณจันจึงสั่งระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในกองทัพพม่า พม่าตกใจต่างหนีลงเรือแล่นออกจากอ่าวไป **เมื่อศึกสงบแล้วรัชกาลที่ ๑**โปรดให้แต่งตั้งคุณจัน**เป็น “ท้าวเทพกษัตรี” และคุณมุกน้องสาวเป็น “ท้าวศรีสุนทร”
 **
 **วีรกรรมของท่านทั้งสองจึงเป็นเกียรติประวัติแก่ชาติไทยสืบมาจนทุกวันนี้** อนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่านตั้งอยู่ที่ตำบลท่าเรือ สี่แยกเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต องค์พี่จูงมือน้องสาว มือขวาถือดาบ นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอกมีตะเบ็งมาน ผมทรงดอกกระทุ่ม เป็นสำริดสีดำทั้งสององค์
 
 **เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ อาตมาเดินทางไปภาคใต้ ได้นั่งรถผ่านอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต **เห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่าน จึงคิดว่าเรามาอยู่บนแผ่นดินของท่านทั้งสองผู้มีพระคุณใหญ่ที่รักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ ถ้าเวลานั้นไม่มีท่านทั้งสองก็ยังไม่แน่นักว่าจังหวัดภูเก็ตจะเป็นของเราหรือเป็นของใคร ก็เลยมีความคิดว่าท่านทั้งสองตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ถ้าพบได้ก็จะดี พอคิดเพียงเท่านี้ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองมาปรากฏอยู่ที่ข้างรถพอดี มายกมือไหว้ให้เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านในสมัยที่ท่านเป็นแม่ทัพ

ท่านบอกว่า “**ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์**”
 
 อาตมาจึงถามว่า “การสงครามต้องฆ่าคนตายไปสวรรค์ด้วยหรือ”

ท่านยิ้มแล้วก็ถามว่า “ท่านก็เคยเป็นแม่ทัพมาเคยเป็นทหารมา เคยฆ่าคนมาเป็นอันมากและก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นอันมาก ทำไมถึงไม่ลงนรกบ้างล่ะ” อาตมาตอบว่า “เรื่องก่อนเกิดจำไม่ได้และเรื่องของท่านจะรู้ได้อย่างไร ให้เล่าว่าเป็นคนวางนโยบายฆ่าคนเป็นจำนวนมากแล้วไปดาวดึงส์ได้อย่างไร”
 
 ท่านก็ตอบว่า “**ฉันทำบาปได้ฉันก็ทำบุญได้ การทำบาปคราวนั้นฉันพลีชีวิต เลือดเนื้อ สติปัญญา กำลังกายกำลังใจ ก็เพื่อความสันติสุขของประชาชนส่วนมาก** ฉันไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว จะตั้งฉันเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของพระราชาผู้ตั้ง เวลาทำฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น เมื่อทำแล้วฉันรู้ว่าเป็นบาปก็เลยทำบุญทำกุศล ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์”

ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม

อาตมามองไปที่อนุสาวรีย์แล้วก็มองรูปโฉมลักษณะของท่านที่มาปรากฏให้เห็นแต่งตัวเป็นแม่ทัพในสมัยนั้น คล้ายคลึงรูปจริงๆ ของท่านมาก แสดงว่าท่านทั้งสองคงดลใจให้คนปั้นรูปท่าน ปั้นได้คล้ายคลึงความเป็นจริงของท่านมาก

#ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี2

วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ดูจิตก็ไม่ได้ ดูกายก็ไม่ได้ ให้ทำความสงบไว้

#โอวาทธรรม 
#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต 

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ
ดูจิตก็ไม่ได้ ดูกายก็ไม่ได้ ให้ทำความสงบไว้

ดูจิตได้ให้ดูจิต ดูจิตไม่ได้ให้ดูกาย 
ดูจิตก็ไม่ได้ ดูกายก็ไม่ได้ 
ให้ทำความสงบไว้ ทำสมถะ 
ทำสมถะก็เพื่อให้มีแรง 
ดูกายเพื่อให้เห็นจิต 
ดูจิตเพื่อให้รู้แจ้ง

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร

วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566

พระสยามเทวาธิราช

**“พระสยามเทวาธิราช” จริงๆ ก็เป็นเทวดาที่รักษาประเทศไทยทั้งหมด หลวงพ่อฤๅษี**
**หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง อุทัยธานี ยืนยันไว้ “พระสยามเทวาธิราช” คือใคร มาจากไหน ?**

หลวงพ่อฤๅษีได้เขียนไว้ในหนังสือ “**โอวาทหลวงพ่อเล่ม๓**” **เกี่ยวกับพระสยามเทวาธิราช ของประเทศไทย**ไว้ชัดเจนว่า

พระสยามเทวาธิราชนี่เริ่มมีเมื่อสมัยก่อนรัชกาลที่ ๔ มีนะ แต่ก่อนพระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้น ก็บูชาเทวาชื่อนั้นชื่อนี้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นคนสำคัญ ขออย่างนั้นอย่างนี้ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นนักปราชญ์เป็นนักบาลีก็มาตั้งชื่อใหม่ว่า “พระสยามเทวาธิราช” หมายถึงว่าเทวดาทั้งหมดที่รักษาประเทศสยาม

หลวงพ่อฤๅษีได้กล่าวไว้ว่า

ทีนี้ที่ถามว่าให้คุณให้โทษทางไหน ... ให้โทษนี้ก็ไม่ทราบให้คุณนี่ก็ไม่รู้แต่ท่านเป็นเทวดา ... เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ

**เมื่อปี๒๕๑๘ ปีนั้น พระเจ้าอยู่หัว(ร.9)นิมนต์เข้าไปที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พอเข้าไปทำบุญ... วันจักรี**... พอเข้าไปนั่งปั๊บ ก็ไม่ต้องคุยกับใครละ บรรดาพระสยามเทวาธิราชมากันเยอะแยะเลย โอ้โฮ! ไม่ใช่องค์เดียวสององค์นะ ไม่ทราบว่าจะมากเท่าใด ในบริเวณเต็มไปหมดไม่ใช่เฉพาะในวังนะ

**เราก็ชักสงสัยว่าองค์ไหนชื่อ “พระสยามเทวาธิราช”**
 **พอถามว่าองค์ไหนชื่อ “พระสยามเทวาธิราช”**ให้บอกชี้องค์นั้นก็ไม่ใช่ ชี้องค์นี้ก็ไม่ใช่

ต่างคนต่างบอกชื่อของตัวหมด ก็เลยนึกขึ้นมาว่าเออ... ยังไงเทวดานี่!!!

เลยบอกว่าถ้าไม่ใช่ “พระสยามเทวาธิราช” แล้วมาทำไมล่ะ

พระเจ้าอยู่หัวก็ดีพระราชินีก็ดี ท่านทำบุญเพื่อพระสยามเทวาธิราช

ท่านก็บอกว่าเขาอยากเรียกผมอย่างนั้นทำไมล่ะ... ผมไม่ได้ชื่อนั้นนี่

ก็รวมความว่า **“พระสยามเทวาธิราช” จริงๆ ก็เป็นเทวดาที่รักษาประเทศไทยทั้งหมด**

**สมัยก่อนเรียกประเทศสยามใช่ไหม ถ้าถามว่าให้คุณแบบไหน**

**ก็ต้องถือว่าเทวดามีความดีอะไรบ้างแต่ละคนมีความสามารถไม่เสมอกันอันนี้ตอบไม่ได้เกินวิสัย**

ที่มา: หนังสือ “โอวาทหลวงพ่อเล่ม๓” หลวงพ่อฤาษี

#สัพพัญญุตญาณ

ผู้ที่มี สัพพัญญุตญาณ มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น สัพพัญญุตญาณ หมายถึง ญาณหยั่งรู้ในสิ่งทั้งปวง ญาณหยั่งรู้ในทุกๆอย่าง ญาณหยั่งรู้ในทุกๆเรื่อง ทั้งจักรวาลนี้และจักรวาลอื่นๆ ทั้งในอดีต ในอนาคต และในปัจจุบัน โดยที่ไม่มีอะไรปิดกั้นได้ 
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตก็จะมี สัพพัญญุตญาณ ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าไม่มีก็จะสอนคนอื่นไม่ได้ ซึ่งความสงสัยและความไม่รู้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำได้แทบทุกอย่าง แทบจะไม่มีอะไรเลยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไม่ได้
ซึ่งมีอยู่ 4 อย่าง ที่พระพุทธเจ้าทำไม่ได้ คือ

1.พระพุทธเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิบากกรรมใครได้ ใครสร้างกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับเอง ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ไม่มีใครรับกรรมแทนใครได้

2.ปัญญาให้กันไม่ได้ ต้องฝึกเอาเองปฏิบัติเอาเองถึงจะเกิดปัญญา

3.ความศิวไลของธรรมะไม่สามารถสื่อทางภาษาได้ ความจริงแท้ต้องใช้หนทางปฏิบัติทางเดียวเท่านั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง

4.คนที่ไม่มีวาสนาที่ดีต่อพระพุทธเจ้า ธรรมะจึงไม่สามารถเข้าถึงใจเขาได้ พระพุทธเจ้าจึงโปรดเขาเหล่านั้นไม่ได้
ถ้านอกเหนือจาก 4 อย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำได้หมดทุกอย่าง 
ดังพุทธพจน์ท่านกล่าวไว้ว่า

...ฝนแม้จะตกทั่วฟ้า ก็ยังไม่เกิดประโยชน์กับตันหญ้าที่ไร้ราก พระธรรมแม้จะกว้างใหญ่ไพศาล ก็ยากที่จะไปโปรดคนไร้ซึ่งวาสนา...

# .ไม่หลับตา.เข้าประตูอริยะ

21 ส.ค 66

 สมาธิแบบไม่หลับตา ลืมตาเข้าไว้..

ไม่ต้องบริกรรมใดๆ..ทั้งพุทโธ ..นะโมพุทธายะ

เพียงรู้สึกตัวไว้ .รู้ปัจจุบันนี้..ก้นกระทบพื้น หรือ ลองขยับมือไปมา..ขึ้นลงๆ..เบาๆ สบายๆ..ไม่เพ่ง..เพียง "รู้เบาๆ"..

.ทำขยับมือต่อเนื่อง..จะปลุกธาตุรู้ให้ตื่น..ทำให้มือเสียววาบๆ..ดุตกระแสไฟฟ้าวิ่งทั่วร่าง...เมื่อตัวรู้ทำงาน..สติจะละเอียด..แม้ลมเบาๆกระทบกาย..จิตจะรู้ไว

* เมล็ดพันธ์พุทธะ.เริ่มทำงาน.แล้ว...ทำนานวันๆ..สติจะรู๊อัตโนมัติ...จะรู้ตัวทั่วพร้อม..ตื่นโพลง..แสงสว่างปัญญาเริ่มเปล่งแสง

** จะเริ่มแยกความคิดออกจากจิต..จากผู้รู้..เห็นความคิดล่องลอยออกไป..มีจิตเป็นผู้ดู

**.. เกิดอาเจียรทางความคิด.สำรอกกิเลส อารมภ๋หยาบๆออกมาจากรอบจิต..ซักฟอกธาตุขันธ์ให้บริสุทธิ์ขึ้น..เห็นกายมันเดินดังหุ่นยนต๋..มีจิตมัมองอยู่ (แยกกาย แยกจิต)..กายเบา จิตเบา..แต่ยังไม่เบิกบาน..มีความสุขละเอียด..(ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงจุดนี้..แล้วหวนกลับมาเดินสู่ปุถุชนกิเลสหนาเหมือนเดิม..แต่อย่างน้อยก็รู้ว่า..การเข้าสู่ภูมิอริยะ..ต้องแยกกาย แยกจิต..ออกจากกันด้วยสติ..จึงจะรู้ชัดว่า..กาย.ไม่ใช่จิต..)

*** จิตภายในสงบ..แบบ ตื่นตัว..ปัญญาเริ่มเห็นความจริง เป็นไตรลักษณ๋ เห็นทุกข์..ความไม่เที่ยง..เกิดดับ....นั่น .มหาสติ....ทำงานแล้ว..เรียก..สติอริยมรรค .เริ่มทำงาน..แต่ยังไม่บรรลุธรรมนะ .เพียงมาถึงปากประตูอริยะ..แล้ว.แต่ยังไม่ถึงภูมิธรรมอริยะโสดาบัน

* ..เมื่อมีมหาสติ มหาปัญญามากขึ้น..จะเกิด นิพพิทาเบื่อหน่าย..เริ่มปล่อยวางขันธ๋5 ..วางการยึดมั่นในกาย...ตัดสังโยชน์เบื้องต้น..แล้วจิตผู้รู้จะหมุนทวนเข้าหาจิต..สู่ความว่าง...เกิดวิปัสนาญาน.เผาอารมภ์ตัดสังโยชน์..ข้อที่คาอยู่...

สุดท้าย...เมื้อสังโยชน์หมด..จะเหลือแต่จิตบริสุทธิ์ล้วนๆ..ปัญญาล้วนๆ..

ที่มา
มโนธาตุ โพธิญาณ

วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2566

แดนพระนิพพาน

👑พระนิพพานมีดินแดนอีกอันหนึ่ง
 เป็นทิพย์ที่ละเอียดกว่าพรหมโลก อยู่ไกลจากพรหมโลกขั้นสูงสุดไม่มากนัก เรียกว่าวัดโดยระยะของความเป็นทิพย์ และดินแดนนั้นถ้าหากว่าท่านผู้ใดไปแล้ว ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ไม่วนไปวนมา มีสภาพอยู่แน่นอน หมายความว่าเกิดในที่นั้นแล้วไม่มีการตายอีก สภาพของการเกิด ไม่มีขันธ์ ๕ อย่างมนุษย์ มีสภาพเป็นทิพย์อย่างเทวดาหรือพรหมแต่ละเอียดกว่านั้น ผ่องใสกว่านั้น สวยสดงดงามกว่านั้น มีความสุขอย่างเดียวไม่มีความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความขัดข้องนิดหนึ่งในอารมณ์ของจิตของท่านผู้เข้าถึงซึ่งนิพพานไม่มี
    หากจะถามว่าจะรู้ได้ยังไง ตอบไม่ยาก จะรู้ได้ด้วยการปฏิบัติถึง ถ้าจะถามว่า ผู้พูดนี่ปฏิบัติถึงแล้วหรือยัง ก็ขอตอบได้อย่างไม่ยากว่า ถ้าปฏิบัติถึงเมื่อไรก็ถึงเมื่อนั้น ถ้ายังไม่ถึง มันก็ไม่ถึง แล้วเวลาพูดเอาเกณฑ์มาจากไหน ก็หนึ่ง ได้มาจากพระที่เข้าถึงมรรคผล สอง ได้มาจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า พระนิพพานมีสภาพไม่สูญ อย่างที่ท่านพระโมคคัลลาน์ ถามพระพุทธเจ้าว่า "พระนิพพานมีสภาพสูญใช่ไหม"
    พระองค์ตอบว่า "พระนิพพานกิเลสดับ ตัณหาดับ ดับกิเลส ตัณหา และขันธ์ ๕ ได้สิ้นเชิง"
    เมื่อกิเลสดับ ตัณหาดับ แล้วขันธ์ ๕ ก็ดับ อะไรมันเหลือ ถ้าฟังกันให้ดี คิดกันให้ดีแล้วจะต้องรู้ว่า จิตมันยังเหลืออยู่ จิตมันไม่ดับ ไอ้สภาพของจิต คือสิ่งที่เป็นทิพย์แท้ มันไม่ดับ มันเข้าไปสู่พระนิพพาน แล้วพระนิพพานมีตัวตนไหม ก็ตอบว่ามีตัวเป็นทิพย์ ตัวละเอียด

หนังสือ พ่อสอนลูก หน้า ๒๙๖-๒๙๗

ปัณณ์ธรรม

วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2566

พระอรหันต์ชั่วคราว

**สมเด็จองค์ปฐม**ทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

**อรหันต์ชั่วคราวก็คือ จิตว่างจากกิเลสชั่วขณะจิตหนึ่งเป็นขณิกอรหันต์** **จงอย่าดูหมิ่นในอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ หากทำให้บ่อยๆ จิตก็จักชิน การสะสมอารมณ์ก็เหมือนกัน ตักน้ำเติมใส่ตุ่มนั่นแหละ เต็มเมื่อไหร่ก็จบกิจเมื่อนั้น**

**ยิ่งฝึกฝนตอนเช้ามืด ถ้าจิตสงัดจากกิเลสได้ถึงที่สุดแล้ว วันนั้นทั้งวันจักมีอารมณ์ดีมาก ไม่เชื่อให้ลองทำดู** **อานิสงค์ของการปฏิบัติได้มากด้วย ก่อนนอนก็ให้ทำอย่างนี้ด้วย เพื่อให้จิตทรงตัวดีขึ้น**

**เวลาเวทนาเกิด ให้แยกออกมาเสีย ดูมันไปเฉยๆ จักเห็นสภาวะธรรมของเวทนาตามความเป็นจริง** **มีเวทนา มีโรคก็รักษามันไปตามหน้าที่ เป็นการบรรเทาทุกขเวทนา**

**แต่จิตอย่าไปเกาะ-อย่าไปกังวล-อย่าไปผูกพัน เห็นเป็นธรรมดาของมัน และรู้อยู่เสมอว่านี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน มันไม่มีในเรา เราไม่มีในมัน แต่จงอย่าคิดว่าเราจักทำได้ทุกวัน แต่ให้พยายามทำให้ได้ทุกวัน**

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๔ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ตอนสอง

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม4** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น4

วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2566

“วัดเบญจมบพิตรฯ”

“วัดเบญจมบพิตรฯ” เมื่อ 122 ปีก่อน

"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร" เป็นวัดเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมมีชื่อว่า วัดแหลม หรือ วัดไทรทอง

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสถาปนาวัดเบญจมบพิตรขึ้นใหม่ เพื่อเป็นวัดประจำพระราชวังดุสิต โดยมี สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ออกแบบสถาปัตยกรรม โดยใช้หินอ่อนชั้นเยี่ยมจากประเทศอิตาลีในการก่อสร้าง ทำให้ชาวตะวันตกรู้จักวัดนี้ในนาม The Marble Temple หรือ วัดหินอ่อน

สวดมนต์เป็นประจำก็ย่อมจะได้รับความคุ้มครองรักษา

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19 ได้มีโอวาทสั่งสอนอยู่เสมอในเรื่องการสวดมนต์ พระองค์ทรงเน้นย้ำให้สวดทุกวัน โดยเฉพาะที่บ้าน เพราะจะเป็นการเชิญเทวดามารักษาที่บ้านด้วย ซึ่งทรงกล่าวเป็นโอวาทธรรมคำสอนไว้ดังนี้
"...พุทธประวัติแสดงไว้ว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพรหมเทพ เป็นประจำทุกค่ำคืนในพระสูตรต่างๆ เช่น ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ก็แสดงถึงความเข้ามาเกี่ยวข้องของพรหมเทพเป็นอันมาก ที่สดับพระปฐมเทศนาแล้วแซ่ซ้องสาธุการกึกก้องไปทุกช่องชั้นฟ้า และในการเจริญพระพุทธมนต์ทุกวันนี้ ท่านก็มีบทสวดชุมนุมเทวดา 

จนเป็นที่เชื่อกันว่า... ที่ใดไม่มีสวดมนต์ประจำ ที่นั้นจะไม่มีเทวดารักษา บ้านเรือนใดไม่มีการสวดมนต์ บ้านเรือนนั้นก็ไม่มีเทวดารักษา ด้วยเทวดาชอบฟังเสียงสวดมนต์ คิดตามเหตุผลก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะพระพุทธมนต์เป็นมงคลสูงส่ง เป็นมงคลแก่บ้านเรือนสถานที่ และจิตใจ ผู้สวดมนต์เป็นประจำก็ย่อมจะได้รับความคุ้มครองรักษา จากพรหมเทพผู้ได้มีส่วนร่วมสดับรับฟังด้วย การสวดมนต์จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรละเลย..." 

สมเด็จพระญาณสังวร 
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ #พุทโธ

**เรื่อง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไปดูวิมาน ของลูกหลานญาติโยม ที่พระนิพพาน**

**เรื่อง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไปดูวิมาน ของลูกหลานญาติโยม ที่พระนิพพาน**
* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ..เล่าให้ฟัง

..." วันหนึ่ง.. สมเด็จท่านพามาที่ วิมานนิพพาน ที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะ.. นาน ๆ จะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า..

* ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะ "พุทธานุสสติกรรมฐาน" เป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า วันนั้นตายดีกว่า..

~ มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียว จิตจะไม่ยอมคลาดจากพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง..

* แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า : "**คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขย กับ แสนกัป และเป็นฝ่าย "วิริยาธิกะ"**

~ เป็นอันว่า.. คณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้..! ไอ้เราต้องมา ตก-ระกำ ลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม..

~ วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง

~ **ถามว่า : คณะของข้าพระพุทธเจ้า มีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่..**

**~ ท่านบอกว่า :"มี ๓๗ สาย.**"

~ ถามว่า : สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร..

~ ท่านบอกว่า :"สองแสนโยชน์ ของนิพพาน."

* แล้วก็ไปดู เห็นทั้งหมด ๓๗ สาย สองฝั่งของถนน วิมานเต็มหมด มันไม่มีจุดพร่อง สายหนึ่งประมาณ ๒ แสนโยชน์ แต่ละสาย ๓๗ คูณด้วย ๒ วิมานมันจะตั้งสายละสองฝั่งถนน ๓๗ ถนน ยาวเหยียด..

* ถนนกลายเป็นแก้วแพรว เป็นประกายสวยสดงดงามไปหมด บอกไม่ถูก วิมานแต่ละหลัง ก็แพรวพราว หาที่ติไม่ได้เลย หัวหน้าทีมตั้งบ้านใหญ่ อยู่ด้านหน้า ต่อไปก็มีถนนซอยเข้าไป..

~ **ทางด้านของนิพพาน นี่ เขาอยู่กันเป็น กลุ่ม ๆ อย่างกลุ่มของ พระกกุสันโธ ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง.. วิมานของพระพุทธเจ้า ก็ตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็นสายอยู่ข้างหลัง.. พระโกนาคม ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง.. พระพุทธกัสสป ก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง.. ของ สมเด็จพระสมณโคดม ท่านก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง..**

*** ตอนนี้ ของอาตมา ก็เป็นจุดที่แปลก วิมานตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ของท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมา สิ้นระยะเวลา ๑๖ อสงไขย กับ แสนกัป พอดี..**

~ แต่ว่า ต้องเกิดไปอีก ๗ ที ทนไม่ไหวไม่เอา แค่นี้พอ รอเกิดอีก ๗ ครั้ง ก็ในกัปนี้แหละ และต้องไปรอ องค์ที่ ๒๒ หลังจากพระศรีอาริย์ ต้องไปนั่งรออยู่ชั้นดุสิต ไม่ไหวเปิดดีกว่า..

* ฉะนั้นกลุ่มของพวกเรา จึงมีวิมานตั้งอยู่ในระหว่างกลุ่มของ พระพุทธกัสสป และ กลุ่มของ พระสมณโคดม..

~ เป็นอันว่า.. หาจุดพร่องไม่ได้ ตามสายของพวกเรา วิมานสวยไม่เต็มที่ มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่เต็มสาย..

* ที่วิมานสวยไม่มากก็เพราะว่า.. จิตของบุคคลใด ถ้ารักพระนิพพาน วิมานจะปรากฏที่นั่น แต่ถ้าจิตใจของท่านผู้นั้น ยังไม่ถึง อรหัตผล เพียงใด วิมานจะสวยไม่เต็มที.. ไอ้จิต กับ วิมาน มันสวยเท่ากัน..

~ เดินไปจึงรู้ เป็นอันว่า วิมานมันนั่งคอยอยู่ เป็นอันว่า.. คนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพาน..

* สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า : "ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง ๑๖ อสงไขย กับแสนกัป มันมีที่อยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี..."

( จากหนังสือ *หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ* เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๔๒ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี *****ธรรมทาน ที่ลูกเผยแผ่ ลูกขอน้อมถวายบูชา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์เจ้า ทุกพระองค์ และบูชาคุณของครูบาอาจารย์หลวงปู่หลวงพ่อทุกพระองค์ด้วยใจเคารพ ด้วยใจบูชาเป็นที่ยิ่ง น้อมกราบบูชาทุกพระองค์ สาธุๆๆๆๆๆ

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์7 #หลวงพ่อฤาษี4

หลวงปู่อ้น วัดบางจาก ศิษย์ในสมเด็พระพุฒาจารย์โต

 หลวงปู่อ้น วัดบางจาก 
 ศิษย์ในสมเด็พระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง 
หลวงปู่อ้น วัดบางจาก ต.อัมพวา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม พระผู้เป็นที่เคารพศรัทธาอีกรูปหนึ่งของชาวเมืองแม่กลองในอดีต
ตามบันทึกของ พระยาทิพโกษา (สอน โลหะนันท์) เลขานุการเสนาบดี กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นคนแรกที่ค้นคว้าและเขียนบันทึกประวัติของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และหนังสือจดหมายเหตุต่างๆ บางตอนได้กล่าวถึงประวัติของหลวงปู่อ้นว่า
.
 "หลวงปู่อ้น" มีนามเดิมว่า "ม.ร.ว.อ้น อิศรางกูร ณ อยุธยา" นิสัยของท่านรักสันโดษ เมื่ออุปสมบทที่วัดระฆังฯ แล้ว ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดระฆังฯ คอยปรนนิบัติและศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานและไสยเวทกับ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ .
 .
ด้วยความที่หลวงปู่อ้น เป็นพระที่สมถะ รักสันโดษ จึงไม่ ยอมรับตำแหน่งยศศักดิ์ใดๆ คงดำรงตนเป็นพระลูกวัดจนชราภาพ จนถือเป็นศิษย์อาวุโสของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทีเดียว 
.
ท่านมักล่องเรือไปจำพรรษาที่วัดบางจาก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ซึ่งปัจจุบันคือ วัดเกษมสรณาราม อ.อัมพวา เพราะเห็นว่าเป็น สถานที่เงียบสงบ จนกระทั่งออกพรรษา ท่านจึงกลับมาเยี่ยมนมัสการท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ครั้งละนานๆ เป็นเช่นนี้ประจำทุกปี

เรื่องภพ เรื่องชาติ เรื่องทุกข์ เรื่องภัย

"..สิ่งใดเป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นไปเพื่อโทษ
ก็รีบชำระสะสางให้หมดสิ้นไปจากดวงใจของเรา 
ให้พึงเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอมิใช่ว่าเราไม่รู้
คือให้รู้ภายในจิตใจของตน 
อย่าส่งรู้ออกภายนอกจิตใจของตน 
ให้พากันดูให้พากันฟัง 
สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน 
ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคนครบบริบูรณ์ 
ขณะนี้เราอยู่ในสมถกรรมฐาน คือความสงบ 
วางอารมณ์ภายนอกทังหมดได้ 
ไม่กำหนัดรักใคร่ยินดี ใจไม่หงุดหงิด 
ไม่ซึมเซา ไม่ท้อแท้ และไม่งมงาย 
เราอยู่ในวิปัสสนากรรมฐาน ก็ตัดหมด 
ตัดภพ ตัดชาติทั้งหลาย 
อารมณ์สัญญาที่เป็นไปตามกระแสโลกตัดหมดไม่มีเหลือ เป็นเรื่องสมมตินิยมกันเท่านั้น 
จิตของเราเป็นวิมุติ หลุดพ้นไปหมด เรื่องภพ เรื่องชาติ 
เรื่องทุกข์ เรื่องภัย ไม่มีอีกแล้ว นี้แหละเป็นข้อปฏิบัติ.."

อาจาโรวาท
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร    
วัดป่าอุดมสมพร อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๔๒ - ๒๕๒๐)
        🙇🏻‍♂️สิริธมฺโม📖🖋️ช

ใจ ทำไมจึงเป็นไปเพื่อความสงบไม่ได้

ใจ ทำไมจึงเป็นไปเพื่อความสงบไม่ได้ ลองสังเกตดูซิ 

วันหนึ่งๆ ถ้าเราตั้งข้อสังเกตโดยเฉพาะในหัวใจของเราแล้ว 
เราจะได้เห็นข้อบกพร่องของเราทั้งวัน 
และในขณะที่เราได้เห็นข้อบกพร่องของเราทั้งวันนั้น 
แสดงว่าเราก็มีข้อสมบูรณ์ขึ้นด้วยกัน 
เพราะเรามีสติ เราจึงเห็นข้อบกพร่องของเรา.. 
เราไม่ต้องสนใจกับเรื่องอะไรทั้งนั้น 
ให้สังเกตดูตั้งแต่เรื่องหัวใจที่จะปรุงเรื่องอะไรขึ้นมา
แล้วบังคับไว้ภายในกายกับจิตนี้ 
ท่านว่าสติปัฏฐาน ๔ คือฐานที่ตั้งแห่งสติ 
พูดง่ายๆ ถ้าจิตเราได้ตั้งอยู่กับกายนี้แล้ว 
สติบังคับสติไว้กับกายนี้แล้ว 
ปัญญาท่องเที่ยวอยู่ในสกลกายนี้แล้ว 
เรียกว่าได้เดินทางในองค์แห่งอริยสัจอย่างสมบูรณ์

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566

#ต้องศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างสันทิฏฐิโก

ถ้าไม่มีเรื่องสันทิฏฐิโกแล้วล้มเหลวหมด 
เรื่องของธรรมะจะขาดสันทิฏฐิโกไม่ได้
สิ่งที่จะต้องสันทิฏฐิโกก่อนเรื่องอื่นนั้น
ก็คือเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, 
เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ธัมมารมณ์ คู่ปรับของมัน, คู่สร้างของมัน,
แล้วเกิดเป็นภาวิตญาณ เป็นผัสสะ
เป็นเวทนาอย่างไร นี้ต้องเป็นสันทิฏฐิโก.
แล้วก็เป็นเรื่องแรก ตามที่
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า 
เป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์. ในส่วน
ปริยัติก็ต้องเรียนเรื่องนี้เป็นเบื้องต้น,
ปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติเรื่องนี้เป็นเบื้องต้น,
ปฏิเวธก็ต้องได้ผลเกี่ยวกับเรื่องนี้
เป็นเรื่องแรก ; นี่สันทิฏฐิโก ที่ตา หู จมูก 
ลิ้น กาย ใจ ที่จะมาสันทิฏฐิโก 
กับ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ 
ธัมมัง สาระณัง คัจฉามิ ยากนะ, 
นี้ว่าแต่ปากทั้งนั้น ยังไม่สันทิฏฐิโก
นี้ยากที่สุด. แล้วค่อยศึกษาเพิ่มเติมๆ 
จนกว่าจะสันทิฏฐิโก.

เราต้องดับทุกข์ในหัวใจของเราเอง
ให้ได้เสียก่อน ; จะเห็นพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นสันทิฏฐิโก
ได้ก็ต่อเมื่อเราดับทุกข์ได้ 
ในจิตใจของเราเอง ; 
สันทิฏฐิโกทางปริยัติ
นี้เป็นแนวบ้างเท่านั้น ; 
แต่มันไม่ใช่ตัวจริง  
แต่ก็ยึดไว้ก่อน
เพื่อเป็นหลัก เป็นแผนที่ 
พอจิตดับทุกข์ได้ รู้สึกว่าไม่มีทุกข์ทีหนึ่ง
ก็โอ้ พระพุทธเจ้า เป็นอย่างนี้ 
พระพุทธเจ้าองค์ไหนที่ไหนเมื่อไร
ก็เป็นอย่างนี้เอง, คือความดับทุกข์
พระสงฆ์ผู้ดับทุกข์ตามก็เป็นอย่างนี้เอง ; 
เมื่อนั้นแหละ มีสันทิฏฐิโกในพระพุทธ
ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ขึ้นมา.

พุทธบริษัททุกคนแหละ 
อย่าปล่อยปละละเลยในเรื่องที่จะ
ทำให้มีสันทิฏฐิโกในตัวพระธรรม
ในตัวพระศาสนา.

🪷 พุทธทาสภิกขุ
      ธรรมะเล่มน้อย 
      หน้า ๒๙-๓๑

วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2566

. ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น

. ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน
     ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน

      จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

    โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 
    วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร

    ขอน้อมจิตกราบนมัสการ สาธุครับ
.

วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2566

อดีตชาติสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้า

พระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อพระปุลินปูชกเถระได้เล่าประวัติในอดีตชาติสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้าไว้ว่า เราขนเอาทรายเก่าที่โคนต้นโพธิ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ออกทิ้ง แล้วเกลี่ยทรายอันสะอาดไว้ ทรายนั้นขาวเสมือนกับเกล็ดแก้วมุกดาใหม่ ๆ บุญส่งผลให้เราไปเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติในวิมานทองสูงหลายโยชน์ รุ่งโรจน์ไปด้วยแก้วอันเป็นทิพย์ (ต้นโพธิ์ที่พระวิปัสสีพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ คือ ต้นแคฝอย)

ในกัปที่ 91 จากกัปนี้ เราได้ถวายทรายใด ด้วยผลการถวายทรายนั้นเราไม่รู้จักทุคติเลย (คือ ไม่ไปนรก ไม่ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน) นี้เป็นผลแห่งการถวายทราย ในกัปที่ 53 จากกัปนี้ เราได้เป็นกษัตริย์คือเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีกำลังมาก มีพระนามว่า มหาปุลินะ (พระเจ้าจักรพรรดิ คือ กษัตริย์ผู้ปกครองทวีปทั้ง 4)

ในพุทธกาลนี้ เราเกิดในตระกูลหนึ่งที่สมบูรณ์ด้วยสมบัติ เจริญวัยแล้วเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงออกบวชแล้วเจริญวิปัสสนาและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 (คุณธรรมและคุณวิเศษของพระอรหันต์) เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว  

คำอธิบาย และแหล่งอ้างอิง

1. หากเราไม่ได้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้พบพระอริยสงฆ์ แต่ได้พบพระพุทธศาสนา ก็ให้ทำบุญกับพระภิกษุผู้มีศีลผู้ปฏิบัติดี ทำบุญกับวัด หรือ ให้ทำบุญ "สังฆทาน" เพราะได้บุญมากแม้ยุคนี้พระภิกษุส่วนใหญ่จะเป็นสมมติสงฆ์ก็ตามดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในทักษิณาวิภังคสูตรว่า "ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้นเราก็กล่าวว่ามีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้" 

สังฆทาน คือ การให้ทานแก่สงฆ์ ทำได้หลายรูปแบบ เช่น ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน สร้างศาสนสถานถวายสงฆ์ เช่น กุฏิ ศาลาโรงฉัน อาคารปฏิบัติธรรม หรือทอดกฐิน ทอดผ้าป่า หรือขนทรายไปถวายวัด ก็ถือเป็นสังฆทานเช่นกัน 

2. บุญที่ทำให้พระปุลินปูชกเถระได้บรรลุเป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ใช่เฉพาะบุญในชาตินั้นอย่างเดียว เป็นผลบุญรวมที่สร้างมาหลายชาติ แต่บุญนั้นท่านประทับใจจึงกล่าวไว้ในประวัติ 

3. กัป เป็นหน่วยเวลาชนิดหนึ่งซึ่งนานมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กัปหนึ่งนานแล มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี ฯลฯ หรือว่าเท่านี้ 100,000 ปี เหมือนอย่างว่า นครที่ทำด้วยเหล็ก ยาวหนึ่งโยชน์ (16 กิโลเมตร) กว้างหนึ่งโยชน์ สูงหนึ่งโยชน์ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด บุรุษหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้นโดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้นถึงความสิ้นไป เพราะความพยายามนี้ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป กัปนานอย่างนี้"

4. พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่ม 71 หน้า 106 - 107, เล่ม 26 หน้า 515-516, เล่ม 23 หน้า 395.

**เรื่อง อภิญญา ของหลวงพ่อสุ่น พระอาจารย์ ของหลวงพ่อปาน **หลวงพ่อฤาษี


* หลวงพ่อฤาษีลิง~พระราชพรหมยานฯ.. เล่าให้ฟัง

..." **หลวงพ่อสุ่น องค์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ มีความเคารพมาก**..

* **มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จไปจอดเรืออยู่หน้าวัด ( วัดบางปลาหมอ ) มองเห็นนกกระยางบินผ่านมาหน้าวัด ก็ยกพระแสงปืนยิง.. ปรากฏว่า.. ปืนยิงไม่ออก..**

~ **และผลที่สุด จะหันปากกระบอกปืน ไปทางไหน อากาศในบริเวณวัดนั้นทั้งหมด ยิงไม่ออก**..

* พระองค์มีความสงสัย เลยขึ้นไปหาท่านเจ้าอาวาส สมัยนั้นคือ หลวงพ่อสุ่น..

~ **หลวงพ่อเลยบอกว่า : อย่าว่าแต่อากาศเลย อะไรในวัดนี้ก็ยิงไม่ออกทั้งนั้น..**

~ ท่านถามว่า : เป็นเพราะอะไรครับ..

~ **หลวงพ่อสุน ท่านบอกว่า : เป็นเพราะอำนาจพุทธานุภาพ..**

* พระองค์ได้ฟังอย่างนั้น ก็ปลื้มใจและเกิดปีติ และมีความมั่นใจ.

~ ก็เลยถามว่า : ถ้ากระผมอยากจะเป็นคนยิงไม่ออกบ้างจะได้ไหมครับ..

~ ท่านก็บอกว่า : **ได้.. แต่ต้องรับปากเสียก่อนว่า.. นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเขตบริเวณวัดทั้งหมด จะไม่ทำอันตรายต่อสัตว์ จะไม่ละเมิดของสงฆ์..**

* ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ก็รับคำ แล้วหลวงพ่อสุ่นก็ขอพระแสงปืนประจำตัว เป็นปืนเล็ก ๆ กระบอกหนึ่ง เอามาเสก.. เสกแล้วก็ส่งให้..

* **ท่านบอกว่า : นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าพระองค์ติดพระแสงปืนกระบอกนี้อยู่ล่ะก็ ยิงไม่ออก อาวุธทุกอย่างทำอะไรพระองค์ไม่ได้..**

~ พระองค์ก็บอกว่า : อาวุธทุกอย่างอาจจะไม่ได้ติดตัวในบางขณะ และผมอยากจะให้ตัวผมเอง ไม่มีอันตรายจากอาวุธ..

~ **หลวงพ่อสุน ก็บอกว่า : ถ้าอย่างนั้น ก็ก้มพระเศียรมา..**

* **ในหลวง ท่านก็ก้มพระเศียรลงไป หลวงพ่อสุ่นก็ลงกระหม่อมให้ แล้วก็บอกให้มหาดเล็กลองยิง ให้ยิงเดี๋ยวนั้น ปรากฏว่า.. ยิงไม่ติด ทำให้ในหลวงรัชกาลที่ ๖ มีความเลื่อมใสมาก..**

* นี่ เป็นปฏิปทาอีกตอนหนึ่งของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ( จ.พระนครศรีอยุธยา ) ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน..

~ ที่นำเอาประวัติของพระคู่สวด และพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน มาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อจะได้ทราบว่า..

* **คนที่มีบุญญาธิการสูง มีบารมีมากอย่างหลวงพ่อปาน ท่านจึงพบแต่ครูบาอาจารย์ที่ดีมีความเป็นพระจริง ๆ มีความเคร่งครัด มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส มีความรู้ความสามารถครบถ้วนทุกอย่าง และ มีการสำเร็จมรรคผลมาก่อน..**

~ **จึงจัดว่า เป็นการเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่เกิดมาบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า..."**

( จากหนังสือ *ธัมมวิโมกข์* พ.ศ. ๒๕๒๕ ฉบับที่ ๒๓ หน้าที่ ๑๑๖-๑๑๙ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..คัดลอกโดย ยุพยง พัฒนเจริญ )

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์7 #หลวงพ่อฤาษี4

วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2566

พระคุณแม่

_ 🙏 "#พระคุณของแม่"🙏
… ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ คนไทยได้รับการอบรมให้มีความกตัญญูกตเวทิตาต่อผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะแม่ผู้ให้กำเนิด เพราะคำว่า แม่ เป็นคำที่ไพเราะ ซาบซึ่ง เมื่อพูดถึงลูกทุกคนมักหวนระลึกถึงพระคุณของแม่ที่มีต่อตนอย่างมากมาย ยากที่จะหาโอกาสตอบแทนพระคุณของท่านให้หมดสิ้นได้
... พระพุทธเจ้าทรงยกย่องผู้ที่เป็นพ่อแม่ว่า "เป็นพระพรหม เป็นบูรพาจารย์ และเป็นอาหุเนยยบุคคล เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยงดู และแสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย" 

... พระคุณของแม่ที่เด่นชัด ตามคำสอนในพระพุทธศาสนาท่านพรรณนาไว้ ๔ ประการ 

... 1. แม่เป็นพระพรหมของลูก คือ แม่มีคุณธรรมเหมือนกับพระพรหมอยู่ ๔ ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งเรียกว่า พรหมวิหารธรรม แปลว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระพรหม เพราะพระพรหมผู้สถิตอยู่บนชั้นพรหมโลกนั้นท่านมีคุณธรรมต่อสัตว์โลกเหมือนกันหมด แม่ก็เช่นเดียวกัน คือ มีพรหมวิหารธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ต่อลูกทุกคน มีเมตตา ปราถนาให้ลูกทุกคนมีความสุข ความเจริญ มีกรุณา สงสาร ต้องการจะให้ลูกผู้มีความทุกข์พ้นจากความทุกข์ มีมุทิตา แสดงความยินดีด้วยความจริงใจเมื่อลูกของตนได้ดีมีสุข และมีอุเบกขาการวางเฉย ไม่ขวนขวายกังวล ในเมื่อทราบว่าลูกของตนเติบใหญ่ มีงานทำเลี้ยงตัวได้ หรือมีครอบครัวเป็นหลักป็นฐานแล้ว      

... 2. แม่เป็นเทพองค์แรกของลูก เพราะแม่เป็นผู้มีอุปาระก่อนกว่าเทพเหล่าอื่น ... เทพมี ๓ ประเภท คือ อุปปัตติเทพ ได้แก่ พวกที่เกิดเป็นเทดาโดยกำเนิด สมมติเทพ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ วิสุทธิเทพ ได้แก่ พระอรหันต์สาวก แม่ พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นวิสุทะเทพ เพราะท่านไม่คำนึงถึงความผิดที่ลูกกระทำผิดต่อท่าน แม่ให้อภัยเสมอ และหวังความสุข ความเจริญแก่ลูกอย่างเดียว เหมือนวิสุทธิเทพ คือ พระอรหันต์ไม่คำนึงถึงความผิดที่พวกคนพาลประพฤติผิดในท่าน หวังความเจริญแก่พวกเขาอย่างเดียว        

... 3. แม่คือครูคนแรกของลูก สอนให้ลูกรู้สิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ นอนแบเบาะให้รู้จักสัมผัสนิ้วมือของแม่ ให้รู้จักได้ยินเสียงเป็นเบื้องต้น และเมื่อเติบโตขึ้นมายังสอนว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ ให้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน ต่อมาอาจารย์อื่น ๆ จึงสอนหรือให้การศึกษาตามลำดับ      

... 4. แม่เป็นบุคคลที่ลูกควรนำของมาบูชา เพราะท่านเป็นผู้มีอุปการคุณก่อน ต่อลูกทุกคน ...ตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น พระอริยบุคคล จัดเป็นบุคคลที่ชาวโลกควรนำของมาบูชาเพราะท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูง สิ่งของที่บูชาหรือให้แก่พระอริยบุคคลจึงมีผลมาก เมื่อแม่มีคุณสมบัติเป็นดังพระอรหันต์อยู่ในบ้านใกล้ตัวเราเช่นนี้ ถ้าลูกต้องการที่จะได้บุญมาก ก็ควรบำรุงท่านให้มีความสุขกายสุขใจ โดยการไปหาท่าน ไปให้กำลังใจท่าน ไปกราบท่านบ้าง ให้สบายใจเถิด   

... พระคุณของแม่ที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ปรากฏเป็นที่ชัดเจนแล้วต่อลูกทุกคน เว้นเสียแต่ว่าลูก ๆ บางคนยังคิดน้อยเนื้อต่ำใจอะไรบางอย่างที่ตนไม่เข้าใจ และนี่เป็นการยืนยันว่า คำสอนทางพุทธศาสนาได้เน้นถึงพระคุณของแม่ไว้ เมื่อลูกรู้ว่าแม่มีพระคุณมากอย่างนี้ ก็ควรแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน โดยสามารถทำได้ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ด้วยการช่วยเหลือ เกื้อกูล เลี้ยงดูเป็นอย่างดี และเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน อีกทั้งยังชักนำให้แม่ไม่มีศรัทธา ...ให้มีศรัทธาในทาน ศีล ภาวนา หรือ เมื่อท่านมีศรัทธาในทาน ศีล ภาวนา อยู่แล้ว ต้องเพิ่มพูนศรัทธาให้มากขึ้น จะทำให้แม่มีความสุขใจ ภูมิใจในลูกของตน อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นการรักษาวัฒนธรรมอันดีงามประจำชาติอันเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญประการหนึ่งของไทยเรา ...

Cr ข้อมูลจาก https://www.kroobannok.com/16561

Cr ภาพประกอบ : พุทธมารดา (พระนางสิริมหามายา) ประดิษฐานหน้าพระอุโบสถ วัดเจริญธรรม (ถ้ำภูตอง) จ.ลพบุรี (ขอบคุณเจ้าของภาพ)

จิตภาวนา

กว่ายี่สิบปีที่มีมาด้วยการเจริญจิตภาวนา เริ่มฐานมาจากสมาธิกำหนดจิตตั้งไว้ ด้วยสติแห่งการประคองมองเห็นเป็นไปในลมหายใจเข้าออกบอกตน มิมีกังวลสงสัยมากมายตนหรือค้นหา เพียงแค่รู้แค่เห็นตั้งไว้ในชายคาธรรมดาๆมีมาแล้วลาไป ปกติธรรมดาๆมิหาใส่ จะชั้นไหนอะไรวุ่นวายหา แค่สงบจบได้ไร้อัตตามิยึดมียึดมาหาใส่ตน มิหวังผลมุ่งผลสับสนจิต มิยึดติดจิตยอมไร้ให้ค้นหา สิ่งใดมีก็แค่มีมินำพา เอามามีเอานำมาหาใส่ตน จิตฝึกตนมิสับสนตนฝึกจิต นิ่งสนิทสงบจบค้นหา เกิดสติแจ้งในผลกุศลปัญญา ได้แยกแยะพิจารณา ละลาใจที่ไฝ่ปอง ก้าวเดินตามองค์ศาสดา ฐานภายใน อย่ายึดโลกแบกโลก หลงโลกเที่ยวตามหา เมื่อมองโลกเห็นโลกแค่มีมา เป็นธรรมดา หมั่นพิจารณาหนทางไป ธรรมในธรรมกุศลธรรมนำดวงจิต ทุกชีวิตล้วนผูกจิตติดกรรมหนา ธรรมชะล้างสะสางเบาบางลงที่ติดมา มิโหยหาอยู่สบายเรียบง่ายกายใจตน...(ก็แค่มองตนเห็นตนเองในระดับหนึ่งเท่านั้นจ้าไม่เป็นบรรทัดฐานสำหรับท่านใดน้า....สาธุ

#พรหมสูตร ๑-ว่าด้วยสกุลที่มีพรหม

#พรหมสูตร ๑-
ว่าด้วยสกุลที่มีพรหม
             [๖๓] ภิกษุทั้งหลาย 
บุตรของสกุลใดบูชามารดาบิดาภายในเรือนตน สกุลนั้นชื่อว่ามีพรหม 
บุตรของสกุลใดบูชามารดาบิดาภายในเรือนตน สกุลนั้นชื่อว่ามี
บุรพาจารย์ 
บุตรของสกุลใดบูชามารดาบิดาภายในเรือนตน สกุลนั้นชื่อว่ามีบุรพเทพ
บุตรของสกุลใดบูชามารดาบิดาภายในเรือนตน สกุลนั้นชื่อว่ามีอาหุไนยบุคคล
             คำว่า “พรหม” นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา คำว่า “บุรพาจารย์” นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา คำว่า “บุรพเทพ” นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา คำว่า “อาหุไนยบุคคล”นี้เป็นชื่อของมารดาบิดา๒- ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร
                          มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์ประชา
                          ท่านเรียกว่าพรหม บุรพาจารย์
                          และอาหุไนยบุคคลของบุตรทั้งหลาย
                          เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงนมัสการ
                          และสักการะมารดาบิดานั้นด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน
                          การอบกลิ่น การให้อาบน้ำ และการชำระเท้า
@เชิงอรรถ :
@๑ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๓๑/๑๘๓
@๒ มารดาบิดาชื่อว่า พรหม เพราะมีพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
@ชื่อว่า บุรพาจารย์ เพราะเป็นอาจารย์คนแรกที่สอนลูกให้เรียนรู้การนั่ง การยืน การเดิน การนอน
@การเคี้ยว การกิน รวมทั้งสอนให้รู้จักพูด และรู้จักอะไรควรอะไรมิควร ชื่อว่า อาหุไนยบุคคล เพราะ
@เป็นผู้ควรแก่ปฏิการคุณที่บุตรพึงทำตอบแทน เช่น การปรนนิบัติท่านด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม
@(องฺ.ติก.อ. ๒/๓๑/๑๑๑-๑๑๒)
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๑ หน้า : ๑๐๗}

                                                                 พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต [๒. ทุติยปัณณาสก์]

                                                                 ๒. ปัตตกัมมวรรค ๕. รูปสูตร

                          เพราะการปรนนิบัติมารดาบิดานั้นแล
                          บัณฑิตทั้งหลายจึงสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง
                          เขาตายไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์
พรหมสูตรที่ ๓ จบ

อ้างอิง:พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๑ หน้าที่ ๑๐๗-๑๐๘.
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_line.php?B=21&A=3177
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=21&siri=63

คนที่ดูแลพ่อแม่อย่างดี ไม่มีทางตกต่ำ

คนที่ดูแลพ่อแม่อย่างดี ไม่มีทางตกต่ำ แม้ตัวเองต้องรับกรรมที่ทำมา ก็จะมีบุญจะมีคนช่วย เพราะความกตัญญูของเราเอง
โอวาทธรรม หลวงปู่แบน ธนากโร

พระพันปีหลวงทรงพระโสดาบัน

⚜️ #พระพันปีหลวงทรงพระโสดาบัน⚜️
✴️ ก็เล่าถึงนิมิตว่า ก่อนจะไปมีนิมิตเกิดขึ้นอันหนึ่ง คือว่าก่อนที่จะลงกรรมฐาน สอนกรรมฐานคืนนั้นคืนแรก ตอนทุ่มหนึ่งพอใจสบาย ก็เห็นท่อน้ำแป๊ปที่เราต่อไว้ แต่ว่ามันมีน้ำใสท่วม ท่วมขึ้นมาสูง แต่น้ำนี่ใสมากและท่อแป๊ปก็ขาด ท่อแป๊ปมันขาดออกไปแต่มันไม่สลายตัว มันขาด มันห่างกันไปนิด ฉันเห็นฉันก็นิ่งเสีย ฉันก็ไม่ตีความหมายพยากรณ์นิมิต

✴️ ทีนี้ต่อมาตอนเช้ามืด ลุกขึ้นมาจงกรมตอนตี 3 กว่าๆ #ก็จงกรมเดินไปเดินมาก็เห็นสมเด็จองค์ปฐมท่านมา ท่านก็ถาม

“นิมิตตอนหัวค่ำเธอรู้ไหมว่าเป็นเรื่องอะไร...?”

ก็เลยบอก “เรื่องอะไรข้าพระพุทธเจ้าจะยุ่งกับนิมิต”

บอก “บ๊ะ ! ฉันบอกเรื่องนิมิต เธอไม่คิดมั่งเลย”

บอกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่คิด เรื่องอะไร ถ้าจะบอกก็บอกตรงๆ มานั่งคิดเรื่องนิมิตก็ปวดหัวตาย เดี๋ยวก็มีนิมิตอย่างโน้นเดี๋ยวก็มีนิมิตอย่างนี้ ไม่เอาด้วย นิมิตนี่ไม่เอา”

✴️ ท่านก็เลยบอกว่า “#การไปคราวนี้มีคนหนึ่งนะ #มีอารมณ์เข้าถึงพระโสดาบัน”
ฮึ! ท่านบอกนะ

บอก “น้ำใสนั้นแสดงว่าน้ำใจบริสุทธิ์ มีอารมณ์เป็นกุศล ไอ้ท่อแป๊ปที่มันขาด แต่ขาดมันไม่ละลาย ขาดห่างออกไป แต่แป๊ปนี่มันเป็นเหล็ก ถ้ามันจะกลับเข้ามาชนกัน มันก็เนื้อไม่ติดกันตามเดิม ก็แสดงว่าคนผู้นั้นเข้าถึงโลกุตตรธรรมและก็เป็นโลกุตตรธรรมเบื้องต้น”

⚜️และถามท่านว่า “ใคร...?”

“#ก็จะเป็นใคร #ก็พระราชินีเจ้าภาพแกนี่”

✴️ #ท่านบอกไปเลย ท่านบอก ก็เลยเล่าให้ท่านฟัง บอกนี่พระท่านว่างี้ เชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็แล้วไป จริงก็ช่างไม่จริงก็ช่าง ก็ตอบเล่าเรื่องนิมิต แล้วท่านก็สงสัย พระราชินีท่านก็นั่งนึก บอก “เอ๊ะ ! คนอย่างฉันจะเป็นพระโสดาบันได้หรือ...?”

ก็เลยเรียนถามท่าน บอกว่า “แล้วคนประเภทไหนที่เขาเป็นพระโสดาบันได้...?”

✴️“คนที่เป็นพระโสดาบันได้ก็คือ มีอาการ 32 มีสติสัมปชัญญะดี มีจิตน้อมไปในกุศล”

🙍ท่านก็ถามว่า “พระโสดาบัน องค์พระโสดาบันมีอะไรบ้าง...?”

🤵ในหลวงบอก “เอ๊ะ! ฟังอยู่ทุกวันน่ะ” (หัวเราะ) ตอนนี้ขู่ ฟังทุกวัน

🙍ท่านบอก “ฉันก็อยากจะขอความมั่นใจ”

⚜️ก็เลยทูลท่าน บอกว่า

✴️“พระโสดาบันมี 3 ขั้น เอกพิชี โกลังโกละ สัตตักขัตตุปรมะ แต่ว่าจะเป็นขั้นไหนก็ตาม นั่นก็คือ

🙏1. มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมันมีความเลื่อมใส มีจิตน้อมนึกมั่นคง

🙏ประการที่ 2 มีศีลบริสุทธิ์

🙏ประการที่ 3 มีอารมณ์หยั่งพระนิพพาน”

ท่านก็นั่งนึก คงจะนึกไล่เบี้ยไปเอง “เอ๊ะ! ถ้าอย่างนี้ฉันก็คงจะมีแล้ว”

🤵ในหลวงบอก แหม...ฉันไม่นึกว่าเธอจะซื่อขนาดนี้เลย (หัวเราะ) ทะเลาะกัน วันนั้นรู้สึกครื้นเครงมาก พวกชาววังดีใจมาก ตอนเช้ามาเล่าให้ฟังดีใจ บอก แหม...หลวงพ่อมารู้สึกว่า ในหลวงรู้สึกพระพักตร์สดชื่น เจอะหน้าใครก็ยิ้มตลอด เวลาตอนเช้าพวกเขาก็ว่า ตามปกติเห็นท่าน พระพักตร์ท่านเครียดตลอดเวลา

🤵บอก “ฉันไม่นึกว่าเธอจะซื่ออย่างนี้เลย ความจริงฉันนึกมานานแล้วว่า อันนี้เธอทำได้แล้ว แต่ฉันขี้เกียจพูด ฉันก็ไม่อยากพูด ฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันรอถามหลวงพ่อเหมือนกัน นี่เธอถามเสียก่อน”

✴️ โดยมากถ้ามีปัญหาแล้ว พระราชินีท่านชิงถามก่อน 

🙍พระราชินีท่านก็รู้สึกว่า ท่านถามมาอีกทีบอกว่า “#ถ้าจะทำให้มั่นคงนี่”

⚜️ บอกว่า “#มีอันเดียว #คือว่าใช้อุปสมานุสสติเป็นปกติ (ระลึกถึงพระนิพพาน) แต่ว่าที่พูดเมื่อกี้นี้ ขอพระองค์อย่าทรงคิดว่าอาตมาพยากรณ์ #นี่เป็นที่อาตมานิมิตไปแล้วพระท่านมาพูดแบบนั้น อาตมาไม่มีสิทธิ์ในการพยากรณ์ว่าใครจะเป็นพระอริยเจ้าขั้นไหน”

✴️ ท่านบอกท่านรับทราบ ดีไม่ดีท่านไปเล่าให้ชาวบ้านหาว่าเราพยากรณ์ ซวยใช่ไหม ท่านบอกท่านบันทึกเทปไว้ทั้งหมด ในหลวงบอก ไม่เป็นไรหลวงพ่อ ผมบันทึกไว้หมดแล้ว ใครก็ว่าไม่ได้ หลวงพ่อก็พูดตามนิมิต อันนี้รู้สึกท่านบันทึกไว้หลายเทป เท่าไรรู้ไหม 5 ชั่วโมง เศษเท่าไรก็ไม่รู้ ก็ 5 คาสเซทกว่าน่ะ คุยกันไปท่านก็บันทึก ท่านขออนุญาตบันทึก

เอ๊ะ ! คุยๆไป 
🙍พระราชินีตรัสถามว่า “ประเทศลาวนี่จะกลับเป็นอิสรภาพได้ไหม...?”

✴️ นั่น ! เอาเข้านั่น พระเจ้าแผ่นดินมองหน้าว่า นี่เธอถามยังไง วันนี้เราคุยธรรมะกัน พระราชินีบอก อันนี้ก็ธรรมะเหมือนกัน ฉันสงสารเขานี่ ฉันสงสารเขา ฉันก็มีพรหมวิหาร 4 (หัวเราะ) ฉันก็สงสารเขานี่ ฉันเห็นเขาลำบากฉันก็สงสารเขา

⚜️ก็เลยบอกว่า “ประเทศลาวมีโอกาสเป็นอิสรภาพตามเดิม แต่ว่าต้องขอเวลานิดหน่อย แต่ไอ้ไข้กว่าจะหายนี่ต้องฉีดยากันบ้าง ผ่าตัดกันบ้าง อาจจะต้องแหลกลาญกันไปบ้างชั่วขณะหนึ่ง”

🙍ท่านก็หันมาถามว่า “ประเทศไทย”

⚜️บอก “#ประเทศไทยก็ไม่เป็นไร #แต่ว่าต้องผ่าตัดกัน #คำว่าผ่าตัดก็หมายถึงว่า #ต้องผ่าตัดทั้งภายในและผ่าตัดทั้งภายนอก”

✴️ ท่านก็พอใจ ท่านเชื่อเพราะว่า ท่านหญิงวิภาวดีเคยเล่าอะไรให้ฟัง บอกว่าถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆล่ะก็ ต้องรับฟัง บอกว่าถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆล่ะก็ ต้องรับฟังด้วยนะ เพราะเสียท่ามาสองหนแล้ว อีตอนรัฐบาลเสนีย์น่ะท่านถามว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ไปได้นานไหม บอก ไม่เกิน 5 วันไป นี่ 3 วันไปนะ

✴️ และตอนที่ไปสุโขทัย วันนั้นได้สตังค์แปดหมื่นเศษ ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อไปที่พระรูปพระเจ้ารามคำแหง เลยบอกว่าไม่ดันไม่ไป ถ้ายังไม่ถึงแสนไม่ลุก ไม่ยอมลุกจากที่ อีก 10 นาทีกว่าๆ ก็ได้แสน ครบแสน ท่านก็เลยวิทยุไปกราบทูลในหลวง
พระราชินี

🙍ท่านก็เลยบอกว่า #ท่านหญิงวิภาวดีเคยบอกไว้ #ถ้าหลวงพ่อพูดเล่นๆ #หัวเราะล่ะก็ #ต้องรับฟังไว้ด้วยนะ แล้วท่านก็เลยบอกว่า เอ๊ะ ! มันก็จริงมาทุกอย่างที่รับฟังมา อันนี้ฉันเชื่อ บอกว่า เชื่อก็... ฟังอาตมาแล้วก็ฟังคนอื่นด้วย พระเจ้าแผ่นดินก็เลยบอก เอ๊ะ ! หมอดูหลายคนเขาก็ว่ายังงั้น ว่า 3-4 ปีข้างหน้าบ้านเมืองจะเรียบร้อยและมีความสงบสุข ว่าคำพยากรณ์ของหลวงพ่อคงจะจริง

⚜️เลยบอกว่า “#อาตมาไม่ได้พยากรณ์เอง #อาศัยพุทธพยากรณ์กับคำพยากรณ์พระอรหันต์สมัยกรุงศรีอยุธยา”

🤵ตอนนี้พระเจ้าแผ่นดินก็ตรัสบอกว่า #ข่าวเขาจะลอบฆ่าผมกับพระราชินีทั้งสองคนมีมาตลอดเวลา ที่นักศึกษาฝ่ายซ้ายอันนี้ฉันได้ยินข่าวมานานแล้วเหมือนกัน และก็ทางตำรวจตระเวนชายแดนเขาก็แจ้งข่าวกันไปทั่ว ให้ป้องกันพระองค์อย่างหนักและราชวงศ์

✴️ และก็ตอนที่แล้วมาท่านเสด็จไปที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีข่าวว่านักศึกษาญวณลูกญวณที่มาเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยน่ะ สองคนมันจะฆ่า ที่รู้ได้เพราะรู้ได้จากตอนนั้น มันไปลาพ่อลาแม่ว่า วันนี้อาจจะไม่ได้กลับและขอลาว่าตามแผน

✴️ ในเมื่อพระองค์พระราชทานปริญญาบัตร พอถึงจังหวะเขาสองคนจะเข้าประหารพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชินีทันที และพร้อมกันนั้นเขาอาจจะตาย เขาพร้อมที่จะตาย

🤵ท่านบอกท่านได้ยินข่าว และก็ผมก็ไป 
⚜️ ถามว่า ทำไมจึงไป 

🤵บอก #ถ้าไม่ไป #เราก็เป็นผู้แพ้ #เราต้องไปในที่ทุกสถานที่เขาจะฆ่าเรา #เราจึงจะไม่เป็นผู้แพ้ ดีไม่ดีข่าวนี้อาจจะปล่อยข่าวเฉยๆ #พอเราไม่ไปเขาจะหาว่าเราขี้ขลาด #ก็เป็นอันว่าพระเจ้าแผ่นดินขลาดซะคนเดียว #คนทั้งประเทศก็ต้องพลอยขลาดด้วย

✴️ นี่น่ะ...น้ำใจของพระองค์เป็นยังไง !

พอถึงตรงนี้ 
🙍พระราชินีก็เลยถามว่า “พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านสามารถจะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่า ทั้งสองคนนี่จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม จะต้องการพระศาสนาทรงตัวอยู่”

⚜️บอกว่า “ก็ได้ #ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อของคอมมิวนิสต์”

🙍ท่านถามอีกที “ว่าฉันทั้งสองคนนี้ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วย และฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งฆ่าไหม...?”

✴️ อีตอนนั้นเราเผลอ เผลอเลย ไม่เผลอก็ไม่รู้ เพราะว่าเวลาจะไปก็อาราธนาสมเด็จฯ ท่านไว้ บอกว่าถ้าถ้อยคำใดที่ควรจะพูด ก็ขอให้พระองค์จัดการพูดไปเอง เราไม่ได้ใช้สมองเลยนะ พอถามตรงนี้เลยไม่รู้นะพูดไปยังไง

⚜️บอกว่า “ก็ในเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และการมาเกิดคราวนี้ต้องการจะเกิดจรรโลงชาติให้คงอยู่ ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข และเรื่องอะไรที่ต้องมาตายเพราะเรื่องคมอาวุธล่ะ ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องตายด้วยเรื่องคมอาวุธอันนี้ไม่มี”

✴️ ความจริงพูดกับพระเจ้าแผ่นดิน เขาไม่พูดว่าตายนะ ต้องเป็นสมเด็จใหญ่แน่ เพราะท่านคุมอยู่ใช่ไหม ท่านคุมไปตลอดเวลา พระราชินีก็ยิ้ม ก็คุยกันไปคุยกันมา และท่านก็เตือนพระเจ้าแผ่นดินว่าใช้เวลามาก ท่านบอกว่า พักทีหลวงพ่อจะเหนื่อย ใช้เวลาเข้าไป 3 ชั่วโมงกว่าแล้ว ท่านก็เตือน พระเจ้าแผ่นดินท่านก็เฉย ท่านก็คุยของท่านไปเรื่อย ไอ้เราก็ต้องคุยกับท่านนะ

✴️ แล้วพระราชินีก็เสด็จออกไปข้างนอกสักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเปิดประตูเข้ามา ท่านก็มาบอกว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อที่ไม่เคยเห็นหลวงพ่อเลย คือพวกชาววัง เขาต้องการจะมานมัสการหลวงพ่อ ท่านก็เลยเปิดประตูไว้

✴️ ความจริงเรื่องนี้มันควรที่จะเป็นเรื่องของพระเจ้าแผ่นดินท่านตรัสน่ะ เราก็พูดไปเองบอกว่าก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ให้เขาเข้ามาไหว้ก็ได้นี่ ไอ้เราเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเองน่ะตอนนั้น (หัวเราะ) มันชักจะนอกคอกไปแล้ว เห็นจะเป็นสมเด็จใหญ่ เพราะท่านคุมอยู่

🤵พระเจ้าแผ่นดินท่านหัวเราะ ท่านหันไปตรัสบอก เข้ามาๆสิ อยากจะมาไหว้หลวงพ่อเข้ามา ท่านกวักมือหัวเราะ...หัวเราะใหญ่ ไอ้เราก็นึก...พอรู้สึกตัวก็นึก เอ๊ะ ! นี่ย่องเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเมื่อไรก็ไม่รู้นี่ เอาซะเองแล้ว เขาก็มาเขาก็กราบกราบสัก 5 นาทีเขาก็ไป และคุยกันไปคุยกันมาอีก อีกพักหนึ่ง

🙍พระราชินีบอก เลิกเหอะ หลวงพ่อท่านเหนื่อย ท่านเหนื่อยมากแล้ว นี่ตั้งแต่ 3 โมงมาถึง 2 ทุ่มกว่าแล้ว

✴️ พระเจ้าแผ่นดินท่านก็เฉย ท่านก็ว่าเรื่อย ก็คุยเรื่อยไปยังไม่จบ เรื่องท่านน่ะ ก็ไม่มีอะไร เรื่องกรรมฐานโดยเฉพาะ มาตอนหลังสมเด็จพระราชินีบอก เอายังงี้แล้วกัน เลิกเสียทีเถอะแขกเขามาคอยอยู่ข้างนอกตั้งเยอะแล้ว มันเลยเวลานัดเขาไว้ 2 ทุ่ม (หัวเราะ) ว่าแขกเขามาคอยไปเถอะ หลวงพ่อท่านก็เหนื่อยมากแล้ว

⚜️เราเลยได้จังหวะบอก ถ้างั้นอาตมาขอถวายพระพรลา ลุกมาเลย ก็ล่อเต็มที่ ! ตอนจะลุกมา บอกแหม...ผมยังไม่จบเรื่องเลย วันหลังต้องนิมนต์หลวงพ่อใหม่ ก็เลยบอกท่านบอกว่า ถ้านิมนต์ล่ะก็ ขอให้เป็นข้างนอกแบบนี้สะดวกดี ถ้าในพระราชวังในกรุงเทพฯ ไม่เป็นเรื่อง เพราะการเข้าไปลำบาก ท่านบอก ไม่เป็นไรครับ มันเป็นเรื่องของผม เรื่องของผมก็ไม่ต้องผ่านหน้าประตู ผมจะให้รถหลวงไปรับแล้วเข้ามาคุยกันตามลำพังแบบนี้

✴️ ก็เลยเดินนึกทบทวนมา ทบทวนความหลังว่า ที่วัดนี่ 45 นาทีใช่ไหม เลยเวลา ท่านมีกำหนดเวลาไว้ 15 นาที ก็ว่าเสีย 45 ไปที่สงขลาไม่มีกำหนดเวลา ว่าซะมือเลยใช่ไหม 35 นาที ไปดอยอ่างขาง 3 ชั่วโมง ไปที่ภูพิงค์ฯนี่ 5 ชั่วโมงเศษ นี้ถ้าหากว่าเข้าไปในพระที่นั่งดุสิตสวนจิตรฯนี่ สงสัยจะว่ากันทั้งวันก็ไม่รู้ (หัวเราะ) นี่เอาละจบกันนะ

🖋️📚หนังสือธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 26 หน้า 55-64
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

เรารักษาศีล ศีลรักษาเรา

**เรารักษาศีล ศีลรักษาเรา **หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ
 
 **ศีลเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรมทุกอย่าง**
 หลวงพ่อมักจะเตือนเสมอว่าในขั้นต้นให้หมั่นสมาทานรักษาศีลให้ได้
 แม้จะเป็นโลกียศีล

**รักษาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง
 ก็ให้เพียงระวัง รักษาไป**

สำคัญที่เจตนาที่จะรักษาศีลไว้
 และปัญญาที่คอยตรวจตราแก้ไขตน "เจตนาหัง ภิกขเว สีลัง วทามิ"
 ท่านว่าเจตนาเป็นตัวศีล "เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ"

เจตนาเป็นตัวบุญ
 จึงขอให้พยายามสั่งสมบุญนี้ไว้ โดยอบรมศีลให้เกิดขึ้นที่จิตเรียกว่า **เรารักษาศีล**

ส่วน**จิตที่อบรมศีลดีแล้ว จนเป็นโลกุตรศีลเป็นศีลที่ก่อให้เกิดปัญญาในอริยมรรค
 อริยผลนี้จะคอยรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติมิให้เสื่อมเสีย
 **หรือตกต่ำไปในทางที่ไม่ดีไม่งามนี้แลเรียกว่า **ศีลรักษาเรา**

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์7

วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2566

เวลาทำงานไปนี่ท่านก็บอกให้ภาวนาฝึกเข้าสมาธิไปด้วย

หลวงพ่อมีวิธีสอนง่ายดี
****
บอกสอนพระโยมที่นี่ให้ดูในบารมีเตือนจนบ่อยๆคงต้องพิมพ์ให้ติดประตูห้องแบบหลวงพ่อให้ติดประตูกุฏิ ทุกหลังที่วัดท่าซุงสมัยก่อนแล้วคงดีหากใครบวชยุคนั้นและเคยอยู่คงจำได้

สมัยก่อนราวปี33 ที่วัดท่าซุงนี่มีพระยังไม่มากสักราวยี่สิบกว่ารูปได้ อาตมาอยู่กุฏิ10หลังที่เป็นเรือนไม้ก่อนจะย้ายมาอยู่ห้องธัมมวิโมกข์ปี34ที่หลังโบสถ์ ที่กุฏิหลังที่2นี่ชั้นล่างจะมีกระดาษแปะสองสามแผ่น ที่หน้าประตูด้านใน ใครจะเปิดเข้าเปิดออกนี่ จะเห็นตลอดดูทุกวันเห็นทุกวันวันละหลายรอบนานไปก็ท่องได้เอง 
เรื่องพรหมวิหาร4, บารมี10,สังโยชน์10นี่ ดูจำแล้วก็ทำปฏิบัติไปด้วยเป็นวิธีนึงที่หลวงพ่อเอามาใช้ฝึกพระแบบนึงง่ายๆแต่สำคัญน้ะ

ฟังหลวงพ่อพูดนี่เข้าใจเลยท่านบอกยังทำไม่ได้ก็ให้ดูทุกวันเห็นทุกวันเดี๋ยวมันก็จำได้เอง จิตมันมีสภาพจำเป็นการฝึกจิตให้จำจนชินก่อนคู่กับการปฏิบัติทำไปด้วยแล้วนานไปมันก็เตือนเราเองทำให้มันติดอยู่ในใจจนเป็นปกติเลยอัตโนมัติที่นี้มันก็จะเตือนสติเราอยู่ตลอดเวลา
ในเรื่องเหล่านี้ สมัยนั้นพระเรานี่มีงานทำกันทุกวันงานก่อสร้าง งานเดินสายไฟ งานปลูกป่าปลูกต้นไม้งานต่างๆสารพัด และเวลาทำงานไปนี่ท่านก็บอกให้ภาวนาฝึกเข้าสมาธิไปด้วย จับอารมณ์กรรมฐานไปด้วย นึกถึงพระพุทธเจ้านึกถึงความตายนึกถึงพระนิพพาน ตายเมื่อใหร่ขอไปพระนิพพานเอาไว้ อาตมาหรือทุกคนก็ต้องทำตามนี้เป็นพื้นฐานหลักก็ได้เห็นอะไรต่างๆของตัวเราเองนี่จากวิธีการที่ท่านให้ทำ มันจริงๆท่านสอนของจริงคู่กับดูในกรรมฐาน40 กับวิธีปฏิบัติกรรมฐาน ที่ท่านสอนนี่ หากทำตามจริงทำถึงตรงเข้าใจที่บอกก็ได้จริงมรรคผลก็ตามมาได้จริง

ท่านสอนให้จับจุดง่ายๆแบบนี้ทำทุกวันทุกเวลาที่นึกได้ เพราะหลักใหญ่นี่ทิ้งไม่ได้เลย ให้ไล่ดูตนเองทุกวันว่าที่ดูทุกวันนี่ทุกเช้าว่าพร่องตรงไหน ตอนยังทำไม่ได้ก็ท่องใว้ก่อน เป็นการฝึกจิตให้จำคู่กับการทำ และท่านก็รับรองว่าหากทำแบบท่านว่าทุกวันแล้วนี่หากตายไปนี่ไปได้แน่นอน

ต้องกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ทำให้ไม่มีวันไหนที่ลืมเลยจากวิธีแบบนี้ของท่านน้ะ สามารถเขียนแปะประตูห้องและนำเอาไปทำให้ได้น้ะ
******

ที่มา
พระอธิการสมมาศ(ลพ.ติงลี่)
วัดประตูด่านจ.กาญจนบุรี

วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

อานาปานสติ

🙏ดูลมหายใจเข้าออก(อานาปานสติ)นั้น ดูสะสมได้ ตัวอย่างเราดูลมมา9ปี ทุกวัน แรกๆ40-50วินาที เพิ่มเป็น1นาที 2นาที 3นาที 5นาที ดูลมทีล่ะนิดล่ะหน่อย จนดูลมได้นิ่งสงบได้นาน พิจารณาตรง 9ปี ทุกวัน จึงดูลมหายใจรวม ไม่รู้กี่หมื่นนาที ดูบ่อยๆในตลอดวัน 
ฝึกหยุดคิดด้วยเป็นหลัก เราจึงมีสมาธิสูงมาก(บอกให้รู้เพื่อพยายามฝึกฝน) สูงเพราะเราได้สำผัส เราไม่ปรุงแต่งความคิดได้ 
นอกจากจะดันให้คิดถึงจะคิด และคิดน้อยมาก เพราะกำลังในการฝึกหยุดคิดและดูลมหายใจนั้นสูง จึงหยุดคิดได้เอง โดยไม่ต้องกดข่มเหมือนตอนแรก กำลังก็คือการสะสมฝึกหยุดคิด และดูลมหายใจเข้าออก และการไม่ปรุงแต่งความคิดได้นั้น คือที่สุด ไม่มีเรื่องให้คิดมาก ไม่มีนอนไม่หลับ เพราะไม่มีเรื่องคิดทุกข์ให้นอนไม่หลับ หลับ2-3ชั่วโมงก็เต็มอิ่ม

#ใช้ปัญญาควบคุมศีลและสมาธิ

     ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแนะนำว่า #นิสสัมมะ #กรณัง #เสยโย ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด เพื่อการกระทำ พระองค์ทรงให้ใคร่ครวญด้วยอำนาจปัญญาเสียก่อนว่าการกระทำนี่ดีหรือชั่ว เป็นจริยาของคนดีหรือจริยาของคนเลว ถ้าทำไปแล้วบัณฑิตติเตียน แม้ว่าคนพาลจะชมว่าดีขนาดไหน เราก็ดีไปไม่ได้

     ถ้าทำไปแล้วบัณฑิตสรรเสริญคนพาลจะติเตียนขนาดไหนก็ตาม เราก็เลวไม่ได้เหมือนกัน ข้อนี้ขอทุกท่านจงสังวรไว้ให้มาก ความทุกข์ความเดือดร้อนใด ๆ ที่เกิดขึ้นก็เพราะขาดเรื่องปัญญาเป็นเครื่องใคร่ครวญ การสร้างความเลวมักจะนิยมกันว่าเป็นความดี นี่แสดงว่าน้ำใจของบุคคลนั้นมาจากอบายภูมิ ไม่มีจุดรักสงบ ไม่มีจุดรักความดี การกระทำความชั่วก็เป็นการแสดงออกของกิเลส การพูดชั่วเป็นการแสดงออกของกิเลสเหมือนกัน

     ก็มามองดูคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ท่านว่า #อัตตนา #โจทยัตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองอยู่เสมอ เราต้องเตือนตัวเราเองให้มาก คือเตือนใจว่าที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงสั่งสอนไว้ว่า

     #สัพพปาปัสสะ #อกรณัง เธอทั้งหลายอย่าทำความชั่วทั้งหมด หมายความว่าพูดก็ทำความชั่ว คิดก็ทำความชั่ว กรรมแปลว่าการกระทำ ทำชั่วก็ไม่ทำ พูดชั่วก็ไม่พูด อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเราจะดีได้

     #กุสลัสสูปสัมปทา ทรงแนะนำบอกว่าทำแต่ความดีฝ่ายเดียว

     #สจิตตะ #ปริโยทปนัง ชำระจิตของเราให้ผ่องใสแสดงว่าจิตดี จิตดีมีอาการอย่างไร จิตดีก็ควบคุมศีลให้บริสุทธิ์ คุมอารมณ์ให้ทรงตัว ไม่ยอมให้จิตเป็นทาสของนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ เจริญวิปัสสนาญาณรู้เท่าทันตามความเป็นจริงไม่มีความประมาท นี่ดี...

โอวาทธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ กรรมฐาน ๔๐ หน้า ๓๓๕

10สุดยอดพระเกจิ กับ ตำนานกบไสไม้

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2452 สมเด็จพระสังฆราช (เข) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงมีพระดำริในการทดสอบพลังจิตและความเข้มขลังของพระเกจิทั่วสยามประเทศขึ้นที่วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม นัยว่าเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะ "พระดี-เกจิดัง" ในสายวิปัสสนากัมมัฏฐานและเฟ้นหา “สุดยอดพระเกจิ” (ตามประวัติน่าจะมีเพียงครั้งเดียว) โดยนิมนต์พระเถรจารย์และเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศมาชุมนุมมากกว่า 100 รูป

งานนี้เรียกได้ว่า พิธีชุมนุมพระเกจิชื่อดังทั่วแดนสยาม ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คงไม่ผิดนัก

ในพิธีมีการทดสอบวิทยาคมและพลังจิตอย่างเข้มขลัง โดยคัดเลือกเกจิอาจารย์ครั้งละ 10 รูป ด้วยวิธีจับสลาก จากนั้นนำท่อนไม้ 1 ท่อน มาวางบนม้า 2 ตัว จากนั้นนำกบไสไม้วางบนท่อนไม้ โดย สมเด็จพระสังฆราช (เข) ทรงบอกกติกาว่า เกจิทุกรูปจะต้องใช้พลังจิตบังคับให้กบไสไม้วิ่งไสไม้ไป-กลับโดยกบห้ามหล่นลงมาเด็ดขาด หากใครพลังจิตแก่กล้าจริงก็จะสามารถทำได้ หากใครพลังจิตยังไม่สุดยอดก็ต้องยอมล่าถอยไป ปรากฎว่าหลังการทดสอบผ่านไป 3 วัน 3 คืน เกจิส่วนใหญ่ใช้พลังจิตบังคับกบวิ่งไสไม้ได้ทั้งนั้น แต่บังคับวิ่งไปข้างหน้าได้ทางเดียว บังคับกลับไม่สำเร็จ

มีเพียงเกจิ 10 รูปเท่านั้นที่สามารถบังคับกบไสไม้ได้ทั้งไป-กลับ ถือว่าเป็น 10 พระเกจิสุดยอดแห่งสยามประเทศอย่างแท้จริงและปัจจุบันคงหาเกจิรุ่นใหม่เทียบได้ยากยิ่ง โดยเกจิทั้ง 10 รูป ได้แก่

1.หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร
2.หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ
3.หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง กรุงเทพฯ
4.หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี
5.หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม จ.พระนครศรีอยุธยา
6.หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
7.หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
8.หลวงพ่อจอน วัดดอนรวบ จ.ชุมพร
9.หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม
10.หลวงพ่อทอง วัดเขากบ จ.นครสวรรค์

เจ้ามาคนเดียว เจ้าก็ไปคนเดียว

ตอนมา : เจ้ามาคนเดียว
ตอนไป : เจ้าก็ไปคนเดียว
ตอนมา : เจ้าอ่อนแอ
ตอนไป : เจ้าก็อ่อนแอ
ตอนมา : เจ้าไม่มีเงินทองข้าวของมากมาย
ตอนไป : เจ้าก็ไม่มีเงินทองข้าวของอะไรเลย
ตอนเจ้าอาบน้ำครั้งแรก มีคนอาบให้เจ้า
ตอนเจ้าอาบน้ำครั้งสุดท้าย ก็มีคนอาบให้เจ้า
นี่คือ ความจริงของชีวิต !!!
.
แล้วทำไมมนุษย์เราจึงมีเต็มไปด้วย
ความอาฆาตพยาบาท อิจฉาริษยา
เกลียดชัง ขุ่นเคือง หยิ่งทะนง โลภ
และเห็นแก่ตัวมากมาย ขนาดนั้นไปทำไมกัน
เพราะตอนที่เราต้องจากไป
เราก็เอาอะไรไปไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
มีแต่บุญและบาปเท่านั้น ที่จะติดตัวเจ้าไปสู่ภพใหม่
.
คำสอนสุดท้ายก่อนพระพุทธองค์
จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระองค์ตรัสสอนไว้ว่า "จงอย่าประมาท"
1. อย่าประมาทในชีวิตว่าจะยืนยาว
2. อย่าประมาทในวัยว่ายังหนุ่มยังสาว
3. อย่าประมาทในสุขภาพว่ายังแกร่งกร้าว
4. อย่าประมาทในเวลาว่ายังเหลือมากเกินจะกล่าว
5. อย่าประมาทในธรรมะและบุญกุศลว่า
    "เอาไว้ก่อน วันหลังค่อยทำ"
ใครก็ตามที่ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
คนคนนั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้ใช้ชีวิตที่คุ้มค่าที่สุด
ส่วนใครก็ตามที่ประมาท พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เป็นคนที่ตายไปแล้วครึ่งตัว
คำถามสำคัญที่สุด
ที่เราจะถามตัวเองก่อนจากโลกนี้ไป
ก็คือ ท่านได้เตรียมตัวให้พร้อม
ต่อการจากลาโลกนี้ไปแล้วหรือยัง ?
.
มาตัวเปล่าแล้ว ก็ไปตัวเปล่า
ตายแล้ว เอาอะไรไปไม่ได้เลย
ตายแล้วไปไหน คนเราเกิดมาทำไม
จงอย่าประมาทในการใช้ชีวิตเลย !!!
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

ครู 8 คน ในชีวิตเรา

"...ครู 8 คน ในชีวิตเรา..."
๑. ครูคนแรกที่สอนให้เราเป็นคนดี คือ คนแรกที่เราเรียกว่า แม่
๒. ครูคนที่สอง ที่สอนให้เราเป็นคนเก่ง คือพ่อ
๓. ครูคนที่สามที่สอนเราให้อ่านออกเขียนได้คือ ครูในโรงเรียน
๔. ครูคนที่สี่ ที่สอนให้เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมคือ เพื่อน
๕. ครูคนที่ห้า ที่สอนให้เราใช้ชีวิตคู่คือ คู่ครอง
๖. ครูคนที่หก ที่สอนให้เรารู้จักในการให้คือ ลูก
๗. ครูคนที่เจ็ด ที่สอนให้เรารู้จักคำว่าอภัยคือ ศัตรู
๘. และครูคนสุดท้าย ที่สอนให้เราเรียนรู้ชีวิต คือ ตัวเราเอง

โอวาทธรรม หลวงปู่แหวน สุจินโณ 
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

#ธรรมะ #ธรรมทาน #คติสอนใจ 
#คติ #คติธรรม #พระศาสดา 
#ศาสนา #พุทธวจน #พระพุทธเจ้า
#ศีล #ศีลธรรม #พุทธศาสนา

ปาฏิหาริย์ข้ามทวีปของ "หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้"

ปาฏิหาริย์ข้ามทวีปของ "หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้"
"....ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวสารคดีดัง ว่า ที่รอดตาย เพราะ พระดีที่เมืองไทย..."

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของ วิลาศ มณีวัต นักเขียนชื่อดังแห่งประเทศไทยคนหนึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความน่าเชื่อถือได้มากพอสมควร เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ โดยรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นลองไปอ่านกันดีกว่าครับ 

 มีนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งแวะมาที่สำนักงาน “สตูดิโอ เท็น” ถนนอรรถการประสิทธิ์ ตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว ทีมงานมากมายตัดต่อภาพยนตร์สารคดีท่องเที่ยวชุด “ชีพจรลงเท้า” อยู่นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นั้นยังหนุ่มอยู่ หน้าตาหล่อเหลาเล่นหนังได้สบาย พอเขายื่นนามบัตร ผมก็นึกออกว่าเป็นใคร เพราะหลานผมที่กำลังเรียนอยู่ที่ปารีสได้มีจดหมายฝากฝังมาก่อนแล้วว่าถ้าเจ้าหนุ่มคนนี้โต๋เต๋มาถึงบางกอกล่ะก็ ขอให้ผมช่วยรับรองหน่อย เพราะเขามีบุญคุณเคยช่วยเหลืออุปการะหลานผมมากในปารีส

 นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นี้กำลังเขียนประวัติ ประธานาธิบดี ชาร์ลส์ เดอโกลล์ ผู้นำคนสำคัญของฝรั่งเศส วิธีเขียนหนังสือของฝรั่งเศสนั้น เขาใช้เวลาค้นคว้ามาก อ่านหนังสือกันเป็นตั้งๆเท่านั้นยังไม่พอ ต้องออกเที่ยวสัมภาษณ์ใครต่อใครให้ยุ่งไปหมด แล้วเอาเรื่องราวมาปะติดปะต่อกันเข้า ภายหลังจากที่ได้สอบถามแล้วว่า เรื่องเล่าเหล่านั้น เชื่อถือได้

เขาบอกว่า จากการสัมภาษณ์นายพลคนสนิทของเดอโกลล์ เขาได้ทราบว่า เมืองไทยมี "พระดี" อยู่องค์หนึ่ง และตอนที่เดอโกลล์ถูกยิงด้วยปืนกล กระสุนปืนกลถูกรถพรุนไปทั้งคัน แต่เดอโกลล์ก็รอดตายมาได้อย่างมหัศจรรย์

“ภริยาของเดอโกลล์เชื่อว่า เดอโกลล์รอดตายครั้งนั้นเพราะ พระผู้มีอภินิหารยิ่งใหญ่ในเมืองไทย ได้เสด็จไปช่วยชีวิตไว้” เขาบอก
 
นักเขียนฝรั่งเศสคนนี้เล่าต่อไปว่า เขาเองไม่เชื่อในเรื่องอภินิหารและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีใจกว้างยินดีที่จะรับฟังเขาจึงได้ไปที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในปารีส สอบถามคนไทยที่นั้นว่า
"เคยได้ยินเรื่อง พระไทยสำแดงอิทธิฤทธิ์ไปช่วยชีวิตประธานาธิบดีเดอโกลล์หรือเปล่า" ไปถามทีแรกไม่มีใครรู้เรื่องเขาจึงไปอีกหนหนึ่ง คราวนี้พบผู้หญิงไทย เธอคงจะเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงบอกกับเขาว่า “พระที่มีอภินิหารองค์นี้ชื่อ หลวงพ่อเทิด อยู่ทางส่วนใต้ของประเทศไทย” นี่เป็นคำเล่าของนักเขียนฝรั่งเศส

 ผมฟังแล้วรู้ทันทีว่า เขาจำชื่อผิด ที่ถูกควรเป็น "หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ปัตตานี" ผมเป็นลูกปักษ์ใต้ จึงทราบดี

นักเขียนคนนี้อุตส่าห์บินมาเมืองไทย ก็เพื่อจะถ่ายภาพหลวงพ่อทวด เอาไปลงประกอบในหนังสือประวัติเดอโกลล์ ที่เขาเขียนจวนจะเสร็จแล้ว ผมบอกว่า หลวงพ่อทวด มรณภาพไปนานแล้ว เวลานี้มีแต่พระเครื่อง ถ้าจะถ่ายรูป ก็ต้องถ่ายพระเครื่อง ซึ่งคนไทยถือกันว่า "ศักดิ์สิทธิ์มาก เคยช่วยชีวิตคนมามากแล้ว"

แต่บอกตรงๆ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่า หลวงพ่อทวดรู้จักนายพลเดอโกลล์ได้อย่างไรคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ๆหมดน้ำชาไปกาหนึ่ง นักเขียนฝรั่งเศสบอกว่า ไหนๆก็มาแล้ว จะขอเดินทางไปปัตตานีไปถ่ายภาพวัดช้างไห้ และจะสัมภาษณ์พระในวัด หรือชาวบ้านบางคนด้วย

 “มันเป็นเรื่องน่าสนใจ” เขาว่า “คนฝรั่งเศสเองก็เชื่อในเรื่องของอภินิหารและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย”

ผมก็เลยต้องไปปัตตานี ไปเจอะเอาเพื่อนจุฬาฯ รุ่นก่อนผมปีหนึ่ง เขาเคราพนับถือ "สมเด็จหลวงพ่อทวด" มาก เขาจึงให้หนังสือเล่มเล็กๆผมมาเล่มหนึ่งชื่อ"อภินิหารสมเด็จหลวงพ่อทวด” 

ผมจึงแปลเป็นเลาๆให้นักเขียนฝรั่งเศสฟังว่า...

ในราว พ.ศ.๒๕๐๔ หรือ พ.ศ.๒๕๐๕ นี้แหละ ได้มีการปลุกเสกหลวงพ่อทวดฯ ทางวัดได้ส่งพระเครื่องจำนวนหนึ่งมาให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อแจกจ่ายให้แก่นายทหารคนใกล้ชิดบางคนในจำนวนนายทหารไม่กี่คนที่ได้รับแจกพระเครื่องสมเด็จหลวงพ่อทวดฯ นี้มีพลโทอำนวย ชัยโรจน์ ทูตทหารบกประจำฝรั่งเศสรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง 

พลโทอำนวย ชัยโรจน์ได้รับแจกไปสององค์ ก็เลยได้นำติดตัวไปฝรั่งเศสด้วย ระหว่างอยู่ที่ปารีส ทูตทหารบกประจำฝรั่งเศสผุ้นี้ได้เข้าพบประธานาธิบดีเดอโกลล์ และเนื่องจากมีความนิยมในตัวของเดอโกลล์อยู่แล้ว จึงได้มอบ "พระเครื่องสมเด็จหลวงพ่อทวดฯ" ให้แก่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสไปองค์หนึ่งพร้อมกับอธิบายให้เดอโกลล์ฟัง ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวดว่า 

ถ้าอาราธนานึกถึงด้วยความเคารพล่ะก็ อาจสามารถเสด็จไปช่วยเวลามีภัยมาถึงตัว ถึงอยู่ฝรั่งเศสก็เสด็จไปถึงได้ เพราะในโลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้น ลัดนิ้วมือเดียว กะพริบตาทีเดียว...ก็ไปถึงฝรั่งเศสแล้ว

เมื่อได้ "พระสมเด็จหลวงพ่อทวดฯ" ไปแล้ว ประธานาธิบดีเดอโกลล์ก็พกติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง

ผมปะติดปะต่อเรื่องเอาเองได้ความว่า ต่อจากนั้นไม่กี่เดือนก็เกิดเหตุการณ์ระทึกใจ กล่าวคือเดอโกลล์ผู้เข้มแข็งได้ถูกพวกใต้ดินคณะหนึ่งระดมยิงด้วยปืนกล ในระหว่างที่อยู่ในรถยนต์กับภริยาในกรุงปารีส เป็นที่น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง กระสุนปืนกลถูกรถพรุนไปทั้งคัน การยิงก็อยู่ในระยะประชิดมาก แต่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก็รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์

เดอโกลล์เงียบไม่ได้วิจารณ์แต่ภริยาของท่าน บอกกับเลขานุการว่า เธอเชื่อเหลือเกินว่า สามีรอดตายเพราะ "สมเด็จหลวงพ่อทวดฯ" ได้เสด็จไปช่วยชีวิตไว้เพราะเธอเป็นคนอธิษฐาน พอได้ยินเสียงรัวปืนกล เธอก็นึกขอให้ "พระ" เสด็จมาช่วย

นักเขียนฝรั่งเศสได้สัมภาษณ์พระที่วัดช้างไห้ และสัมภาษณ์ชาวบ้านอีกสองสามคนผมส่งเขาขึ้นเครื่องบินกลับปารีสไปแล้วปลายปีนี้หนังสือประวัติเดอโกลล์ของเขา ก็คงจะออกวางจำหน่าย เขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะต้องส่งมาให้ผมหนึ่งเล่ม

เรื่องอภินิหารแบบนี้ ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะไม่เชื่อ ผมเองเมื่อหนุ่มๆก็ไม่ค่อยจะเชื่อหรอก แต่พอหนุ่มน้อยลงก็เริ่มเชื่อเข้าบ้างแล้วเมื่อเชื่อแล้ว...ก็ไม่อยากทำบาป เห็นใครทำบาปก็นึกสงสารใครด่าทีสองที เริ่มจะไม่โกรธ มีแต่สงสารและเมตตา..."

อ้างอิงข้อมูลจาก - หนังสือหัวเตียง ของวิลาศ มณีวัต หน้า ๒๘-๓๓

*ดี 10 อย่าง** หรือ **บุญ 10 อย่าง**

**ดี 10 อย่าง** หรือ **บุญ 10 อย่าง**
**ดีคือ บุญ หมายถึงสภาพของจิตที่ผ่องใส ดีงาม ให้ผลเป็นความสุข**

**ชั่วคือ บาป หมายถึงสภาพของจิตที่เศร้าหมอง เร้าร้อน ให้ผลเป็นความทุกข์**

**ธรรมสองอย่างนี้เกิดที่ใจและตรงกันข้าม**

**เมื่อบุญเกิด บาปก็เกิดไม่ได้**

**เมื่อบาปเกิด บุญก็หายไป**

**พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า ถ้าทำบุญช้าไป ใจจะยินดีในบาป**

**บุญอย่างย่อ 3 อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา**

**ถ้าขยายเป็น 10 อย่าง บุญกิริยาวัตถุ 10 ได้แก่**

**1.ทานมัย** บุญสำเร็จจากการให้วัตถุเพื่อสงเคราะห์หรือบูชาแก่ผู้อื่น

**2.ศีลมัย** บุญสำเร็จจากการงดเว้นจากทุจริต หรือประพฤติสุจริตทางกาย วาจา

**3. ภาวนามัย ** บุญสำเร็จจากการอบรมจิตให้สงบจากกิเลส (สมถภาวนา) และการอบรมปัญญาเพื่อละกิเลสทั้งปวง(วิปัสสนาภาวนา)

**4 .อปจายนมัย **บุญสำเร็จจากการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน

**5.เวยยาวัจจมัย **บุญสำเร็จจากการขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น

**6.ปัตติทานมัย **บุญสำเร็จจากการให้ส่วนบุญที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว

**7.ปัตตานุโมทนามัย** บุญสำเร็จจากการยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว

**8.ธัมมัสสวนมัย** บุญสำเร็จจากการฟังพระสัทธรรม

**9.ธัมมเทสนามัย ** บุญสำเร็จจากการแสดงพระสัทธรรม

**10.ทิฏฐุชุกรรม **การกระทำความเห็นให้ตรง ถูกต้องตามความเป็นจริง

#พระไตรปิฎก

เนกขัมมะบารมี

สมเด็จองค์ปัจจุบัน สมเด็จองค์ปฐม
  เมื่อวันอังคารที่ ๑๕ มิ.ย. ๒๕๓๖ เพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมร่วมกับผม ท่านฟังเทปที่หลวงพ่อท่านสอน เรื่อง ทานหรือจาคะก็นำไปสู่พระนิพพานได้ หากเราทำบารมีได้ให้เต็ม จะมีผลทำให้บารมีอื่น ๆ อีก ๙ บารมีเต็มได้ด้วย ในการปฏิบัติบารมี ๑๐ หลวงพ่อเริ่มจากทานบารมีก่อน เพื่อนผมฟังแล้วก็พิจารณาว่า สำหรับตนเอง ขอเลือกเอาเนกขัมมะบารมีเป็นบาทต้น เมื่อนึกถึงจุดนี้ สมเด็จองค์ปัจจุบัน ก็ทรงพระเมตตามาตรัสสอนว่า

  ๑. ถ้าจักยึดเนกขัมมะบารมีเป็นบาทแรก ก็สมควรและเหมาะสมดี สำหรับข้อวัตรปฏิบัติเพื่อเนกขัมมะบารมี ขอให้เจ้าจดจำคำตรัสในโอวาทปาฏิโมกข์ คือ

  ก) สัพพะปา ปัสสะ อะกะระณัง คือ ไม่ทำชั่ว ทั้งกาย วาจา ใจ ให้หมั่นค่อย ๆ ละไป โดยยึดหลักสังโยชน์เป็นเครื่องวัด

  ข) กุ สะ ลัส สู ปะ สัมปะทา คือ พยายามทำแต่ความดี ทั้งกาย วาจา ใจ โดยอาศัยสังโยชน์เป็นหลัก

  ค) สะ จิต ตะ ปะริโย ทะ ปะนัง คือ ทำจิตให้ผ่องใส เพียรใช้ปัญญาละจากสังโยชน์ ๑๐ อย่าให้เป็นเครื่องร้อยรัด วาจา และใจ ให้เศร้าหมอง นี่คือหลักการของเนกขัมมะบารมี ที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตั้งแต่องค์ปฐมทรงวางไว้

  ๒. จากนั้นสมเด็จองค์ปฐมทรงเสด็จมาเป็นประธาน ทรงตรัสว่า เราทุก ๆ พระองค์จักพอใจมาก ถ้าหากเจ้าสามารถปฏิบัติตามข้อวัตรของเนกขัมมะบารมีให้มีผล เพราะเป็นจุดประสงค์ตรงความต้องการของเราทุก ๆ พระองค์ จักขนเหล่าสัตว์ทั้งหลายให้เข้าถึงพระนิพพาน ด้วยการบวชในเนกขัมมะบารมี คือ การบวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อ ดับกิเลส คือ สังโยชน์ ๑๐ ให้หลุดออกไปจากการยึดเกาะของจิต จงตั้งใจไว้ในเนกขัมมะบารมี หมั่นทำตามข้อวัตรปฏิบัตินี้ให้เกิดขึ้นกับจิตอยู่เนือง ๆ ระลึกถึงหลักปฏิบัตินี้อย่าให้ขาด มีศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งอยู่เฉพาะหน้าเป็นประจำ จึงจักยังจิตให้ถึงพร้อมตามหลักคำตรัส พระโอวาทปาฏิโมกข์นั้น ๆ

  ๓. เมื่อเจ้าคิดได้โดยตั้งใจเอาเนกขัมมะบารมีเป็นบาทแรกแล้ว ต่อไปเมื่อทบทวนบารมี ๑๐ ก็จงเอาเนกขัมมะบารมีขึ้นหน้า แล้วนำมาเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ดึงเอาบารมีอีก ๙ ประการมาเป็นองค์ประกอบ จุดนี้จักทำให้บารมี ๑๐ ของเจ้าเต็มได้

  ๔. จงหมั่นระวังขันธมารและกิเลสมารเข้ามาขัดขวาง การทำความเพียรในเนกขัมมะบารมีนี้ด้วย

  ๕. ธรรมารมณ์ใดที่เป็นศัตรู ขัดกับพระโอวาทปาฏิโมกข์ เจ้าจงหมั่นละธรรมารมณ์นั้นให้ออกไปจากจิตเสียโดยไว

  ในวันเดียวกันนี้ พอเพื่อนของผมท่านรู้ข่าว เรื่องเปลือกหรือขันธ์ ๕ ที่หลวงพ่อท่านเคยอาศัยอยู่ชั่วคราวนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปบางส่วน ซึ่งมันก็เป็นของธรรมดา แต่จิตของเพื่อนผมมันฟุ้งออกนอกทาง มีการปรุงแต่งธรรม ซึ่งเป็นอุปาทานทำให้เกิดอารมณ์ ๒ คือ พอใจกับไม่พอใจ ทำจิตของตนเองให้เศร้าหมอง ซึ่งขัดกับเนกขัมมะบารมี ซึ่งเพิ่งได้รับคำสอนจากสมเด็จองค์ปฐม ก็ต้องหยุดปรุงแต่งธรรมต่อไป 

หลวงปู่บุดดา ท่านก็เมตตามาสอนว่า

  ๑. พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อย่างท่านฤๅษีตายได้รึ (ก็ตอบว่าไม่ตายค่ะ)
  ๒. เอ้อ แล้วไป ข้าคิดว่าเอ็งจะตอบว่าตายได้เสียอีก เรื่องขันธ์ ๕ เอ็งอย่าเพิ่งไปสนใจเลย ปล่อยไว้ให้เป็นเรื่องของพระท่าน สนใจการปฏิบัติธรรมให้ละสังโยชน์ ๔ - ๕ ให้ได้เสียก่อน
  ๓. แล้วอย่าลืมจรณะ ๑๕ เสียล่ะ พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ ท่านมีกันครบทุกข้อจึงจะถึงนฤพานได้ เนกขัมมะบารมี จึงจะมีผล ข้าไปละ

ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๕ เดือนมิถุนายน ๒๕๓๖ ตอน ๑
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
#สมเด็จองค์ปฐม #ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น

วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566

วิธีฝึกลมหายใจสำหรับผู้ที่ยังฟุ้งซ่านได้ง่าย โดยอาศัยกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

.
หากตามรู้ลมออกเข้าตามธรรมชาติของกายตนแล้วไม่สงบ ไม่อาจดื่มด่ำไปกับลมอันพอดีของตนได้ สิ่งที่ช่วยได้คือหางานให้จิตทำ โดยอาจไล่ไปตามลำดับ ดังนี้
(๐) ผ่อนคลายสีหน้า
.
ดังกล่าวแนะนำไปในครั้งก่อน ว่าควรฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า เพราะมีผลต่อการปรับโหมดร่างกายให้อยู่ในภาวะพัก ซึ่งเอื้อต่อการเกิดสมาธิได้ง่าย และหากสามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทั่วกาย จะช่วยให้สงบง่ายขึ้น
.
อย่างไรก็ดี ผู้ปฏิบัติบางรายอาจพบว่า จิตอยากจะผ่อนคลายกล้ามเนื้อมากกว่าเจริญอานาปานสติ หรือกรรมฐานอื่นที่ตั้งใจไว้ในทีแรก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะนั่นแสดงว่า ธาตุขันธ์ของกายอาจยังมีปัญหา และอาจย้อนมารบกวนจิตใจให้ไม่สงบในภายหลังอยู่ดี 
.
ดังนั้น จึงควรแก้ปัญหาไปโดยลำดับ หรือที่เรียกว่า ทุกข์ให้รู้ และสมุทัยให้ละเสียก่อน คือสะสางและสร้างฐานให้พร้อมมูลก่อน ทำกายให้ดีก่อน จิตจะตั้งมั่นได้มากขึ้นเอง ตามธรรมชาติ (จะแนะนำเรื่องนี้ในโอกาสต่อไป)
.
(๑) หายใจอย่างผ่อนคลาย ไม่บีบปลายจมูก
.
คือการหายใจแบบไม่เพ่ง ไม่จ้องจะเอาความสงบ เพียงหายใจสบายๆ ด้วยความผ่อนคลาย กล้ามเนื้อใบหน้าหรือตลอดทั่วกายไม่ตึง ไม่เคร่ง ไม่ขมวดขมึง 
.
ถ้าวางใจถูก จะรู้สึกเองว่าลมหายใจที่ผ่านจมูกนั้นกว้างขึ้น จะโปร่ง จะโล่ง จะเบา หรือในบางท่าน อาจซ่านสุขที่ปลายจมูกนี้เลย คือเกิดปีติได้ในขั้นนี้ได้เลย ก็สามารถดื่มด่ำในปีตินั้นต่อไป เพื่อสั่งสม หรือฟูมฟักกำลังของจิต ให้ก้าวขึ้นไปยังสมาธิในระดับสูงไปโดยลำดับ
.
(๒) หายใจให้กว้างที่ช่องอก
.
หากลองปฏิบัติในขั้นก่อนแล้วยังไม่สงบ ยังรู้สึกฟุ้งซ่านได้ง่าย ให้ลองขยับมาสำรวจกายตน และหายใจให้ปอดขยับตัวกว้างขึ้น
.
แต่ที่ว่ากว้างในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าให้ฝืนสูดหายใจแรงๆ ยาวๆ เพื่อถ่างอกให้ผายออก นั่นคือสุดโต่งประเภทตึงเกินไป ขณะที่การฟุ้งซ่าน เผลอไปคิดเรื่องต่างๆ คือหย่อนเกินไป ซึ่งล้วนไม่ใช่ทางสายกลาง
.
โดยในที่นี้ หมายแค่ให้สำเหนียกถึงลม ว่ามันขยายช่องอกได้กว้างแค่ไหน พอรู้ได้แล้ว จึงเอาใจไปวางไว้สบายๆ ที่กล้ามเนื้อทรวงอกใกล้รักแร้
.
เพียงเท่านี้ ผู้ปฏิบัติจะพบว่า ลมจะค่อยๆ กว้างขึ้นเอง อย่างเป็นธรรมชาติ และช่วยให้จิตใจอันฟุ้งได้ง่าย สงบลงได้ด้วย เพราะจิตมีงานทำมากขึ้น ง่ายกว่าการไปจดจ่อที่จุดเล็กๆ จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งอาจจะยังยากสำหรับผู้ใหม่ ค่อยๆ ปรับจูนจิตใจที่ฟุ้ง และยังปั่นป่วนจากชีวิตประจำวัน โดยไม่หักดิบเกินไปนัก
.
(๓) หายใจให้ลึกถึงช่องท้อง
.
ไม่จำเป็นต้องฝืนหายใจให้ลึกเช่นกัน เพียงหายใจลึกลงไปในลำคอ คล้ายกำลังกลืนอะไรบางอย่าง จะรู้สึกเสมือนลมไหลลงไปในช่องท้องได้ชัดขึ้นเอง 
.
วิธีนี้ อาจทำให้ช่องท้องพองตัวมากกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เหนื่อย และสงบลงเองได้ง่าย เพราะมีพท.ผิวมาก รู้สึกถึงการขยับไหวได้มาก และมีการเคลื่อนไหวเป็นจังหวะซ้ำๆ แบบไม่ต้องจดจ่อยาวนานนัก แต่ก็ไม่สั้นเกินไป ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตซีโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสงบแบบตื่นตัว จึงเหมาะกับฝึกผู้ใหม่ หรือช่วงเริ่มเข้ากรรมฐานที่จิตใจยังฟุ้งซ่านอยู่ 
.
นอกจากนี้ บริเวณดังกล่าวยังเป็นที่ตั้งของปมประสาทที่เรียกว่า Solar Plexus ซึ่งจะก่อให้เกิดความอุ่นร้อน หรือที่ชาวจีนเรียกว่าปราณได้ง่าย จึงเป็นการบำรุงสุขภาพที่ดีอีกด้วย
.
(๔) หายใจแบบประสาน ตามรู้ลมตลอดสาย
.
ในที่นี้ หมายถึงการหายใจแบบกว้างและลึกพร้อมๆ กัน คือไม่บีบจมูกให้แคบ สูดลมสบายๆ ตั้งแต่ปลายจมูก ลึกลงไปในลำคอ พร้อมๆ กับตามรู้ลมที่ไหลผ่านช่วงอกที่กว้างขึ้นจากการวางใจสบายๆ ไว้ที่กล้ามเนื้อทรวงอกแถวรักแร้ แล้วปิดท้ายด้วยการตามรู้การขยายพองของช่องท้อง 
.
ก่อนจะกักลมไว้ แต่ไม่ใช่กลั้นอยู่พักหนึ่ง เพื่อปลุกความตื่นตัว มีเวลาให้ร่างกายแลกเปลี่ยนก๊าซนานขึ้น จะรู้สึกถึงความอุ่นร้อนในช่องท้อง ที่ยังให้เกิดความสงบได้มากขึ้น
.
และเมื่อหายใจออก ก็ตามรู้ลมอุ่นสบาย ที่รวยรินขึ้นมาตลอดสายจนผ่านปลายจมูกออกจนหมด แล้วพักหายใจนิ่งไว้เล็กน้อย
.
เหล่านี้ เป็นการตามรู้ไปตลอดสาย ทั้งลมออกลมเข้า และเป็นงานให้จิตทำมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ลองทำวิธีต่างๆ ข้างต้นมาแล้วก็ยังไม่สงบ 
.
หรือสงบเป็นบางครั้ง แต่พอชินกับวิธีก่อนๆ มาแล้ว อาการตื่นตัวที่เกิดจากความสนใจจะเรียนรู้สิ่งใหม่ในกายตนหมดไป จากที่เคยช่วยให้สงบ ก็เริ่มไม่ได้ผล ความฟุ้งซ่านกลับมาครอบงำได้ง่ายดุจเดิม
.
โดยวิธีนี้ จะไม่เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติหลุดไปคิดฟุ้งซ่านง่ายนัก ทั้งยังมีประโยชน์ในการปรับธาตุขันธ์ เพราะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ปลุกปราณสุริยะ ที่เป็นพลังหยางของชีวิตอีกด้วย
.
ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติใหม่ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเหล่านี้ทั้งหมดทุกครั้งในเวลาเจริญกรรมฐาน ขอให้สังเกตสภาพของจิตตนในแต่ละวัน แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะสม หรือใช้สิ่งที่เรียกว่า "ธัมมวิจยะ" การวิจัยวินิจฉัยธรรมอันเป็นสัปปายะแก่ตนเป็นครั้งๆ ไป

วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2566

คาถาสมเด็จโต เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย โชคลาภ

🌿คาถาสมเด็จโต 
                       เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย โชคลาภ 
     เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า สมเด็จโต แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ ท่านชื่อว่าเป็นสมเด็จ ๕ แผ่นดิน คือเกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) และมรณภาพลงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) สิริรวมอายุ ๘๔ ปี มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านปริยัติ (การศึกษา) และปฏิบัติ และยังเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวิทยาคมแก่กล้า เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ทั้งในอดีตและปัจจุบัน 

      มนต์คาถาที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำนั้น มีหลายบทด้วยกัน แต่ละบทล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์และมีฤทธิ์อานุภาพแตกต่างกันไปดังต่อไปนี้ 

                       ♦️คาถาขอบุตร ขอทรัพย์ 
                       ปุตตะกาโม ละเภ ปุตตัง ธะนะกาโม ละเภ ธะนัง 
                       อัตถิ กาเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตัง สุตวาฯ 

มนต์คาถาบทนี้ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ใช้บริกรรมเพื่อปลุกเสกพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นคาถาเสริมบารมี เสริมทรัพย์ ผู้ใดหมั่นสวดภาวนาทุกวันจะเกิดสิริมงคลแก่ตน บริกรรม ๑๐๘ จบ ทุกวันติดต่อกัน ๓ เดือน ผู้ที่ปรารถนาบุตร ปรานาโภคทรัพย์ จะได้สมดังปรารถนา 

                       ♦️คาถาคุ้มครองภัย 
                       โตเสนโต วะระธัมเมนะ โตสัฏฐาเน สิเว วะเร 
                       โตสัง อะกาสิ ชันตูนัง โตละจิตตัง นะมามิหังฯ 

ก่อนจะอาราธนาพระสมเด็จห้อยคอ ให้ยกพระขึ้นพนมไว้ในมือ แล้วบริกรรมคาถาบทนี้่ ๓ จบ เป็นการอาราธนาคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ให้คุ้มครองปกปักรักษาให้ปราศจากอันตรายทั้งปวง

ลำดับขั้นอานิสงส์แห่งการให้ทาน ใ น ภ พ ภู มิ ต่ อ ไ ป ..

🌿🌹🌿 ลำดับขั้นอานิสงส์แห่งการให้ทาน
        ใ น ภ พ ภู มิ ต่ อ ไ ป ..
🔸ดูกรสารีบุตร.. 
ในการให้ทานนั้น #บุคคลมีความหวังให้ทาน 
#มีจิตผูกพันในผลให้ทาน #มุ่งการสั่งสมให้ทาน ##ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช

🔸ดูกรสารีบุตร.. 
ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไป แล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า #ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นให้ทาน นั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ 

🔸ดูกรสารีบุตร.. 
บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ... แต่ให้ทานด้วยคิดว่า #บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา #เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี ... ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาชั้นยามา

🔸ดูกรสารีบุตร.. 
บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ... แต่คิดว่าเราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร ... (#คิดถึงประโยชน์ผู้อื่น) ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต ...

🔸ดูกรสารีบุตร.. 
บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ... แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน ... (#ทำเป็นประจำ) ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี 

🔸ดูกรสารีบุตร..
บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ... แต่ให้ทานโดยคิดว่า เมื่อเราให้ทานจิตจะเลื่อมใส #เกิดความปลาบปลื้มโสมนัส ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

🔹ดูกรสารีบุตร.. 
บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ... #แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม 

.
[ ** หมายเหตุ :: ทานที่ได้กระทำบ่อย ๆ #การหวังผลเพื่อที่จะได้สนองตัวตนของตนเอง #ก็จะค่อยๆลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ]

.
🍂 ทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ 
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ 
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

ฌาน 8 ดู ฌาน 8

ฌาน 8 ดู ฌาน 8
มรรคมีองค์ 8 หรือ อัฏฐังคิกมรรค (เรียกเต็มว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า “ทางมีองค์ 8 ประการ อันประเสริฐ องค์ 8 ของมรรค (มัคคังคะ มีดังนี้
       1. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ ได้แก่ ความรู้อริยสัจจ์ 4 หรือ เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้อกุศลและอกุศลมูลกับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท
       2. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ ได้แก่ เนกขัมมสังกัป อพยาบาทสังกัป อวิหิงสาสังกัป กุศลวิตก 3
       3. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ ได้แก่ วจีสุจริต 4
       4. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ ได้แก่ กายสุจริต 3
       5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ ได้แก่ เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาชีพ
       6. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ ได้แก่ ปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4
       7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 
       8. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ ได้แก่ ฌาน 4 

       องค์ 8 ของมรรค จัดเข้าในธรรมขันธ์ 3 ข้อต้น คือ ข้อ 3-4-5 เป็น ศีล 
ข้อ 6-7-8 เป็น สมาธิ 
ข้อ 1-2 เป็น ปัญญา 
ดู สิกขา 3 อริยสัจจ์ 4 และหมวดธรรมที่อ้างถึงทั้งหมด
       มรรคมีองค์ 8 นี้ ได้ชื่อว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง เพราะเป็นข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่จุดหมายแห่งความหลุดพ้นเป็นอิสระ ดับทุกข์ ปลอดปัญหา ไม่ติดข้องในที่สุดทั้งสอง คือ กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค