สิ่งที่ตามมาคือการรู้ชัดซึ่งกายในกาย และเวทนาอันเนื่องด้วยกาย อาทิเช่น
.
เมื่อราคะปรากฏ ก็รู้ชัดถึงไอร้อนที่ซ่านหนัก อึดอัด คุกรุ่น กระตุ้นให้กระสัน อันซ่านโชนขึ้นมาจากเบื้องล่างของกาย
.
เมื่อโทสะปรากฏ ก็รู้ชัดถึงความอึดอัด คับข้อง แน่นตึง เคร่งเครียด เกร็งที่อก นิ่วหน้าผาก หัวคิ้วขมวด ตึงขมึงที่ใบหน้า ตลอดจนแขนขาและทั่วร่างกาย หรือหากมีคำผรุสวาทแม้ในใจ จะรู้สึกถึงการปะทุวาบ ร้อนโพลงพล่านที่หน้าผากได้อย่างแจ่มชัด
.
หรือเมื่อโมหะปรากฏ พัดพาให้ฟุ้ง ซ่านไปในราคะบ้าง โทสะบ้าง หรือมึนซึม ง่วงเคลิ้มตามกิเลสจำพวกโมหะ เวทนาทางกายและปรากฏการณ์ต่างๆ ของกายในกายจะปนเป ปั่นป่วน ผสมผเสไปตามสัดส่วน แล้วแต่อะไรจะเด่นกว่าในขณะที่กลับมาระลึกได้ เป็นต้น
.
เหล่านี้คือบาทฐานของ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตมีราคะก็รู้ว่ามีราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ชัดว่านี่โมหะ ตลอดทั้งรู้กิเลสอันเป็นลูกผสมของมันๆ ที่ปรากฏเป็นปรากฏการณ์ทางกายในกาย เป็นเวทนาทางกาย ในแต่ละขณะได้มากขึ้นๆ นั่นแล
.
หมายเหตุ : อาการซ่านระอุจากเบื้องล่างเมื่อจิตมีราคะ หากเทียบกับความรู้ด้านกายวิภาค สำหรับเพศชายก็ได้แก่ฮอร์โมนเพศ ที่แพร่จากต่อมลูกหมากขึ้นมาตามกระแสเลือดนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น