วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

การปฏิบัติธรรมการภาวนาจะต้องนั่งสมาธิทำอานาปนสติ

#อานาปนสติ เป็นสุดยอดกรรมฐานที่พลิกไปทำได้หลายอย่าง สามารถเป็นได้ทั้ง สมถะและวิปัสสนา สามารถพัฒนาจนถึงสมาธิระดับอุปจาระสมาธิแล้วต่อยอดเข้าฌาน1ไปถึงฌาน8เลยก็ได้ พลิกไปเล่นกสิณก็ได้ พลิกไปเล่นอภิญญาก็ได้
>> ถ้าจะทำสมถะจากอานาปนสติ เช่น การเอาจิตไปเพ่งจับอยู่กับลม , การที่รู้สึกว่าร่างกายกำลังหายใจ ร่างกายกำลังหายใจออก
>> ถ้าจะทำวิปัสสนาจากอานาปนสติ เช่น ( 1 ) ถ้าดูร่างกาย ก็เห็นร่างกายที่หายใจเข้าเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เห็นร่างกายที่กำลังออกเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ( 2 ) ถ้าดูจิต ก็คือรู้ทันจิต เวลาจิตไหลไปคิดก็รู้ เวลาจิตไหลมาเพ่งที่ลมหายใจก็รู้ เวลาจิตเคลื่อนไปเพ่งอะไรก็รู้
>> ถ้าจะเล่นกสิณจากการทำอานาปนสติ เช่น การที่จิตไปเพ่งจับลม ตรงนี้เรียกว่ากสิณลม , การที่จิตไปเพ่งช่องวางในโพรงจมูก ตรงนี้เรียกว่ากสิณช่องว่าง , การที่จิตไปรู้ที่เนื้อของจมูกที่กระทบลมหายใจ ตรงนี้เรียกว่ากสิณดิน , การที่จิตไปรู้ถึงอุณหภูมิของลมหายใจที่เข้าและออก ตรงนี้เรียกว่ากสิณไฟ , การที่จิตรู้การหายใจเข้าหายใจออกจนลมหยุดระงับที่ปลายจมูกจนกลายเป็นแสงสว่าง ตรงนี้เรียกว่ากสิณแสงสว่าง
>> หรือถ้าคนที่ชำนาญในกสิณ ชำนาญในการเข้าฌาน ก็พลิกไปฝึกฤทธิ์ฝึกอภิญญาได้

>> การเพ่งลมหายใจหรือเพ่งอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเข้าใจว่าเป็นการทำสมถะแบบนี้ถูก แต่ถ้าเพ่งลมหายใจแล้วคิดว่าสิ่งที่กำลังทำคือวิปัสสนาแบบนี้ผิด การเอาจิตไปเพ่งจดจ่ออยู่กับลมหายใจอย่างเดียวเป็นสมถะ มันเป็นการข่มกิเลสสงบจากกิเลสได้ชั่วคราว ไม่ได้เกิดปัญญาลดละกิเลสไม่ได้เลย ถ้าทั้งชีวิตฝึกแค่เอาจิตไปเพ่งลมหายใจก็จะได้แค่นี้ ได้แค่สมถะ
*การที่เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมการภาวนาจะต้องนั่งสมาธิทำอานาปนสติอย่างเดียวเท่านั้น เป็นการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนท่านแจกแจงไว้ถึง 4 อย่าง คือ สติปัฏฐาน 4 ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอานาปนสติอย่างเดียว อย่างอื่นก็ทำได้ ถ้ารู้หลัก

https://www.facebook.com/100000306668026/posts/6560527177300773/?mibextid=aE13LE

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น