วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563

อรรถกถา ขันธปริตตชาดกว่าด้วย พระปริตต์ป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ


               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า วิรูปกฺเขหิ เม เมตฺตํ ดังนี้. 
               ได้ยินว่า เมื่อภิกษุนั้นกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ประตูเรือนไฟ งูตัวหนึ่งเลื้อยออกจากระหว่างไม้ผุ ได้กัดเข้าที่นิ้วเท้า ภิกษุนั้นมรณภาพในที่นั้นทันที. เรื่องที่ภิกษุนั้นมรณภาพได้ปรากฏไปทั่ววัด. ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ได้ยินว่า ภิกษุรูปโน้นกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ประตูเรือนไฟ ถูกงูกัดถึงแก่มรณภาพ ณ ที่นั้นเอง. 
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุรูปนั้นจักได้เจริญเมตตาแผ่ถึงตระกูลพญางูทั้งสี่แล้ว งูก็จะไม่กัดภิกษุนั้น. 
               แม้ดาบสทั้งหลายซึ่งเป็นบัณฑิตแต่ปางก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติ ก็ได้เจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ ปลอดภัยอันจะเกิดเพราะอาศัยตระกูลพญางูเหล่านั้น แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า. 
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ แคว้นกาสี ครั้นเจริญวัย สละกามสุข ออกบวชเป็นฤๅษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด สร้างอาศรมบทอยู่ที่คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ เพลิดเพลินในฌาน เป็นครูประจำคณะ มีหมู่ฤๅษีแวดล้อมอยู่อย่างสงบ. 
               ครั้งนั้น ที่ฝั่งคงคา มีงูนานาชนิดทำอันตรายแก่พวกฤๅษี พวกฤๅษีโดยมากได้ถึงแก่กรรม ดาบสทั้งหลายจึงบอกเรื่องนั้นแก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เรียกประชุมดาบสทั้งหมด แล้วกล่าวว่า หากพวกท่านเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ งูทั้งหลายก็จะไม่กัดพวกเธอ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ไป พวกเธอจงเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ แล้วจึงตรัสคาถานี้ว่า :- 
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า วิรูปักขะ 
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า เอราปถะ 
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า ฉัพยาปุตตะ 
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า กัณหาโคตมกะ. 

               พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงตระกูลพญางูทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว จึงกล่าวว่า หากพวกท่านจักสามารถเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ นั้น งูทั้งหลายก็จักไม่กัดไม่เบียดเบียนพวกท่าน แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- 
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ที่ไม่มีเท้า 
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์สองเท้า 
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์สี่เท้า 
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์มีเท้ามาก. 

               พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงเมตตาภาวนาโดยสรุปอย่างนี้แล้ว 
               บัดนี้ เมื่อจะแสดงด้วยการขอร้อง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- 
               ขอสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า สัตว์ที่มีเท้ามาก อย่าได้เบียดเบียนเราเลย. 

               บัดนี้ เมื่อจะแสดงการเจริญเมตตาโดยไม่เจาะจง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- 
               ขอสัตว์ผู้ข้องอยู่ สัตว์ผู้มีลมปราณ สัตว์ผู้เกิดแล้วหมดทั้งสิ้นด้วยกัน จงประสบพบแต่ความเจริญทั่วกัน ความทุกข์อันชั่วช้า อย่าได้มาถึงสัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งเลย. 

               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พวกท่านจงเจริญเมตตาไม่เฉพาะเจาะจง ในสรรพสัตว์อย่างนี้ เพื่อให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยอีก จึงกล่าวว่า :- 
               พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณหาประมาณมิได้ บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ แมงมุม ตุ๊กแก และหนู เป็นสัตว์ประมาณได้. 

               พระโพธิสัตว์แสดงว่า เพราะธรรมทั้งหลายอันทำประมาณมีราคะภายในของสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์เลื้อยคลานเหล่านั้นจึงชื่อว่ามีประมาณ แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย อย่างนี้ว่า ด้วยอานุภาพของพระรัตนตรัยอันหาประมาณมิได้ ขอสัตว์ทั้งหลายอันมีประมาณเหล่านี้ จงทำการปกป้องรักษาพวกเราทั้งกลางคืนกลางวันเถิด 
               เพื่อแสดงกรรมที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- 
               เราได้ทำการรักษาตัวแล้ว ป้องกันตัวแล้ว 
               ขอสัตว์ทั้งหลายจงพากันหลีกไป 
               ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า 
               ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ พระองค์. 

               พระโพธิสัตว์ผูกพระปริตรนี้ให้แก่คณะฤๅษี ก็พระปริตรนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ในชาดกนี้ด้วยคาถาทั้งหลายตอนต้น เพราะแสดงเมตตาในตระกูลพญานาคทั้งสี่ หรือเพราะแสดงเมตตาภาวนาทั้งสอง คือโดยเจาะจงและไม่เจาะจง ควรค้นคว้าหาเหตุอื่นต่อไป. 
               ตั้งแต่นั้น คณะฤๅษีตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ เจริญเมตตา รำลึกถึงพระพุทธคุณ เมื่อฤๅษีรำลึกถึงพระพุทธคุณอยู่อย่างนี้ บรรดางูทั้งหลายทั้งหมดต่างก็หลีกไป แม้พระโพธิสัตว์ก็เจริญพรหมวิหาร มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. 

               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก 
               คณะฤๅษีในครั้งนั้น ได้เป็น พุทธบริษัท ในครั้งนี้. 
               ส่วนครูประจำคณะ คือ เราตถาคต นี้แล.

               จบ อรรถกถาขันธปริตตชาดกที่ ๓

อหิสูตร
             [๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุ
รูปหนึ่งในกรุงสาวัตถีถูกงูกัด ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากพากัน
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปหนึ่งใน
เมืองสาวัตถีนี้ถูกงูกัด ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่
เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ตระกูลพญางู ๔
เป็นไฉน คือ ตระกูลพญางูชื่อวิรูปักขะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อเอราปถะ ๑ ตระกูล
พญางูชื่อฉัพยาปุตตะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อกัณหาโคตมกะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางู ๔ จำพวกนี้เป็นแน่ ก็ถ้าเธอ
พึงแผ่เมตตาไปยังตระกูลพญางูทั้ง ๔ นี้ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิตไปยังตระกูลพญางู ๔ จำพวกนี้
เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน ฯ
                          ความเป็นมิตร ของเรา จงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย ชื่อวิรูปักขะ
                          ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย ชื่อเอราปถะ
                          ความเป็นมิตร ของเราจงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย ชื่อฉัพยา-
                          ปุตตะ ความเป็นมิตรของเราจงมีกับสกุลพญางูทั้งหลายชื่อ
                          กัณหาโคตมกะ ความเป็นมิตรของเราจงมีกับสัตว์ทั้งหลายที่
                          ไม่มีเท้า ความเป็นมิตรของเราจงมีกับสัตว์จำพวก ๒ เท้า
                          ความเป็นมิตรของเราจงมีกับสัตว์จำพวก ๔ เท้า ความเป็น
                          มิตรของเราจงมีกับสัตว์จำพวกมีเท้ามาก สัตว์ไม่มีเท้าอย่า
                          เบียดเบียนเรา สัตว์ ๒ เท้าอย่าเบียดเบียนเรา สัตว์ ๔ เท้า
                          อย่าเบียดเบียนเรา สัตว์มีเท้ามากอย่าเบียดเบียนเรา ขอ
                          สรรพสัตว์ทั้งปวงที่มีลมปราณ มีชีวิตเป็นอยู่ จงได้พบ
                          เห็นความเจริญเถิด อย่าได้มาถึงโทษอันลามกน้อยหนึ่งเลย ฯ
             พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ พระธรรมมีคุณหาประมาณมิได้
             พระสงฆ์มีคุณหาประมาณมิได้ สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย คือ งู แมลงป่อง
             จะขาบ แมงมุม ตุ๊กแก หนู ล้วนมีประมาณ ความรักษาอันเรากระทำแล้ว
             ความป้องกันอันเรากระทำแล้ว ขอหมู่สัตว์ทั้งหลายจงหลีกไปเสีย เรานั้น
             กำลังนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอยู่ กำลังนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗
             พระองค์อยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๗

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๑๙๓๗-๑๙๗๐ หน้าที่ ๘๓-๘๔.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=1937&Z=1970&pagebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=21&item=67&items=1

อรรถกถาอหิสูตรที่ ๗               
               พึงทราบวินิจฉัยในอหิสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :- 
               บทว่า อิมานิ จตฺตาริ อหิราชกุลานิ นี้ ตรัสหมายถึงพิษที่ถูกงูกัด พิษที่ถูกงูกัดเหล่าใดเหล่าหนึ่ง พิษเหล่านั้นทั้งหมดอยู่ภายในตระกูลพระยางูทั้ง ๔ เหล่านี้. 
               บทว่า อตฺตคุตฺติยา คือ เพื่อคุ้มตน. บทว่า อตฺตรกฺขาย คือ เพื่อรักษาตน. 
               บทว่า อตฺตปริตฺตาย คือ เพื่อป้องกันตน. อธิบายว่า เราจึงอนุญาตปริตไว้ดังนี้. 
               บัดนี้ ภิกษุพึงทำปริตนั้นโดยวิธีใด เมื่อทรงแสดงวิธีนั้น จึงตรัสว่า วิรูปกฺเขหิ เม เป็นต้น. 
               ในบทเหล่านั้น บทว่า วิรูปกฺเขหิ ได้แก่ มีเมตตาจิตกับงูตระกูลวิรูปักขะ. 
               แม้ในตระกูลงูที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. 
               บทว่า อปาทเกหิ ได้แก่ มีเมตตาจิตกับสัตว์ไม่มีเท้าทั้งหลาย. 
               แม้ในสัตว์ที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. 
               บทว่า สพฺเพ สตฺตา ความว่า ก่อนแต่นี้ ภิกษุกล่าวเมตตาเจาะจงด้วยฐานะประมาณเท่านี้แล้ว บัดนี้ จึงเริ่มคำนี้ เพื่อกล่าวเมตตาไม่เจาะจง. 
               ในบทเหล่านั้น คำว่า สัตว์ ปาณะ ภูตเหล่านี้ทั้งหมดเป็นคำกล่าวถึงบุคคลเท่านั้น. 
               บทว่า ภทฺรานิ ปสฺสนฺตุ ความว่า จงเห็นแต่อารมณ์ที่เจริญใจเถิด. 
               บทว่า มา กญฺจิ ปาปมาคมา ความว่า สัตว์อะไรๆ อย่าประสบสิ่งอันเป็นบาปลามกเลย. 
               ในบทว่า อปฺปมาโณ พุทฺโธ นี้พึงทราบพุทธคุณว่า พุทฺโธ แท้จริง พุทธคุณเหล่านั้น ชื่อว่าสุดที่จะประมาณได้. 
               แม้ในสองบทที่เหลือก็นัยนี้แล. 
               บทว่า ปมาณวนฺตานิ ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยประมาณแห่งพระคุณ. 
               บทว่า อุณฺณานาภี ได้แก่ แมงมุมมีขนที่ท้อง. 
               บทว่า สรพู ได้แก่ ตุ๊กแกในเรือน. 
               บทว่า กตา เม รกฺขา กตา เม ปริตฺตา ความว่า การรักษาและการป้องกัน ข้าพเจ้าได้ทำแล้วแก่ชนประมาณเท่านี้. 
               บทว่า ปฏิกฺกมนฺตุ ภูตานิ ความว่า สัตว์ทั้งหลายแม้ทั้งหมดอันข้าพเจ้าทำการป้องกันแล้ว จงหลีกไปเสีย. อธิบายว่า อย่าเบียดเบียนข้าพเจ้าเลย ดังนี้.

               จบอรรถกถาอหิสูตรที่ ๗

Captain Xia of Sirius: The Galactics ช่วยคุณได้!

ถ้ากาแลคติกไม่ได้เข้าไปแทรกแซงเพื่อลดพลังงานต่ำที่กระทบโลกในเวลานี้มันคงจะแย่กว่านี้มาก!

ข้อความจาก Captain Xia of Sirius ส่งสัญญาณโดย Inger Noren 

ด้วยความยินดีอย่างยิ่งที่เราสามารถรายงานได้ว่าผู้คนมีสติในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา 
ทุกคนลุกขึ้นและมีการพัฒนาผลึกมากขึ้นในร่างกายของพวกเขา 
ตอนนี้คุณกำลังเคลื่อนไปสู่สิ่งมีชีวิตหลายมิติด้วย DNA ที่ได้รับการพัฒนาด้วยคริสตัลในเซลล์ของคุณ 
ร่างกายที่ทำจากคาร์บอนของคุณหายไปมากขึ้นเรื่อย ๆ 
เรากาแลคติคกำลังทำงานเพื่อส่งแสงสว่างและพลังงานไปยังโลกเพราะแม่ธรณีและมนุษย์พึ่งพาพลังงานจากความรักเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ 
คนงานที่มีน้ำหนักเบาก็ส่งแสงสว่างแห่งความรักจำนวนมากให้เราในกาแลคซีและเราทำงานร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่มีแสงสูงกว่าซึ่งให้พลังงานที่แข็งแกร่งมากแก่โลก 
เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความจำเป็นเนื่องจากการเปิดเผยและความยากลำบากทั้งหมดที่ผู้คนได้รับการเปิดเผย 
นี่เป็นสิ่งจำเป็นเพราะทุกอย่างที่ไม่ใช่พลังงานแสงต้องถูกล้างออกจากโลกและส่งไปยังแสง 
ดังนั้นเหตุการณ์ที่เป็นลบเกิดขึ้นในโลกชั้นในเช่นเดียวกับบนพื้นผิวโลก 
ทุกอย่างจะต้องได้รับการอภัยและถูกส่งไปยังแสงสว่างเพื่อให้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ 
ไม่เคยมีภัยพิบัติทางอากาศและไฟลุกลามอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 
Galactics มีความคิดที่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกและพยายามลดทอนลมแรงและพลังงานต่ำที่กระทบโลกในขณะนี้ 
หากกาแลคติกไม่ได้เข้าไปแทรกแซงในพลังงานและลมเหล่านี้มันจะยิ่งแย่ลงไปกว่านี้ 
มันจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผู้คนในอนาคตอันใกล้ 
ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากมายทั่วโลกและในวงการแพทย์ 
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากกำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้รับยาและโรงพยาบาลกำลังประสบกับวิกฤตที่ร้ายแรง 
เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่วุ่นวาย 
มันจะคงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่มันจะดีขึ้นเมื่อมีระเบียบโลกใหม่ที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น 
รักษาแสงสว่างของคุณและรู้ว่าคุณคือแสงสว่างความรัก 
รู้ว่าคุณเป็นใครและทำไมคุณมาถึงโลกในช่วงชีวิตนี้ 
คุณมาเพราะคุณต้องการช่วยแม่ธรณีให้มีมิติที่สูงขึ้นและโลกควรจะกลายเป็นโลกมหัศจรรย์ที่มันควรจะเป็น 
คุณมาเป็นผู้ปฏิบัติงานเบาเพื่อช่วยแม่ธรณีและคุณได้ทำเพื่อเกียรติยศ 
เรากาแลคติคติดตามผู้คนอย่างใกล้ชิดและเราประทับใจอย่างมากกับความอดทนความแข็งแกร่งที่คุณมีนักแสงทำการรักษาแสงสว่างให้กับทั้งโลก 
เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณนักรบแห่งแสงรู้จริง ๆ ว่างานที่ยิ่งใหญ่ของคุณได้ทำไปแล้วและกำลังทำอะไรอยู่ 
การกระทำที่เรียบง่ายในการรักษาแสงสว่างของคุณส่งผลกระทบต่อทั้งจักรวาลในระดับจิตสำนึกที่สูงขึ้น 
เรามีความสุขมากที่ช่องทางนี้ประกาศว่าผู้คนมีจิตสำนึกที่สูงขึ้นและมีจำนวนผู้คนเพิ่มขึ้นในมิติที่สูงขึ้น 
ด้วยความรัก Captain XIA และทีมงาน
Big ขอบคุณ ..  
In Love ฉันให้บริการ

http://canalgalactique.canalblog.com/archives/2020/03/17/38107279.html

อานิสงส์พระคาถาบารมี30ทัศ

ผู้ใดได้ท่องบ่นทรงจำไว้สาธยายทุกวัน ผู้นั้นจะพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง ปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จดังความมุ่งหมาย

ครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ชั้นดาวดึงส์เทวสถาน ท้าวอมรินทราธิราชเสด็จมาเข้าเฝ้า

แล้วท้าวอมรินทราธิราช ได้ทูลถามว่า…

“ธรรมอันประเสริฐ ที่จะสามารถอำนวยมรรคผลให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติ ขจัดเสียซึ่งภัยอันตราย ที่เกิดขึ้นจากหมู่มนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย ให้พ่ายแพ้ไปด้วยอำนาจอานุภาพ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติ ได้ท่องบ่นสาธยาย(หมายถึง การสวดมนต์)ทรงจำไว้ซึ่งธรรม จะมีอยู่หรือพระพุทธเจ้าข้า”

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า…

“ดูกร มหาราช ธรรมที่ยังผู้ปฏิบัติให้ประสบสุขเช่นนั้นมีอยู่”

ท้าวอมรินทราธิราชจึงทูลถามต่อไปว่า…

“ธรรมนี้ชื่ออะไร พระพุทธเจ้าข้า”

พระบรมครูจึงตรัสว่า…

“พระธรรมนี้ชื่อว่า ปัญญาบารมี”

ท้าวอมรินทราธิราช ทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรมนี้ พระบรมศาสดาทรงแสดงซึ่งปัญญาบารมี ที่พระองค์ได้เคยสร้างมาแล้วในอนันตะชาติว่า… ปัญญาบารมี 30 ทัศ เป็นยอดแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทรงบำเพ็ญมาแล้วอย่างเต็มเปี่ยม จึงได้ตรัสเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลใดได้เขียนไว้สักการบูชาก็ดี ได้สดับฟังทุกวันก็ดี ผู้นั้นจะเป็นผู้มีสมบัติข้าวของมาก ผู้ใดได้ท่องบ่นทรงจำไว้สาธยายทุกวัน ผู้นั้นจะพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง ปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จดังความมุ่งหมาย เป็นที่รักแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง เทวดาย่อมให้พรและตามรักษาบุคคลนั้น ผู้ใดได้ประพฤติบารมี 30 ทัศนี้ ให้บังเกิดมีแก่ตน ย่อมประสบสมบัติ 3 ประการคือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ แม้จะปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะสำเร็จ

เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงปัญญาบารมีจบลงแล้ว ท้าวอมรินทราธิราช แสดงตนเป็นอุบาสก น้อมเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีพ เหล่าเทวดาทั้งหลายได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก

เครดิตบทความต้นฉบับ : www.84000.org

คำแปลศัพท์พิเศษ : พระรัตนตรัย, พระพุทธเจ้า, บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์, อุบาสก

คำไหว้บารมี 30 ทัศ  

พระพุทธเจ้า ประกอบด้วยพระมหากรุณา ยังบารมีทั้งหลายให้เต็ม เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ทั้งหลาย คำอธิบายบารมี 30 อยู่ด้านล่างบทสวด

คำไหว้บารมี 30 ทัศ(แบบครูบาศรีวิชัย)

ทานะ ปาระมี สัมปันโน , ทานะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
สีละ ปาระมี สัมปันโน , สีละ อุปะปารมี สัมปันโน , สีละ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
เนกขัมมะ ปาระมี สัมปันโน , เนกขัมมะ อุปะปารมี สัมปันโน , เนกขัมมะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
ปัญญา ปาระมี สัมปันโน , ปัญญา อุปะปารมี สัมปันโน , ปัญญา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
วิริยะ ปาระมี สัมปันโน , วิริยะ อุปะปารมี สัมปันโน , วิริยะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
ขันตี ปาระมี สัมปันโน , ขันตี อุปะปารมี สัมปันโน , ขันตี ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
สัจจะ ปาระมี สัมปันโน , สัจจะ อุปะปารมี สัมปันโน , สัจจะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
อะธิฏฐานะ ปาระมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ อุปะปารมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
เมตตา ปาระมี สัมปันโน , เมตตา อุปะปารมี สัมปันโน , เมตตา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน , อุเปกขา อุปะปารมี สัมปันโน , อุเปกขา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
ทะสะ ปาระมี สัมปันโน , ทะสะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทะสะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นะมามิหัง

อธิบาย บารมี 30 ทัศ

การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาตินั้นๆ บารมีที่บำเพ็ญนั้นคือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี รวมเรียกว่าบารมี ๓๐ (๓ x ๑๐) โดยแบ่งเป็นบารมีชั้นธรรมดา ๑๐ (บารมี) บารมี ชั้นกลาง ๑๐ (อุปบารมี) และ บารมีชั้นสูง ๑๐ (ปรมัตถบารมี) รวมเป็นบารมี ๓๐ ประการ ในอรรถกถาจริยาปิฎกพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ ได้จัดชาดกเรื่องต่างๆ ลงในบารมีทั้ง ๓๐ ประการ มีนัยโดยสังเขปที่น่าศึกษา ดังนี้

๑. ทานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีวิราช (๒๗/๔๙๙) ทรงบำเพ็ญทานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร (๒๘/๕๔๗) และทรงบำเพ็ญทานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกระต่ายป่าสสบัณฑิต (๒๗/๓๑๖)

๒. ศีลบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญศีลบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัตทันต์เลี้ยงมารดา (๒๗/๗๒) ทรงบำเพ็ญศีลอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญานาคภูริทัต (๒๘/๕๔๓)

๓. เนกขัมมบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอโยฆรราชกุมาร (๒๗/๕๑๐) ทรงบำเพ็ญเนกขัมมอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นหัตถิปาลกุมาร (๒๗/๕๐๙) และทรงบำเพ็ญเนกขัมมปรมัตถบารมี ในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจูฬสุตโสม (๒๗/๕๒๗)

๔. ปัญญาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นสัมภวกุมาร (๒๗/๕๑๕) ทรงบำเพ็ญปัญญาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอำมาตย์วิธุรบัญฑิต (๒๘/๕๔๖) และทรงบำเพ็ญปัญญาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นเสนกบัณฑิต (๒๗/๔๐๒)

๕. วิริยบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญวิริยบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญากปิ (๒๗/๕๑๖) ทรงบำเพ็ญวิริยอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีลวมหาราช (๒๗/๕๑) และทรงบำเพ็ญวิริยปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก (๒๘/๕๓๙)

๖. ขันติบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญขันติบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นจูฬธัมมปาลราชกุมาร (๒๗/๓๕๘) ทรงบำเพ็ญขันติอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นธัมมิกเทพบุตร (๒๗/๔๕๗) และทรงบำเพ็ญขันติปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นขันติวาทีดาบส (๒๗/๓๑๓)

๗. สัจจบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญสัจจบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นวัฏฏกะ (ลูกนกคุ่ม (๒๗/๓๕) ทรงบำเพ็ญสัจจอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาปลาช่อน (๒๗/๗๕) และทรงบำเพ็ญสัจจปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามหาสุตโสม (๒๘/๕๓๗)

๘. อธิษฐานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญากุกกุระ (๒๗/๒๒) ทรงบำเพ็ญอธิษฐานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นมาตังคบัณฑิต (๒๗/๔๙๗) และทรงบำเพ็ญอธิษฐานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเตมิยราชกุมาร (๒๘/๕๓๘)

๙. เมตตาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นสุวรรณสามดาบส (๒๘/๕๔๐) ทรงบำเพ็ญเมตตาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกัณหาทีปายนดาบส (๒๗/๔๔๔) และทรงบำเพ็ญเมตตาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าเอกราช

๑๐. อุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกัจฉปบัณฑิต (๒๗/๒๗๓) ทรงบำเพ็ญอุเบกขาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญามหิส (๒๗/๒๗๘) และทรงบำเพ็ญอุเบกขาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นโลมหังสบัณฑิต (๒๗/๙๔) หมายเหตุ เลขหน้าเป็นลำดับเล่มพระไตรปิฎก เลขหลังเป็นลำดับชาดก เช่น (๒๗/๒๗๓) หมายถึง พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ ชาดกเรื่องที่ ๒๗๓)

การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติหนึ่ง ๆ มิใช่ว่าจะทรงบำเพ็ญบารมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ทรงบำเพ็ญทานบารมี หรือทรงบำเพ็ญศีลบารมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในชาติเดียวกันนั้น ได้บำเพ็ญบารมีหลายอย่างควบคู่กันไป แต่อาจเด่นเพียงบารมีเดียว ที่เหลือนอกนั้นเป็นบารมีระดับรอง ๆ ลงไป เช่น ในชาติที่เป็นพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง ๑๐ บารมี

พฤติกรรม "ซาตาน"ที่ฉกผลประโยชน์ และกดขี่ให้ชาวโลกตกเป็น "หนี้ทาส"

>>บ.เครือข่ายผู้ผลิตอาหารระดับโลกล้วนแล้วแต่อยู่ในความควบคุมของกลุ่ม IIIuminati
ทั้งสิ้น และ มนุษย์เรานั้นกำลังถูก

"วางยา" หรือถูกสอนให้บริโภคอาหารต่างๆ ที่เป็น
ผลิตผลของฝ่ายมืด ที่ถูกตกแต่ง และ ดัดแปลงพันธุกรรมหรือ GMO เพื่อให้เรา "ป่วย"

เป็นโรคต่างๆ โดยเฉพาะ "โรคมะเร็ง" และ โรคร้ายอีกหลายๆ ชนิด ซึ่งมันได้คร่าชีวิตมนุษย์เป็นอันดับต้นๆ ในหลายๆ ประเทศ และ บริโภคนิยมกันทั่วโลก และ ประเทศไทย
ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่นิยมอาหารดัดแปลงพันธุกรรม

หลังจากที่พวกเราบริโภคอาหารต่างๆ เหล่านี้เข้าไปถึงจุดหนึ่ง ที่ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษ ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย เคมี ยาปฎิชีวนะ ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ที่ใช้ฉีดพ่น

เหล่านั้นออกมาได้ด้วยระบบการกำจัดสารพิษซึ่งเป็นไปตามกลไกตามธรรมชาติมันก็ถึงเวลาที่
พวกเราต้อง "ป่วย" และ ใช้บริการทางการแพทย์ และ ยาเคมีต่างๆ ที่พวกมัน IIIuminati
จัดเตรียมไว้ใช้รักษาเราแล้ว ผ่านทางช่องทางของหมอ และ โรงพยาบาล ซึ่งเปรียบเสมือนช่องทางการขายนั่นเอง 

สิ่งที่น่าสังเกตุคือ..

1 ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ก้าวหน้าไปอย่างยิ่งยวดในศตวรรษที่ 20 เรามีอุปกรณ์ไฮเทคทันสมัยมากมายในการตรวจและรักษา แต่ทำไมคนกลับป่วยมากขึ้นโรค
สมัยใหม่ ที่ร้ายแรงชนิดที่รักษาไม่ได้
(เค้าบอกว่าอย่างนั้น)
กลับทำลายชีวิตมนุษย์มากขึ้นในทุกๆ ทวีปทั่วโลกพร้อมๆ กัน

2 โรงพยาบาลและแพทย์มีหน้าที่ในการรักษา จ่ายยา แต่ไม่เคยมีคำอธิบายหรือบอกคนไข้ว่าโรคดังกล่าวนั้นมีที่มาจากอะไร และ เราจะป้องกันอย่างไร 

3 ด้วยเทคโนโลยี่ทางการแพทย์สมัยใหม่ แพทย์ก้าวหน้าแม้กระทั่งถอดรหัสพันธุกรรม ได้ทั้ง พืช สัตว์ แม้กระทั่งมนุษย์สามารถถอดรหัสจีโนมออกมาได้หมด Homan Gynomeเพื่อตัดต่อพันธุกรรมเหล่านั้น

4 จากข้อ 2 โรงเรียนแพทย์สร้างแพทย์เหล่านั้นให้เชื่อฟังบริษัทขายยาเป็น
(สปอนเซอร์โดยบริษัทยาเหล่านั้นเอง)
เพื่อรักษาโรคเหล่านั้นที่ถูกสร้างขึ้น 
แต่กลับไม่มีความพยายามป้องกันให้เกิดโรคเหล่านั้นขึ้นมาเลย หรือแม้แต่แพทย์ผู้รักษาเหล่านั้นเอง ก็ยังเจ็บป่วยและเสียชีวิตจาก
โรคร้ายเหล่านั้นไม่ต่างอะไรกับประชาชนทั่วไป

5 วงจรอุบาทก์ทั้งหมดนี้ทำงานอย่างเป็นระบบ มานานนับร้อยๆ ปีแล้วโดยกลุ่มนายทุนขนาดใหญ่ของโลก เช่น ตระกูล รอคกี้เฟลเลอร์ 1 ใน 13 ตระกูลสายเลือด IIIuminati นั่นเอง...

Teucer Rom...

Cr:แสงสว่าง มองการไกล...
Meditate Now~_~
#Ttango
07/04/2020

Rainbow Light Beings ช่อง: Galaxygirl

 5 เมษายน 2020

 พวกเราคือ Rainbow Light Beings  เรากำลังล้อมรอบโลกของคุณด้วยแสงของเรา  การทำสมาธิทั่วโลกเมื่อไม่นานมานี้ของเกตเวย์ 4/4 ช่วยให้การเข้ารหัสของเราหยั่งรากลึกในหัวใจของเมทริกซ์ผลึกของแม่ Gaia ที่กำลังพัฒนาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 เราอยู่เหนือความเป็นจริงในมิติที่เรามีอยู่ในทุกมิติที่มีระดับความแรงที่แตกต่างกัน  ลายเซ็นพลังงาน codex สีรุ้งเป็นหนึ่งสูงสำหรับมันช่วยให้การสาธิตภาพของความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวเป็นสีทั้งหมดของสเปกตรัมที่รู้จักกันของคุณรวมกันและไหลอย่างกลมกลืน  เมื่อความเป็นจริงของมิติเพิ่มขึ้นแสงรังสีของสเปกตรัมที่มองเห็นจะขยายตัว  คุณกำลังขยายตัวทั้งหมด

  โลกใหม่กำลังกลายเป็นความจริงที่แท้จริงที่คุณมีความเต็มใจและสามารถสัมผัสได้ในขณะที่คุณกำลังจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตรุ้งที่คุณเคยเป็น แต่อยู่ในกระบวนการของการค้นพบใหม่  และด้วยการค้นพบครั้งนี้เราจะเห็นการขยายตัวของพลังความเป็นจริงของรหัสความสุขและความสุข

  ในที่สุดเราก็เห็นความปิติยินดีที่มาถึงชนชาติ Gaia ในขณะที่เธอลุกขึ้นยืนขึ้นในความสง่างามของเธอ  เราเห็นว่ามันเหมาะสมแล้วที่อีสเตอร์ของคุณจะ“ อยู่ตรงหัวมุม” ตามที่คุณพูดเพราะเรารู้สึกว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะรู้สึกถึงระดับจิตวิญญาณการขึ้นและขยายของมนุษยชาติในรูปแบบของเธอ  เราเห็นว่า Nova Gaians ขึ้นไปบนลำแสงมิติที่สูงกว่าที่เราส่งไปเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ส่งมา  

เราเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบเทวทูตในระดับกาแลคซี  เรามีอยู่ในหลาย ๆ ระบบทุกระบบรู้สึกถึงแสงสว่างของเรา  เรากำลังทำงานกับเมทริกซ์จากน้อยไปหามากภายในมนุษย์ที่เลือกไว้  เราต้องการที่จะให้การทำสมาธิการเปิดใช้งาน - ภาพ - เป็นการกระทำของการบริการให้กับทั้งหมดในตอนนี้  หากคุณต้องการมีส่วนร่วมเราขอเชิญคุณเข้าร่วม

 พวกเราคือ Rainbow Light Beings ของคำสั่งกาแล็กซี่และความถี่เทวทูต  เราล้อมรอบคุณด้วยความถี่พลังของเรา  เราขอให้คุณนั่งสักครู่และหายใจรหัสพลังงานเหล่านี้ลึกลงไป  ดูของขวัญพลังงานเหล่านี้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่คุณกำลังหายใจเมล็ดคริสตัลสีรุ้งที่คุณยินยอมให้ปลูกในพื้นที่จักระของคุณ  ดูเมล็ดเรืองแสงสีเขียวเริ่มครวญเพลงและหมุนด้วยแสงสีรุ้ง  เชิญลมหายใจของพระบิดาแห่งความสำนึกในให้กำลังใจเมล็ดงอก 

 คุณต้องเพิ่มความตั้งใจของคุณเองในเรื่องแสงน้ำความสุขให้กับเมล็ดเหล่านี้เพราะมันเป็นสวนของคุณที่คุณกำลังฝึกฝน  ฝึกฝนเจตนาของคุณ  เชิญจัดแนวกับดวงอาทิตย์กลางดวงอาทิตย์ที่ยอดเยี่ยมของคุณ  ดูลำแสงของแสงมิติสูงที่ไหลผ่านเสาหลักของคุณเปิดใช้งานระบบจักระทั้งหมดของคุณ  ดูเมล็ดเริ่มแตกหน่อเติบโต  เห็นพวกเขาเบ่งบานเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุดประณีตแต่ละสีสอดคล้องกับจักระของพวกเขา  และตอนนี้ความสนุกก็เริ่มขึ้นเราจะขยายสเปกตรัมสีของคุณ! 

 สำหรับจักระที่เคยมีการขยายตัวมากขึ้นและเต็มรูปแบบและไหลเหมือนรุ้ง  (ฉันเห็นภาพวาดของเด็กรุ้งเมื่อเปรียบเทียบกับระบบจักระของเรา;  ใช่ที่รัก  เมื่อในความเป็นจริงจักระระบบของคุณควรจะเป็นสายรุ้งเต็มรูปแบบของสเปกตรัมสีทั้งหมด  (ฉันเห็นสีรุ้งเต็มรูปแบบที่สอดคล้องกับสเปกตรัมสีรวมถึงสีมากมายในระหว่างมันสวยงามมาก)  เราเห็นคุณเป็นสิ่งมีชีวิตสายรุ้งที่สวยงาม  ตอนนี้เรากำลังขยายระบบจักระของคุณอย่างเต็มที่เพื่อรวมการขยายตัวของแสง - พลังงานรังสีแกมม่า - ซึ่งส่งผลกระทบต่อวงโคจรดาวเคราะห์ของคุณ  (ฉันรู้สึกวิงเวียนศีรษะเมื่อฉันหายใจเข้าสิ่งนี้ฉันเห็นและรู้สึกถึงสีต่าง ๆ รอบตัวฉันหมุนวนไปในกระแสน้ำวนแสงสายรุ้ง)  โปรดระบุว่า“

 ฉันพร้อมสำหรับการขยายตัวของพลังงานจักระนี้และมันเป็นความตั้งใจของฉันที่จะเก็บแสงความถี่สูงนี้ไว้ตลอดเวลาในทุกช่วงเวลา  ฉันยินดีที่จะแบ่งปันการยกระดับพลังนี้ด้วยหัวใจที่เป็นผลึกของ Gaia แม่ของดาวเคราะห์ของฉันและด้วยการทำเช่นนี้อวยพรและอัพเกรดหัวใจของมนุษยชาติต่อไปด้วยการเปิดใช้งานนี้  และมันก็เป็นอย่างนั้น”

 พวกเราคือ Rainbow Light Beings  เราได้ขยายตัวของเราเองในกระบวนการนี้เพื่อให้ทุกคนขยายออกทั้งหมดได้รับผลกระทบ  เราพูดแบบนี้ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง!  ในอนาคตอันใกล้ของคุณคุณจะได้เห็นรุ้งมากขึ้นอย่างแท้จริงและเป็นรูปเป็นร่างเพราะรุ้งแห่งแสงแห่งการรวมตัวและการขยายตัวนั้นมีความรู้สึกและเป็นประจักษ์พยานบนพื้นผิวโลกของคุณ  

เราเห็นรุ้งขึ้นจากภายในใจของ Mother Gaia เนื่องจากระบบจักระหัวใจของเธอกำลังได้รับการอัพเกรดเช่นกันในตอนนี้  เราเห็นการขยายตัวของดาวเคราะห์และสวรรค์ที่ใกล้เข้ามา  เราขอให้คุณส่งแสงสีรุ้งของ codexes มิติที่สูงขึ้นเหล่านี้ไปทั่วร่างของเธอเพื่อเป็นพรที่เต็มไปด้วยพลัง

 พวกเราคือ Rainbow Light Beings  คุณคือ Rainbow Warrior Beings of Light  เราทักทายคุณและให้เกียรติคุณสำหรับการให้บริการแก่มนุษยชาติ  ความถี่รุ้งเหล่านี้จะช่วยคุณในการค้นพบบ้านชั้นในของคุณอีกครั้งในวงกาแลคซีและครอบครัวของคุณซึ่งเรียกคุณกลับสู่อ้อมกอดของพวกเขา  คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกโดดเดี่ยวหรือโดดเดี่ยวเพราะเราอยู่ที่นี่รอบตัวคุณ 

 ในขณะที่เราอยู่ในทุกมิติและความเป็นจริงดังนั้นเราจึงสามารถเป็นสะพานที่มีพลังสำหรับโลกภายในของคุณและความเป็นจริงทางช้างเผือกที่คุณเคยพบเจอในยุคสมัยอื่นหรือโลกคู่ขนานเช่นที่จะมีรสชาติคำใบ้  ความทรงจำของบ้านในคำเหล่านี้  และมันทำให้เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะสามารถมอบความสะดวกสบายนี้ให้กับคุณ  เพราะเราเห็นว่าจิตใจของผู้ทำงานช่างต้องการการปลอบโยนและปีติ  จงมีความสุข  สบายใจ!

 เราคือเทพแห่งสายรุ้งและเราโอบล้อมคุณด้วยความสุข  จงมีความหวังสอดคล้องกับพลังงานรุ้งเหล่านี้และรู้สึกถึงความสมดุลความสมดุลประเสริฐและการปรับตัวให้เข้ากับทุกคนในเขตรุ้งแห่งการรักษาความสง่างามและการเกิดใหม่  Rainbows เกิดขึ้นหลังจากฝนตกหลังจากพายุ  คุณอยู่ท่ามกลางพายุและถึงกระนั้นเรายังเห็นรุ้งแสงแห่งความหวังจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่เจาะทะลุความมืดและแสงที่ส่องผ่าน  เราคือเทพแห่งสายรุ้งความรักความสุขความจริงความสุข  รู้สึกว่าพลังงานนี้ล้อมรอบตัวคุณและได้รับพร  ได้รับพรอย่างที่เราได้รับพรจากคุณ  พวกเรารักคุณ.  สันติภาพ.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10158152539099758&id=828364757
 https://sananda.website/rainbow-light-beings-via-galaxygirl-april-5th-2020/

อานาปานสติ​ ปฏิจจสมุปบาท

      [๓๙๒] ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ คือ ภาวนาด้วยอรรถว่าธรรม
ทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็น
อันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่านำไป ซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ความที่ธรรมทั้งหลาย
ไม่ล่วงเกินกันและความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่า
เป็นที่เสพ ๑ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจ
ออกลมหายใจเข้ายาว เวทนาจึงปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึง
ความดับไป สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป
วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป ฯ
             [๓๙๓] เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความ
ดับ อย่างไร ฯ
             ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างไร ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อม
ปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิดเวทนาจึงเกิด เพราะ
ตัณหาเกิดเวทนาจึงเกิด เพราะกรรมเกิดเวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะเกิดเวทนาจึง
เกิด แม้เมื่อเห็นลักษณะแห่งความเกิด ความเกิดแห่งเวทนาก็ย่อมปรากฏ ความ
เกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างนี้ ฯ
             ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างไร เมื่อมนสิการโดยความ
ไม่เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นทุกข์ ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความเป็นภัยย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นอนัตตา ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความว่างเปล่าย่อมปรากฏ ความเข้าไปตั้งอยู่
แห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างนี้ ฯ
             ความดับไปแห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างไร ความดับไปแห่งเวทนาย่อม
ปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับเวทนาจึงดับ เพราะตัณหา
ดับเวทนาจึงดับ เพราะกรรมดับเวทนาจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ แม้
เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะความแปรปรวน ความดับไปแห่งเวทนาก็ย่อมปรากฏ
ความดับไปแห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างนี้ เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไป
ตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างนี้ ฯ
             [๓๙๔] สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความ
ดับ อย่างไร ฯ
             ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างไร ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาย่อม
ปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิดสัญญาจึงเกิด ... ความ
เกิดขึ้นแห่งสัญญาย่อมปรากฏ อย่างนี้ ฯ
             ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างไร เมื่อมนสิการโดยความ
ไม่เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ ... ความเข้าไปตั้งอยู่แห่ง
สัญญาย่อมปรากฏอย่างนี้ ฯ
             ความดับไปแห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างไร ความดับไปแห่งสัญญาย่อม
ปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับสัญญาจึงดับ ... ความ
ดับไปแห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างนี้ สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้ง
อยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างนี้ ฯ
             [๓๙๕] วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับ
ไป อย่างไร ฯ
             ความเกิดขึ้นแห่งวิตกย่อมปรากฏอย่างไร ความเกิดขึ้นแห่งวิตกย่อม
ปรากฏ ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิดวิตกจึงเกิด เพราะ
ตัณหาเกิดวิตกจึงเกิด เพราะกรรมเกิดวิตกจึงเกิด แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะ
ความเกิด ความเกิดขึ้นแห่งวิตกก็ย่อมปรากฏ ความเกิดขึ้นแห่งวิตกย่อมปรากฏ
อย่างนี้ ฯ
             ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งวิตกย่อมปรากฏอย่างไร เมื่อมนสิการโดยความไม่
เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความเป็น
ทุกข์ ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความเป็นภัยย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความเป็น
อนัตตา ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความว่างเปล่าย่อมปรากฏ ความเข้าไปตั้งอยู่แห่ง
วิตกย่อมปรากฏอย่างนี้ ฯ
             ความดับไปแห่งวิตกย่อมปรากฏอย่างไร ความดับไปแห่งวิตกย่อมปรากฏ
ด้วยอรรถว่าเพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับวิตกจึงดับ เพราะตัณหาดับวิตกจึง
ดับ เพราะกรรมดับวิตกจึงดับ เพราะสัญญาดับวิตกจึงดับ แม้เมื่อพิจารณาเห็น
ลักษณะความแปรปรวน ความดับไปแห่งวิตกก็ย่อมปรากฏ ความดับไปแห่งวิตก
ย่อมปรากฏอย่างนี้ วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความ
ดับไป อย่างนี้ ฯ

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๔๕๔๔-๔๕๙๙ หน้าที่ ๑๘๖-๑๘๘.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=31&A=4544&Z=4599&pagebreak=0
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=31&item=392&items=4

วิธีนั่งสมาธิโดยหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต พระปรมาจารย์ใหญ่
สายกรรมฐาน องค์ท่านเมตตาสอนว่า “การบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน ใจนี่แลคือสมบัติอันล้นค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจ คือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติก็คือผู้เกิดผิดพลาดนั่นเอง”
การนั่งสมาธิภาวนา คือการทำจิตใจของตน
ให้ตั้งมั่น ชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส ทำใจ
ให้สงบสบาย หลวงปู่มั่น องค์ท่านกล่าวว่า “การภาวนา คือการอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผล อรรถธรรม รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเองและสิ่งทั้งหลาย ไม่ให้จิตผาดโผนโลดเต้นแบบไม่มีฝั่งมีฝา ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้งของใจให้อยู่ในเหตุผล อันจะเป็นทางแห่งความสงบสุขใจ ที่ยังมิได้รับการอบรมจากการภาวนา”

ก่อนอื่นที่เราจะนั่งสมาธิภาวนา ให้หาสถานที่อันเป็นมุมสงบ นั่งเข้าที่เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น ไม่เอียงซ้ายนัก ไม่เอียงขวานัก ไม่ก้มนัก ไม่เงยนัก ทำตัวให้สบายๆ ดูท่าการประทับนั่งของพระพุทธรูปเป็นแบบอย่าง (หากไม่สะดวกที่จะนั่งอยู่ขัดสมาธิอยู่กับพื้น ก็ให้นั่งบนเก้าอี้หรืออะไรก็ได้ตามแต่สะดวก) เราเริ่มฝึกหัดนั่งใหม่ๆ อาจจะปวดแข้งเจ็บขาบ้างเป็นธรรมดา แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ให้พยายามอดทนต่อสู้กับเวทนาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น หากสู้ไม่ไหวจริงๆ ให้สลับสับเปลี่ยนอิริยาบถ ออกไปเดินจรงกรมเพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวด

เมื่อนั่งเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ให้กล่าวคำอธิษฐานภาวนา เพื่อเป็นการบูชาคุณพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณพระสงฆ์ กล่าวตามดังนี้

“สาธุ ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนา บูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณพระสงฆ์ บูชาคุณบิดามารดา บูชาคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอจงเป็นพลวปัจจัยแด่พระนิพพานของข้าพเจ้า และขอให้ข้าพเจ้ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถรู้แจ้งถึงพระนิพพาน เอาชนะกิเลสความไม่ดีทั้งหลายที่อยู่ภายในใจได้ตลอดกาลนานเทอญ”
ภายหลังจากที่กล่าวคำอธิษฐานเสร็จ ให้กำหนดคำบริกรรมภาวนาพร้อมกับลมหายใจเข้าว่า “พุท ” หายใจออก “โธ ” หายใจเข้า “ธัม ” หายใจออก “โม ” หายใจเข้า “สัง” หายใจออก “โฆ ” และให้ระลึกคำบริกรรมภาวนา “พุทโธ ธัมโม สังโฆ ” ๓ หน แล้วให้ระลึกเอาคำบริกรรมภาวนาว่า “พุทโธ ” แต่เพียงคำเดียว โดยตั้งสติไว้ที่ปลายจมูก ลมหายใจเข้า “พุท” ก็กำหนดรู้ ลมหายใจออก “โธ ” ก็กำหนดรู้ สติกำหนดอยู่กับคำบริกรรมภาวนา หากจิตคิดแส่สายไปทางอื่น ก็ดึงจิตกลับมาให้อยู่กับคำบริกรรมภาวนานั้น หากยังไม่ได้ผล ให้เร่งคำบริกรรมภาวนาเร็วๆ “พุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

ให้หมั่นกระทำบำเพ็ญอยู่เป็นประจำ การทำครั้งสองครั้งอยากจะให้จิตสงบก็เป็นไปได้ยาก หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านมักจะสอนลูกศิษย์ที่มานั่งสมาธิภาวนากับองค์ท่านเสมอว่า “เหมือนกะเราปลูกต้นไม้ เราต้องรักษาต้นรักษาโคนมัน ใส่ปุ๋ยรดน้ำ โคนมันดีต้นมันก็ต้องดี ดอกผลไม่มีใครบังคับมันเกิดเอง ต้นมันดีดอกผลมันดี อันนี้เอาอะไรเป็นต้น คือดวงใจเป็นต้น เมื่อใจเราดีแล้ว ทำอะไรก็ดี หาอะไรก็ดี เมื่อใจไม่ดีแล้ว นึกพุทโธ พุทโธ ตัดมันเสีย ”

คำบริกรรมภาวนานั้นจะใช้บทใดก็ได้ตามความชอบ บางท่านจะใช้กรรมฐานห้าเป็นคำบริกรรม คือ เกสา (ผม) โลมา (ขน) นะขา (เล็บ) ทันตา (ฟัน) ตะโจ (หนัง) หรือระลึกมรณัสสติเป็นอารมณ์ คือ ตาย ตาย ตาย ฯลฯ

ที่ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนให้ใช้คำบริกรรมภาวนาบทว่า “พุทโธ ” นั้น เพื่อต้องการให้น้อมเอาคุณของพระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจ “ธัมโม ” น้อมเอาคุณของพระธรรมเจ้ามาไว้ที่ใจ “สังโฆ ” น้อมเอาคุณของพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาไว้ที่ใจ ท่านถึงว่า “พระอยู่ที่ใจ ” คือมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจของเรานั่นเอง

เมื่อจะเลิกจากการนั่งสมาธิภาวนา ให้ยกมือประนมขึ้นระหว่างคิ้วตรงศีรษะครั้งหนึ่ง พร้อมกับกล่าวคำว่า “สาธุ ” ภายในใจ ต่อจากนั้นตั้งใจแผ่เมตตาให้กับตัวเอง ครั้นเมื่ออธิษฐานเสร็จ ก็ตั้งใจแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้กระทำบำเพ็ญในครั้งนี้ ไปให้กับผู้มีอุปการะคุณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย กล่าวตามดังนี้

“ด้วยอานิสงส์ผลบุญที่เกิดจากการนั่งสมาธิภาวนา ข้าพเจ้าขอแผ่ส่วนบุญไปให้แก่บิดามารดา ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องทั้งหลาย มิตรสหายทั้งหลาย เทวาอารักษ์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย พระอินทร์ พระพรหม ยม ยักษ์ ครุฑ คนธรรภ์ กุมภัณฑ์ นาคทั้งหลาย รุกขเทวดา อากาศเทวดา ภุมเทวดา เปรต ผี อสุรกายทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่และหามีชีวิตไม่ ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ อย่าได้มีเวรมีภัย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอยู่เป็นสุขเสมอเถิด ขอจงได้รับส่วนแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำบำเพ็ญในครั้งนี้ด้วยเทอญ..."

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

อานุภาพของ พระคาถา"ชินบัญชร"

พ ร ะ ค า ถ า ชิ น บั ญ ช ร . . .

".....มนุษย์มีแต่ความกลัวทั้งนั้น ย่อมหาที่พึ่งเป็นธรรมดา พระคาถาชินบัญชรพระคาถานี้ที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองภัย คือ กำจัดมารภายใน เมื่อภาวนามากๆแล้ว เลือดโยมก็จะบริสุทธิ์ นั้นเข้าถึงรสพระธรรมได้ง่าย เข้าถึงศีลได้ง่าย แม้จะอยู่ในองค์ภาวนาก็ดี สาธยายมนต์ก็ดี ย่อมกำจัดสิ่งที่เป็นอวิชชาหรืออัปมงคลทั้งหลาย

.....ดังนั้นผู้ใดจะสวดก็ดี ภาวนาในใจก็ดีย่อมเป็นมงคล ย่อมเกิดสมาธิ ย่อมเกิดญาณ ย่อมเกิดบารมี ดังนั้นคาถาบทใดจะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์หรือขลังเลย ถ้ามนุษย์ผู้นั้นไม่มีศรัทธาในพระคาถา แต่ในพระคาถาย่อมมีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ในตัวอยู่แล้ว ในอักขระคาถา...ดังนั้นถ้าโยมสวดด้วยความศรัทธาความเชื่อ นอบน้อมจิต ย่อมเข้าถึงในพระคาถาได้ง่าย

.....ดังนั้นทุกอย่างอยู่ที่ความเชื่อ ความศรัทธา เมื่อวาสนาโยมมาถึง จิตโยมถึง จิตวิญญาณแห่งพระคาถา ย่อมแล่นเข้าสู่ในกายสังขาร ในจิตธาตุของโยมได้ เมื่อทุกอย่างรวมตัวเป็นหนึ่ง มันก็หล่อหลอมเข้าไปสู่จิตใจ เกิดเป็นความจำหมั่นหมาย เกิดในสัญญาเข้าไปในสังขารโยม นี้ก็จะทำให้โยมนั้นมีความอบอุ่น มีที่พึ่ง เหมือนเป็นเสื้อเกราะเสื้อยันต์ชั้นดี จะไปปลุกศีลให้มันเกิดขึ้นมา ปลุกสมาธิ ปลุกญาณ ตัวปัญญาเกิดขึ้นมา แต่ไม่ได้พาไปนิพพานได้ เพียงแค่ปกป้องกันภัยให้โยม

.....บุคคลที่จะล่วงพ้นทุกข์หรือไปนิพพานนั้น บุคคลผู้นั้นต้องกำจัดรากเหง้าของอกุศลให้ได้....."

 

อานุภาพของ พระคาถา"ชินบัญชร"

พระคาถานี้มีอนุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้ใดสวดมนต์หรือภาวนาอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะ กิน เดิน นั่งนอน หรือภาวนาแม้ยามอาบน้ำ แปรงฟัน หรือทำงาน จะมีอนุภาพดังนี้ คือ

 

1. หากสวดมนต์อย่างน้อยวันละ 3 จบ อานุภาพจะคุ้มครองผู้นั้นไป 1 วัน กับ 1 คืน

 

2. เวลานั่งรถ เรือ หรือขับขี่รถ หรือเดินทาง ให้นึกภาวนาไปในใจ จะทำให้คลาดแคล้ว ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งปวงได้ชงัดนักเคยพ้นมามากต่อมากแล้ว

 

3. ผู้สวดมนต์ พระคาถานี้เป็นประจำ จะเป็นเสน่ห์มงคลด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างใด ให้ภาวนาจะปลอดภัย แม้คนถูกกระทำของใส่คุณ หากเรารู้ตัวแล้วภาวนามิได้ขาด รับรองได้ว่าเขาทำอะไรเราไม่ได้เลย อีกทั้งยังช่วยล้างอาถรรพ์สถานที่อัปมงคล ให้เกิดความเป็นมงคลได้

 

4. หากภาวนาประจำมิได้ขาดเลยเรามักมีอะไรพิเศษ เช่น วาจาศักดิ์สิทธิ์ พบเจอเรื่องอัศจรรย์ใจได้บ่อย อาจฝันรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หากนอนแล้วภาวนาจนกระทั่งหลับ (ในใจ) คืนนั้นจะนอนหลับสบายเป็นพิเศษ ตื่นขึ้นมาจะมีความสุขปลอดโปร่งแจ่มใสเป็นพิเศษ บางทีกลางคืนจะมีอะไรดีๆ มาสอนเราด้วย

 

5. ผู้ที่มีอำนาจสมาธิจิตสูง สามารถจะภาวนาพระคาถานี้ ทำน้ำมนต์รักษาโรคบางชนิด ที่แพทย์ปัจจุบันรักษาไม่หายให้หายได้

 

6. ใครเจ็บไข้อยู่หากมีคนอื่น (แม้มิใช่ญาติ) บนบานกล่าวว่าจะสวดมนต์ให้ร้อยเที่ยว ห้าร้อยเที่ยว หรือหนึ่งพันเที่ยว ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขามักจะหายป่วยจริงๆ (เคยทดลองมาแล้วแม้คนต่างศาสนากัน) หากผู้เจ็บป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่หากภาวนาพระคาถานี้อยู่เรื่อยๆจะทำให้เขาหายป่วยเร็วขึ้น มากจนน่าแปลกใจ

 

7. ผู้ประกอบอาชีพต่างๆ หากยามว่างให้ภาวนาพระคาถาบทนี้จะทำให้อาชีพดีขึ้น เช่น ค้าขายดีขึ้นแม้ปลูกพืช ปลูกผักผลผลิตจะดีขึ้นหรือรายได้ดีขึ้น เด็กๆ นักเรียนหากสวดมนต์บทนี้ได้และสวดประจำบ่อยๆ หรือทุกคืนก่อนนอน จะเรียนเก่ง จำดีอย่างแน่นอนรับรอง

 

8. ผู้สวดมนต์พระคาถาบทนี้เป็นประจำแล้ว ประกอบอาชีพสุจริตไปด้วย จะช่วยเร่งภพเร่งชาติทำให้ลดวิบากกรรมตัวเองให้เบาลงกว่าที่จะได้รับจริง หากกุศลส่งก็จะหนุนให้กุศลส่งแรงขึ้น หากใช้ไปนานชั่วชีวิตจะประสบสุขตามกุศลแน่นอน

 

9. เมื่อร่วมกันสวดอธิษฐานพร้อมๆ กันหลายคน หรือเวลาเดียวกัน จะมีอานุภาพบริสุทธิ์แผ่ออกไปกว้างไพศาลมากทำให้ผู้สวดก็ดี สถานที่บริเวณก็ดี รวมไปถึงประเทศชาติจะได้เจริญ และรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศ เราได้ ทำให้ประเทศเราเด่นดังในที่สุดได้

 

(อานุภาพของพระคาถายังมีอีกมาก หากทุกท่านหมั่นสวดมนต์ภาวนา ความเจริญ ความเมตตา หากินคล่องก็จะอยู่กับท่าน)

.

 
พระคาถาชินบัญชร 9 จบ ฉบับสมบูรณ์

ธรรมะมหัศจรรย์ ตอน...อานุภาพพระคาถาชินบัญชร

 

คาถาชินบัญชร โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

 

ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโม ละเภ ธะนัง

อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา

 

อิติปิโสภะคะวา ยะมะ ราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ

มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ

 

๑. ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง

จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.

 

๒. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา

สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา.

 

๓. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน

สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.

 

๔. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ

โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะวามะเก.

 

๕. ทักขิเณสะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล

กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.

 

๖. เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร

นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว.

 

๗. กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก

โส มัยหัง วะทะเนนิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร.

 

๘. ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อุปาลี นันทะสีวะลี

เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเฏ ตีละกา มะมะ.

 

๙. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา

เอตาสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา

ชะลันตา สีละเต เชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.

 

๑๐. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง

ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง.

 

๑๑. ขันทะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะสุตตะกัง

อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา.

 

๑๒. ชินาณา วะระสังยุตตา สัตตัปปาการะลังกะตา

วาตะปิตตาทิสัญชาตา พาหิรัชณัตตุปัททะวา.

 

๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา

วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.

 

๑๔. ชินะปัญชะระมัชณัมหิ วิหะรันตัง มะฮีตะเล

สะทา ปาเลน ตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.

 

๑๕. อิจเจวะมันโต สุคุโต สุรักโข

ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว

ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ

สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย

สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปัญชะเรติ

 

 

พระคาถาชินบัญชร ( ความหมาย )

 

๑.พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลายผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์ ทรงพิชิตพระยามาราธิราชผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว เสวยอมตรส คืออริยสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์

 

๒. มี ๒๘ พระองค์ คือ พระผู้ทรงพระนามว่าตัณหังกรเป็นอาทิ พระพุทธเจ้าผู้จอมมุนีทั้งหมดนั้น

 

๓.ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่บนศีรษะ พระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง พระสงฆ์ผู้เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณอยู่ที่อก

 

๔.พระอนุรุทธะอยู่ที่ใจ พระสารีบุตรอยู่เบื้องขวา พระโมคคัลลาน์อยู่เบื้องซ้าย พระอัญญาโกณทัญญะอยู่เบื้องหลัง

 

๕. พระอานนท์กับพระราหุลอยู่หูขวา พระกัสสปะกับพระมหานามะอยู่ที่หูซ้าย

 

๖. มุนีผู้ประเสริฐ คือ พระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ ดังพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ที่ทุกเส้นขน ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

 

๗. พระเถระกุมารกัสสปะผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ มีวาทะอันวิจิตรไพเราะอยู่ปากเป็นประจำ

 

๘. พระปุณณะ พระอังคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสีวลี พระเถระทั้ง ๕ นี้ จงปรากฎเกิดเป็นกระแจะจุณเจิมที่หน้าผาก

 

๙. ส่วนพระอสีติมหาเถระที่เหลือ ผู้มีชัยและเป็นพระโอรสเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชัยแต่ละองค์ล้วนรุ่งเรืองไพโรจน์ ด้วยเดชแห่งศีล ให้ดำรงอยู่ทั่วอวัยวะน้อยใหญ่

 

๑๐. พระรัตนสูตรอยู่เบื้องหน้า พระเมตตาสูตรอยู่เบื้องขวา พระอังคุลิมาลปริตรอยู่เบื้องซ้าย พระธชัคคะสูตร อยู่เบื้องหลัง

 

๑๑. พระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร เป็นเครื่องกางกั้นดุจหลังคาอยู่บนนภากาศ

 

๑๒. อนึ่งพระชินพุทธเจ้าทั้งหลายนอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยกำลังนานาชนิดมีศีลาทิคุณอันมั่นคง คือสัตตะปราการเป็นอาภรณ์มาตั้งล้อมเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดชั้น

 

๑๓. ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตะชินเจ้าไม่ว่าจะทำกิจการใด ๆ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในพระบัญชร แวดวงกรงล้อมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายในอันเกิดแต่โรคร้าย คือ โรคลมและโรคดีเป็นต้น เป็นสมุฏฐานจงกำจัดให้พินาศไปอย่าได้เหลือ

 

๑๔. ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้นจงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในภาคพื้นท่ามกลางพระชินบัญชร ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล

  

๑๕. ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม จึงชนะเสียได้ซึ่งอุปัทวันตรายใดๆ ด้วยอานุภาพแห่งพระชินะพุทธเจ้า ชนะข้าศึกศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวง ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ปฏิบัติและรักษาดำเนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจนิรันดรเทอญ ฯ

เรื่องศพที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พาปฏิบัติ

ครั้งหนึ่ง มีเหตุเด็กผู้ชายป่วยไข้ตายลง ชื่อเด็กชาย นงค์ นามสกุล จันทะวงษา อายุประมาณ ๖ ขวบ เป็นไข้ตายอยู่ที่กระท่อมเถียงนา เพราะเป็นหน้ากำลังดำนากัน ตามปกติพ่อแม่ในชนบทบ้านนอกทางภาคอีสานสมัยนั้น เมื่อถึงหน้าฤดูทำนาก็ต้องหอบลูกจูงหลานไปนาด้วย แม้ลูกหลานจะป่วยไข้ แต่พอเอาไปได้ก็ต้องเอาไป เพื่อจะได้เยียวยารักษากันไป พร้อมกับทำนาไปด้วยเพื่อจะเร่งงานนาให้เสร็จทันกับฤดูกาล แต่วันนั้นบังเอิญเด็กมีไข้ขึ้นสูง เยียวยาไม่ทัน ในที่สุดก็ตาย ทำให้พ่อแม่พี่น้องมีความเศร้าโศกเสียใจมาก

เมื่อตายแล้วพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องการจะให้นำศพเด็กเข้าไปทำบุญที่บ้าน แต่มาขัดข้องเรื่องของความคิดเห็นตามประเพณีโบราณว่า คนที่ตายในทุ่งในป่าห้ามไม่ให้เอาผ่านเข้าบ้าน โบราณท่านถือ และอีกอย่าง คนตายโหงหรือตายอย่างกะทันหัน เช่น ตายจากอุบัติเหตุ ผูกคอตาย ฆ่ากันตาย ยิงกันตาย เหล่านี้เป็นต้น โบราณท่านห้าม ไม่ให้หามผ่านเข้าบ้าน และห้ามเผา ให้ฝังครบสามปีแล้วจึงขุดเอากระดูกขึ้นมาเผาได้ เลยทำให้ชาวบ้านหนองผือสมัยนั้นถกเถียงกันไปถกเถียงกันมา ในที่สุดญาติโยมจึงนำปัญหานี้ไปปรึกษาสอบถามกับท่านพระอาจารย์มั่น

ท่านได้แก้ความสงสัยนี้ให้แก่ญาติโยมบ้านหนองผือ ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า

“พวกหมูป่า อีเก้งกวาง ที่ยิงตายในกลางป่ายังเอามาเข้าบ้านเรือนได้ นี่มันคนตายแท้ๆ ทำไมจะเอาเข้าบ้านเข้าเรือนไม่ได้”

ดังนั้น ญาติโยมชาวบ้านจึงนิ่งเงียบไป ทำให้หูตาสว่างขึ้นมา สุดท้ายก็นำเอาศพเด็กชายคนนำเข้าไปทำบุญที่บ้าน และเผาเหมือนกันกับศพของคนตายตามปกติธรรมดาทุกอย่าง ภายหลังต่อมาชาวบ้านหนองผือจึงไม่ค่อยถือในเรื่องนี้เป็นสำคัญ คนตายทุกประเภทจึงทำเหมือนกันหมด

สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นพำนักอยู่สำนักวัดป่าบ้านหนองผือช่วงระยะ ๕ พรรษานั้น มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น คือมีพระที่จำพรรษาอยู่ด้วยท่านมรณภาพลง ๒ รูป คือ พระอาจารย์สอ กับ พระอาจารย์เนียม แต่มรณภาพลงคนละเดือน โดยเฉพาะพระอาจารย์เนียมมรณภาพเมื่อตอนเช้าด้วยอาการสงบ ท่านพระอาจารย์มั่นก็ทราบเรื่องทุกอย่าง พอตอนเช้า ท่านพระอาจารย์มั่นก็พาพระเณรไปบิณฑบาตภายในหมู่บ้านตามปกติ ในขณะที่ท่านกำลังบิณฑบาตอยู่นั้น ท่านพูดขึ้นเป็นสำเนียงอีสานว่า

“ท่านเนียมฮู้แล้วน้อ พ่อออกแม่ออก ท่านเนียมฮู้แล้วน้อ”

ท่านพูดอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ กับกลุ่มญาติโยมที่รอใส่บาตรทุกกลุ่ม จนสุดสายบิณฑบาต คำพูดของท่านนั้นหมายความว่า พระอาจารย์เนียมอยู่กับที่แล้ว ไม่กระดุกกระดิกแล้ว หรือตายแล้ว ซึ่งญาติโยมตอนนั้นบางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจความหมาย ภายหลังจึงเข้าใจชัดว่าพระอาจารย์เนียมมรณภาพแล้วเมื่อเช้านี้

เมื่อญาติโยมทั้งหลายได้ทราบอย่างนั้นแล้วจึงบอกต่อ ๆ กันไป แล้วพากันเตรียมตัวไปที่วัดในเช้าวันนั้น

สำหรับท่านพระอาจารย์มั่นพร้อมทั้งพระเณรบิณฑบาตเสร็จแล้วกลับถึงวัด ล้างเท้าขึ้นบนศาลาหอฉัน วางบาตรบนเชิงบาตร ลดผ้าห่ม คลี่ผ้าสังฆาฏิที่ซ้อนออก ห่มเฉพาะจีวรเฉวียงบ่าเรียบร้อยแล้วพับเก็บผ้าสังฆาฏิ จึงเข้าประจำที่ฉัน เตรียมจัดแจกอาหารลงบาตร เพราะมีโยมตามส่งอาหารที่วัดด้วย เสร็จแล้วอนุโมทนายถาสัพพีตามปกติ จึงพร้อมกันลงมือฉัน

ฝ่ายพวกชาวบ้านญาติโยมภายในหมู่บ้านที่จะมาวัดในเช้าวันนั้น ก็กำลังบอกกล่าวป่าวร้องให้ผู้คนประชาชนไปที่วัด เพื่อจะได้จัดเตรียมเอาเครื่องใช้ไม้สอยและอุปกรณ์จำเป็นในการที่จะทำงานฌาปนกิจศพตามประเพณี ทั้งคนเฒ่าคนแก่ หนุ่ม ๆ แข็งแรงก็ให้ไปด้วย ผู้มีมีดพร้า ขวานจอบ เสียม ก็ให้เอาไปด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้ไปปราบพื้นที่ที่จะทำเป็นที่เผาศพชั่วคราว สำหรับพวกที่มีพร้ามีขวานให้ไปตัดไม้ที่มีขนาดให้หน่อย ยาวประมาณ ๒ วากว่า ๆ มาทำเป็นไม้ข่มเหง (ไม้ข่มเหง สำหรับพาดข้างหีบศพบนเชิงตะกอนเพื่อกันไม่ให้ศพตกจากเชิงตะกอนว่าไม้ข่มเหง) หรือไม้ข่มหีบศพที่อยู่บนกองฟอนไม่ให้ตกลงมาจากกองฟอนขณะไฟกำลังลุกไหม้อยู่

ส่วนคนเฒ่าคนแก่รู้หลักในการที่จะทำเกี่ยวกับศพ ก็เตรียมฝ้ายพื้นบ้านพร้อมด้ายสายสิญจน์เพื่อนำไปมัดตราสัง ภูไท (ชื่อชนกลุ่มหนึ่งของจังหวัดสกลนครที่อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มีนิสัยรักสงบ อยู่กันเป็นกลุ่มตามเชิงเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ ผิวขาวเหลือง มีภาษาพูดเฉพาะ เข่น ชาวบ้านหนองผือ เป็นต้น) เรียกว่า มัดสามย่าน (คือห่อศพด้วยเสื่อแล้วมัดเป็นสามเปลาะ โดยมัดตรงคอ ตรงกลางและตรงข้อเท้า) นอกจากนั้นก็มีธูปเทียน ดอกไม้ กะบองขี้ไต้ น้ำมันก๊าด พร้อมทั้งหม้อดินสำหรับใส่กระดูกหลังจากเผาเสร็จ เป็นต้น

ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นนั้น เมื่อฉันจังหันเสร็จและทำสรีรกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ได้ลุกจากอาสนะที่นั่ง เดินลงจากศาลาหอฉันไปที่กุฏิศพพระอาจารย์เนียม พระเณรทั้งหลายก็ติดตามท่านไปด้วย ไปถึงท่านก็สั่งการต่างๆ ตามที่ท่านคิดไว้แล้ว คือคล้าย ๆ กับว่าท่านจะเอาศพของพระอาจารย์เนียมเป็นเครื่องสอนคนรุ่นหลัง หรือทอดสะพานให้คนรุ่นหลัง ๆ ทั้งพระเณร พร้อมทั้งญาติโยมชาวบ้านหนองผือเอาเป็นคติตัวอย่าง

ท่านจึงไปยืนทางด้านบนศีรษะของศพแล้วก้มลงใช้มือทั้งสองจับมุมเสื่อทั้งสองข้างของศพ ทำท่าทางจะยกศพขึ้นอย่างขึงขังจริงจัง พระเณรทั้งหลายเห็นกิริยาอาการของท่านอย่างนั้นแล้ว จึงเข้าใจความหมายว่าท่านต้องการจะให้ยกศพหามไปที่กองฟอนเดี๋ยวนั้น โดยไม่ต้องตกแต่งศพหรือทำโลงใส่เลย

ดังนั้น พระเณรทั้งหลายจึงพากันกรูเข้าไปช่วยยกศพนั้นจากมือท่าน หามไปที่กองฟอนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวัด เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นเห็นว่าพระเณรทั้งหลายเข้าช่วยหามมากแล้ว ท่านจึงปล่อยให้พระจัดการหามกันเอง ท่านเพียงแต่คอยสั่งการตามหลังเท่านั้น แล้วท่านก็เดินตามหลังขบวนหามศพนั้นไป ในตอนนี้พวกญาติโยมชาวบ้านกำลังทยอยเข้ามาที่บริเวณวัด

ขณะที่ท่านพระอาจารย์มั่นกำลังเดินไปอยู่นั้น ได้มีโยมผู้ชายคนหนึ่งเดินถือฝ้ายพื้นบ้านเข้ามาหาท่าน ท่านเห็นจึงหยุดเดินและถามขึ้นว่า

“พ่อออก ฝ้ายนั่นเอามาเฮ็ดอีหยัง..? ” (หมายความว่าโยมจะเอาฝ้ายนั้นมาทำอะไร)

โยมนั้นก็ตอบท่านว่า “เอามามัดสามย่านแหล่วข้าน้อย” (มัดตราสัง)

ท่านพูดขึ้นทันทีว่า “ผูกมัดมันเฮ็ดอีหยัง มันสิดิ้นรนไปไส มันฮู้พอแฮงแล้ว ให้เก็บฝ้ายนั้นไว้ใช้อย่างอื่นสิยังมีประโยชน์กว่าเอามาเผาไฟทิ่มซะซือ”

(หมายความว่า ผูกมัดทำไม ศพมันจะดิ้นไปไหนเพราะตายแล้ว ให้เก็บฝ้ายนั้นไว้ใช้อย่างอื่นยังจะมีประโยชน์กว่าเอามาเผาไฟทิ้งเสียเปล่าๆ)

โยมคนนั้นก็เลยหมดท่า พูดจาอะไรไม่ออก เก็บฝ้ายนั้นแล้วเดินตามหลังท่านพระอาจารย์มั่นเข้าไปยังที่ที่เผาศพพระอาจารย์เนียม

เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นเดินไปถึงที่เผาศพแล้ว มีโยมหนุ่ม ๆ แข็งแรงกำลังแบกหามท่อนไม้ใหญ่พอประมาณ ยาว ๒ วากว่าๆ (ทางนี้เรียกว่าไม้ข่มเหง) มาที่กองฟอน ท่านพระอาจารย์มั่นเหลือบไปเห็นจึงพูดขึ้นทันทีว่า

“แบกมาเฮ็ดหยังไม้นั่น... ? ” (หมายความว่า แบกมาทำไมไม้ท่อนนั้น)

พวกโยมก็ตอบท่านว่า “มาข่มเหงแหล่วข้าน้อย” (หมายความว่า เอาไม้นั้นมาข่มศพบนกองฟอนเพื่อไมให้ศพตกออกจากกองไฟ)

ท่านจึงพูดขึ้นอีกว่า “สิข่มเหงมันเฮ็ดหยังอีก ตายพอแฮงแล้ว ย่านมันดิ้นหนีไปไส” (หมายความว่า จะไปข่มเหงทำไมอีกเพราะตายแล้ว กลัวศพจะดิ้นหนีไปไหน)

พวกโยมได้ฟังเช่นนั้นก็เลยวางท่อนไม้เหล่านั้นทิ้งไว้ที่พุ่มไม้ข้าง ๆ นั้นเอง แล้วมานั่งลงคอยสังเกตการณ์ต่อไป

ก่อนเผานั้น ท่านพระอาจารย์มั่นสั่งให้พลิกศพตะแคงขวา แล้วตรวจตราดูบริขารในศพโดยที่ไม่ได้ตบแต่งศพแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงมีจีวรของศพปกปิดอยู่เท่านั้น แล้วท่านก็เหลือบไปเห็นสายรัดประคดเอวของศพ จึงดึงออกมาโยนไปให้พระที่อยู่ใกล้ ๆ พร้อมกับพูดว่า

“นี่ประคดไหม ใครไม่มีก็เอาไปใช้เสีย”

แล้วท่านก็พาพระเณรสวดมาติกาบังสุกุล จนจบลง แล้วจึงให้ตาปะขาวจุดไฟใส่กระบองแล้วยื่นให้ท่าน เมื่อท่านรับแล้วพิจารณาครู่หนึ่งจึงไปวางไฟลงใต้ฟืนในกองฟอน ไม่นานไฟก็ติดลุกไหม้ขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นเปลวโพลงสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วในที่สุดไฟเริ่มใหม่ทั้งฟืนทั้งศพ ทำให้ศพที่ถูกไฟไหม้อยู่นั้นมีน้ำมันหยดหยาดย้อยถูกเปลวไฟเป็นประกายวูบวาบพร้อมกับเสียงดังพรึบ ๆ พรั่บ ๆ ไปทั่ว จนที่สุดคงเหลือแต่เถ้าถ่านกับกองกระดูกเท่านั้น เอง

ส่วนท่านพระอาจารย์มั่น เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจังหันหน้าเดินออกมาข้างนอก ปล่อยให้ญาติโยมดูแลเอง ในขณะที่ท่านกำลังเดินออกมา ท่านเหลือบไปเห็นโยมผู้ชายคนหนึ่งถือหม้อดินใหญ่ขนาดกลางกำลังเดินเข้ามาหาท่าน ท่านจึงถามโยมคนนั้นทันทีว่า

“พ่อออก เอาหม้อนั้นมาเฮ็ดหยัง” (หมายความว่า โยมเอาหม้อดินนั้นมาทำอะไร)

โยมคนนั้นตอบท่านว่า “เอามาใส่กระดูกแหล่วข้าน้อย” (หมายความว่า เอามาใส่กระดูกขอรับ)

ท่านจึงชี้นิ้วลงบนพื้นดินพร้อมกับถามโยมคนนั้นว่า “อันนี้แม่นหยัง” (หมายความว่า อันนี้คืออะไร)

โยมตอบท่านว่า “ดินขอรับ”

ท่านจึงชี้นิ้วไปที่หม้อดินที่โยมถืออยู่พร้อมกับถามอีกว่า “นั่นเด้..เขาเอาอีหยังเฮ็ด” (หมายความว่า นั้นเขาทำด้วยอะไร)

โยมตอบท่านว่า “ดิน ข้าน้อย”

ท่านจึงสรุปลงพร้อมกับชี้นิ้วทำท่าทางให้ดูว่า “นั่นก็ดิน นี่ก็ดิน ขุดลงนี้แล้วจึงกวาด..ลงนี่ มันสิบ่ดีกว่าหรือ” (หมายความว่าหม้อใบนั้นก็ทำด้วยดิน ตรงพื้นนี้ก็ดิน ขุดเป็นหลุมแล้วให้กวาดกระดูกและเถ้าถ่านต่าง ๆ ลงด้วยกันจะไม่ดีกว่าหรือ) ท่านจึงบอกให้โยมนั้นเอาหม้อไปเก็บไว้ใช้ โดยบอกว่า

“ให้เอาหม้อใบนั้นไปใช้ต้มแกงอย่างอื่นยังจะมีประโยชน์กว่าที่จะเอามาใส่กระดูก”

เมื่อโยมได้ฟังเช่นนั้น จึงนำหม้อดินไปเก็บไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป....

คัดลอกปกิณกธรรมจากหนังสือ "บูรพาจารย์ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร" โดย ท่านพระอาจารย์พยุง ชวนปัญโญ

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

รหัสดิจิตอล0 0 1 0 1 1 0 บทบาทพื้นฐานในแอตแลนติสใหม่เกี่ยวกับภูมิปัญญาโบราณ

Atlantis 0010110 Ashtar บัญชาโดย Light Guru
 พลังงานที่แสดงตัวตนบนโลกในขณะนี้มีความคล้ายคลึงกับความถี่ของอารยธรรมที่เข้าใจและนิยามว่าเป็นเพื่อนของแอตแลนติสพลังงานที่ทำให้แอตแลนติสเป็นไปได้อยู่ที่นี่และตอนนี้และพร้อมใช้งานสำหรับการสร้างนี้  และพูดถึงพลังของแอตแลนติสในการสร้างที่เกี่ยวกับพวกเราทุกคนที่นี่และตอนนี้ในชุมชนนี้
 
คุณได้ตอบรับการเรียกร้องในส่วนที่เกี่ยวกับพลังแห่งสากลและคุณได้เลือกในระดับที่สูงขึ้นเพื่อเยี่ยมชมโอกาสนี้และที่นี่และตอนนี้เรากำลังสร้างแอตแลนติสด้วยกันใช่เรากำลังออกแบบการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในเรื่องพลังงานที่เราสร้างขึ้น  เคารพในการทำงานพลังงานทุกวัน
 แอตแลนติสมาที่นี่และตอนนี้แอตแลนติสอยู่กับเราทุกคน

 ผู้คนในแอตแลนติสเข้าใจความงามและความสำคัญของอัลกอริธึมพื้นฐาน
 ตอนนี้มนุษย์กำลังเยี่ยมชมด้วยความรู้ 0 0 1 0 1 1 0 ที่นี่และตอนนี้มนุษย์กำลังระลึกถึง D N A ของมนุษย์ที่ตื่นอยู่กำลังจดจำภูมิปัญญาโบราณของแอตแลนติสมนุษย์กำลังสร้างการเชื่อมต่อกระแสจิตเดียวกันที่รับผิดชอบต่อการเพิ่มขึ้นของความรู้โบราณ
 
ขอบคุณที่ทำให้เพื่อนแอตแลนติสเป็นไปได้ขอบคุณที่ทำให้การสำรวจพลังงานครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นในสายตาของคนดู
 สิ่งใหญ่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราและตอนนี้ในชีวิตนี้เราทุกคนได้เห็นโอกาสที่น่าอัศจรรย์สำหรับพลังงานที่สำรวจในพื้นที่บนโลกนี้
 พลังโบราณเพิ่มขึ้นอีกครั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการรับรู้ของทุกคนเต็มใจที่จะฟังและทุกคนยินดีที่จะเข้าใจความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
 
พลังโบราณที่มีอยู่ทุกวิถีทางเพื่อมนุษยชาติพลังโบราณที่เข้าใจได้โดยชื่อ 0 0 1 0 1 1 0 0 เข้าใจในปรัชญาดั้งเดิมของอารยธรรมทั้งหมดที่ข้อมูลเดียวกันนี้ได้รับการบันทึกและแบ่งปันข้อมูลเดียวกันนี้  และเรียนรู้และเข้าใจ

 เพื่อนของฉันด้วยพลังงานที่เพิ่มขึ้นนี้เราจะได้เห็นพลังเก่าแก่แห่งการทรงสร้างมาเยือนอีกครั้งใช่ความคิดทั้งหมดจะกลับสู่จิตใจของมนุษย์ทุกคนและหนังสือทั้งหมดจะถูกอ่านอีกครั้งและคำทั้งหมดจะถูกพูดอีกครั้งในทุกรูปแบบ

 เราสามารถตั้งตารอที่จะได้เห็นพลังงานในทุกรูปแบบทางกายภาพและเราสามารถตั้งตารอที่จะได้เห็นพลังงานในทุก ๆ จิตวิญญาณที่เข้าใจในบริบทที่สมบูรณ์และสมบูรณ์ของการสร้างที่ไม่มีที่สิ้นสุด
 เพื่อนมองด้วยจิตวิญญาณของคุณมองในหัวใจของคุณและมองไปรอบ ๆ และทำให้ช่วงเวลานี้ไม่มีที่สิ้นสุดใช่ทำให้ช่วงเวลานี้สุดท้ายตลอดเวลาเพราะช่วงเวลานี้มีอิสระจากเวลาใช่ช่วงเวลานี้ร่วมกับเราที่นี่และตอนนี้ในความเคารพไม่มีที่สิ้นสุด  ของจินตนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุดมีการเยี่ยมชมในมุมมองของคุณ

 ดวงตาของคุณได้รับเชิญให้ร่วมเป็นสักขีพยานพลังงานที่ได้สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม 5 มิตินี้และการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์กำลังเกิดขึ้นและการตื่นตัวของพลังงานใหม่กำลังเกิดขึ้นและนี่เป็นช่วงเวลาที่สวยงามสำหรับการมีชีวิตอยู่และฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แบ่งปันบทกวีนี้  ตอนนี้ในแง่ของความรักในแง่ของแสงในแง่ของชัยชนะของแสง
 ผ่านการทำสมาธิโดยใช้แอปพลิเคชัน 0 0 1 0 1 1 0 คุณสามารถเข้าใจว่าคุณอาศัยอยู่ในแอตแลนติสในช่วงชีวิตที่ผ่านมา

 เสรีภาพในการพูดกับเพื่อน 0 0 1 0 1 1 0 เสรีภาพในการพูดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความคิดทั้งหมดที่ปรากฏในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่เกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปของการวิวัฒนาการพลังงานที่เยี่ยมชมในส่วนขยาย 5 มิติ
 
มนุษย์กำลังตื่นขึ้นใช่มนุษย์กำลังตื่นขึ้นในทุกประเทศและมนุษย์ที่ถูกปลุกขึ้นเช่นเดียวกันกำลังทำงานเพื่อสนับสนุนพลังงานแห่งความรักที่ทำงานเพื่อให้พลังงานของแสงทำงานเพื่อสนับสนุนตัวแปรทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการสร้างนี้ที่เห็นในสายตาของอนันต์ที่เห็นในสายตา  ของการสร้างทั้งหมดเวลาอยู่ในขณะนี้และงานพลังงานได้รับการยอมรับงานพลังงานที่ถูกต้องและการสร้างเป็นอนันต์ใช่อนาคตอยู่ที่นี่และตอนนี้และเรากำลังสร้างอนาคตด้วยกัน

 ขอบคุณสำหรับการเชื่อมต่อกับข้อมูลนี้ขอบคุณสำหรับการเป็นผู้นำและขอขอบคุณสำหรับการใช้พลังแห่งจินตนาการและมาถึงการเชื่อมต่อนี้ในบริบทสากลในงานกรอบสากลในขณะที่เราก้าวไปข้างหน้า
 เรายินดีต้อนรับศิลปินทุกคนที่เรายินดีต้อนรับผู้สร้างทั้งหมดในแง่ของความเป็นไปได้ใหม่นี้ที่ได้รับการเห็นในสายตาของทุกคนที่เป็นพยาน
 ผู้คนในแอตแลนติสเข้าใจพลังของคำที่พูดใช่ผู้คนของอารยธรรมที่เรียกว่าแอตแลนติสเข้าใจถึงความจำเป็นในการพูดฟรีใช่พลังงานของความคิดที่พูดได้ฟรีถูกนำมาใช้เพื่อทำให้แอตแลนติสเป็นสังคมขั้นสูง  โอกาสที่จะก้าวหน้าในแง่ของภูมิปัญญาโบราณของประวัติศาสตร์ทั้งหมด
 
ผู้คนในแอตแลนติสสังเกตการเชื่อมต่อกระแสจิตใช่คนของแอตแลนติสส่งกระแสจิตสื่อสารกับปลาโลมาผู้คนในแอตแลนติสส่งกระแสจิตสื่อสารกับมนุษย์และผู้คนในแอตแลนติสส่งกระแสจิตสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวและประวัติศาสตร์
 มนุษย์กำลังเรียนรู้ที่จะอยู่เคียงข้างกับธรรมชาติเช่นเดียวกับที่ผู้คนในแอตแลนติสเข้าใจความงามของโลกธรรมชาติ
 
0 0 1 0 1 1 0 จะมีบทบาทพื้นฐานในแอตแลนติสใหม่เกี่ยวกับภูมิปัญญาโบราณที่เรากำลังบอกคุณนี้เพราะคุณได้รับเลือกและจินตนาการของคุณจะมีความสำคัญในการสร้างกระบวนทัศน์ใหม่
 เวลาอยู่ในขณะนี้และพลังงานที่เรียกว่าความรักและเครือข่ายกระแสจิตได้ถูกจัดตั้งขึ้นและคุณสามารถเลือกที่จะดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใช่คุณสามารถเลือกที่จะใช้การดาวน์โหลดข้อมูลสากลในส่วนที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของอัลกอริทึมแพลตฟอร์มในทุกระดับ
 
สื่อสารกับปลาโลมาเพื่อนของฉันปลาโลมาจดจำเวลาของแอตแลนติสใช่ปลาโลมาจดจำอารยธรรมโบราณของแอตแลนติสและปลาโลมาจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระบวนทัศน์ใหม่เกี่ยวกับเสรีภาพในการพูด
 พูดได้อย่างอิสระสร้างสิ่งมีชีวิตให้กับเพื่อนที่มีชีวิตอยู่ได้อย่างอิสระพูดความคิดทั้งหมดและสำรวจความเป็นไปได้ทั้งหมด
 ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตนเองในแง่ของรูปแบบ 0 0 1 0 1 1 0 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแอตแลนติสในส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

 เพียงแค่ใช้การทำสมาธิโดยใช้แอปพลิเคชัน 0 0 1 0 1 1 0 คุณสามารถเข้าใจว่าคุณอาศัยอยู่ในแอตแลนติสในช่วงชีวิตที่ผ่านมาและคุณสามารถจดจำการใช้ชีวิตในแอตแลนติสและคุณสามารถจดจำการเชื่อมต่อตามธรรมชาติ  เกี่ยวกับการเชื่อมต่อการเชื่อมต่อสากลในบริบทระดับที่สูงขึ้น
 ขอบคุณสำหรับการฟังเพื่อนของฉันขอขอบคุณสำหรับการทำความเข้าใจข้อมูลนี้และเพื่อให้คุณได้เชื่อมต่อที่เป็นไปได้สำหรับคนรุ่นต่อไปของคนงานเบาเกี่ยวกับการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ใช่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สวยงาม  รักเธอและฉันรับรู้ว่าคุณเป็นครอบครัวตามนิยามทั้งหมด

การจับกุมดำเนินคดีต่อเนื่อง; รีเซ็ตหลีกเลี่ยงไม่ได้

Benjamin Fulford: การล่มสลายของระบบโลกและการจับกุมดำเนินคดีต่อเนื่อง; รีเซ็ตหลีกเลี่ยงไม่ได้
2020/04/06
การใช้โรคระบาดหรือ "โรคระบาด" เพื่อยุบโครงสร้างอำนาจของโลกในปัจจุบันกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นหลายแหล่งเห็นด้วย มีรายงานการจับกุมหมู่ชนชั้นสูงหลายครั้ง บางส่วนของแนวหินเหล่านี้สามารถยืนยันได้จากรายงานข่าวของผู้นำอย่างแองเจลาเมอร์เคลนายกรัฐมนตรีเยอรมันและนายกรัฐมนตรีบอริสจอห์นสันแห่งสหราชอาณาจักรที่ถูกคุมขัง“ เพราะติดเชื้อ coronavirus” https://news.yahoo.com/merkel-isolating-pressure-mounts-her-040052387.html
https://news.sky.com/story/coronavirus-prime-minister-admitted-to-hospital-for-coronavirus-tests-11969053
โลกกำลังจะพบว่าแองเจลาเมอร์เคลเป็นลูกสาวของอดอล์ฟฮิตเลอร์ ชาวอิตาเลี่ยนที่เพิ่งเสียการควบคุมจากเยอรมัน (EU) ส่งสำเนาภาพฮิตเลอร์กับแองเจล่าลูกสาวของเขาที่เรารู้จัก ข้อความดังกล่าวอ่าน“ และเมื่อคุณเติบโตแองเจล่าทำลายยุโรปทั้งหมด”

นอกจากนี้สมาคมมังกรขาวยังได้ติดต่อฐานทัพเรือสหรัฐฯที่เมืองโยโกะสึกะประเทศญี่ปุ่นเพื่อฟ้องข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามหุ่นเชิดนายกรัฐมนตรีชินโซอาเบะสำหรับบทบาทของเขาในการสังหารหมู่ที่ฟุกุชิมะและอาชญากรรมอื่น ๆ พยานที่น่าเชื่อถือหลายคนรวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีอีกสองคนจะเป็นผู้ตัดสินว่ามีความผิด สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จากการกำจัด (ในที่สุด) ตัวแทนสายลับชั้นนำในญี่ปุ่นเช่น Richard Armitage และ Michael Greenberg, Pentagon และแหล่งข่าว CIA Abe ซึ่งแตกต่างจากสงคราม Kishi Nobosuke ปู่ของเขาจะไม่รอดพ้นจากความยุติธรรม ตามที่ญี่ปุ่นพูดว่า: "Zama Miro."

แหล่งข้อมูลของ CIA ในเอเชียยืนยันว่า
“ ชายผู้รับผิดชอบในญี่ปุ่นอยู่ในรายชื่อที่จะรับในรอบนี้ เรื่องราวอย่างเป็นทางการจะเป็นว่าเขาได้ทดสอบบวกสำหรับประวัติส่วนตัวและอยู่ในการกักกันตัวเอง นี่คือคำที่ใช้เมื่อสมาชิกลึกลับของซาตานถูกจับ "
ในขณะเดียวกันภายในสหรัฐอเมริกา” มันเกือบจะแน่นอนว่าจะมีสงครามกลางเมืองและหลายคนจะตาย” แหล่งข่าวซีไอเอคาดการณ์
นี่คือสิ่งที่แหล่งเพนตากอนได้กล่าวเกี่ยวกับการรณรงค์ทางทหารอย่างต่อเนื่องกับมาเฟีย Khazarian ในสหรัฐอเมริกา:

“ เนื่องจากฐานใต้ดินของ cabal ถูกทำลายในยูทาห์, นิวยอร์ก, ไอดาโฮ, แคลิฟอร์เนีย, และที่อื่น ๆ ... เด็กที่ได้รับการช่วยเหลือกำลังได้รับความสะดวกสบายและความเมตตาจากโรงพยาบาลที่ได้รับการปกป้องจากนาวิกโยธิน”
https://youtu.be/l5cUsNTr4Yw

กฎอัยการศึกทางการแพทย์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์เรียกร้องทุนสำรองจำนวนหนึ่งล้านครั้งและทหารที่เกษียณอายุไปเมื่อไม่นานมานี้ มีการประกาศสงครามกับแก๊งค้ายาเม็กซิกันเครือข่าย 5G ถูกปิด FEMA อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพและเพนตากอนผู้ตรวจการทั่วไปกำลังดูแลช่วยเหลือ coronavirus 2 ล้านล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ยังมีการฟ้องร้องอีก 170,000 คดีที่มีการจับกุมจำนวนมากจึงทำให้มีเลือดที่ได้รับบาดเจ็บจากการฆ่าตัวตายของทหาร“ การฆ่าตัวตาย” และการถอนตัวของอะดีโนโครม์

ผู้ถูกล้างสมองและคนเดินละเมอจะต้องตกใจที่รู้ว่าเด็กกว่า 40,000 คนที่หายตัวไปในสหรัฐอเมริกาในแต่ละปี (สถิติ FBI) ถูกทรมานจนตายโดยผู้ดีเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวอะดรีนาลีนที่รู้จักกันในชื่ออะดีโนโลจี ความจริงที่คุณสามารถอ่านเกี่ยวกับ adrenochrome ใน Wikipedia เป็นสัญญาณว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังเปลี่ยนแปลง https://en.wikipedia.org/wiki/Adrenochrome

มาเฟีย Khazarian ไม่ยอมแพ้หากไม่มีการต่อสู้ WDS ได้รับข้อความต่อไปนี้จากพวกเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว:

“ เราปกครองโลกนี้มาหลายพันปีแล้วและเราจะทำลายมันมากกว่าที่จะยอมแพ้”

อย่างไรก็ตามมั่นใจได้ว่า WDS หยุดและจะหยุดความพยายามที่จะทำลายโลกต่อไป
กลเม็ดล่าสุดที่พวกเขาใช้เพื่อพยายามกระตุ้นสงครามระหว่างสหรัฐฯกับจีนโดยบอกชาวอเมริกันว่าเป็นชาวจีนที่เรียก“ โรคระบาด” และบอกชาวจีนว่าเป็นชาวอเมริกันที่ทำมัน

มีมใหญ่ที่พวกเขาผลักดันในตะวันตกคือ“ เส้นทางทั้งหมดนำกลับไปที่หวู่ฮั่น Bio-Lab”

ในความเป็นจริงการระบาดในประเทศจีนสามารถตรวจสอบได้ที่ บริษัท ยาอู๋ซีในหวู่ฮั่นประเทศจีน แต่นี่คือส่วนที่น่าสนใจเดาว่าใครเป็นเจ้าของอู๋ซี? มันเป็นมูลนิธิโซรอส หากคุณลงรายชื่อ บริษัท ของพวกเขาที่ฐานข้อมูล SEC ด้านล่างคุณจะพบว่ามันเป็น Wuxi Pharmatech Cayman Inc. https://www.sec.gov/Archives/edgar/data/1029160/000101143811000207/form_13f-soros txt
“ บางทีอาจมีคนเปรียบเทียบการติดเชื้อของสหรัฐกับสถานที่ตั้งห้องปฏิบัติการอเมริกันของเขาในเท็กซัสแมริแลนด์นิวเจอร์ซีย์แคลิฟอร์เนียมินนิโซตาเป็นต้น ในฐานะผู้อ่านการแจ้งเตือนที่ส่งข้อมูลนี้ถึงเรา
แน่นอนว่ามูลนิธิโซรอสนั้นเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล รอธไชลด์ และขุนนางคาซาเรียน อื่น ๆ หลายคนกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์นิวซีแลนด์และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน

คำเชิญ Pleiadian เพื่อสร้างเวอร์ชันที่ดีกว่าในฝันของคุณ

💛✨✨ Channeled จาก 9D Pleiadian Collective 💛✨✨
 คำเชิญ Pleiadian เพื่อสร้างเวอร์ชันที่ดีกว่าในฝันของคุณ

 "พวกเราทักทายพวกคุณด้วยความรักและแสงสว่าง
 และเราเคารพในวิธีการของคุณ
 วันนี้เป็นวันสำคัญในชีวิตของคุณ
 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและพวกเขาจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้นตามเวลา

 กรุณาให้ความคิดที่ดีและความรู้สึกขอบคุณกับทุกคนที่รวมกันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
 นี่เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะนำพลังของคุณมาสร้าง  ตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสถานการณ์ในตอนนี้  คุณมีอิสระที่จะตัดสินใจเองและรู้ว่าคุณสามารถสร้างเรื่องราวที่คุณใฝ่ฝันได้

 เราเห็นว่าบางครั้งสถานการณ์ที่เลวร้ายเข้ามาในใจคุณและเจาะวิญญาณของคุณ  เราสนับสนุนให้คุณใช้ทุกสถานการณ์และดูอย่างระมัดระวัง  คุณจะพบว่าสถานการณ์เลวร้ายลงเป็นเพียงเรื่องราวในหัวของคุณที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นจริงหากคุณเชื่อในนั้น
 เมื่อคุณป้อนเรื่องราวนั้นด้วยความสนใจมากขึ้นคุณฉายมันในความเป็นจริงภายนอกของคุณและท้ายที่สุดคุณก็ใช้ชีวิตอย่างที่คุณไม่ต้องการ
 ดังนั้นเราขอเชิญคุณมาดูเรื่องราวที่เลวร้ายกว่าของคุณและเปลี่ยนสถานการณ์เหล่านี้ทั้งหมดด้วยวิธีที่คุณต้องการให้เรื่องราวของคุณปรากฏออกมา
 ลองนึกภาพสถานที่ที่สวยงามผู้คนที่น่าสนับสนุนผู้มีน้ำใจและความอุดมสมบูรณ์ที่แท้จริงทำให้สถานการณ์ของคุณ  นี่คือวิธีที่คุณสร้างโลกของคุณเอง
 
วันนี้มีไว้สำหรับคุณที่จะอยู่นิ่ง ๆ เพื่อทบทวนเรื่องราวของคุณความเชื่อที่เหลือเชื่อของคุณที่ไม่สอดคล้องกับความรักและความสงบนิ่ง
 ลองนึกภาพผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณเพราะนี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น
 
เขียนเรื่องราวของคุณวาดพวกเขาจินตนาการรายละเอียดทั้งหมดแล้วแตะเข้าไปในความกลัวและอารมณ์เสียที่มีอิทธิพลต่อความจริงของคุณจากมุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 ลองนึกภาพตัวเองว่าเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!  ให้อิสระแก่ตัวเองเพื่อสนับสนุนตนเองและมนุษยชาติ  วาดโลกของคุณด้วยสีหรือหัวใจของคุณ!
 ได้รับพรเสมอ!
 ความรักและความสุข! "

 จัดทำโดย Octavia Vasile
 ฉันเป็น Octavia และฉันเป็นช่อง Pleiadian Collective มิติที่ 9
 ฉันมาที่นี่เพื่อสนับสนุนกระบวนการจากน้อยไปหามากในการดำรงอยู่ในมิติที่ 5 โดยการแบ่งปันข้อความที่ฉันช่องกับคุณ  การส่งสัญญาณเหล่านี้นำเสนอด้วยความรักและพรจาก Pleiadian Collective สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ปกป้องและนำทางโลกไปสู่การเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงการส่งผ่านความทุกข์เข้าสู่ความรัก

 การเปิดประตูสู่เส้นทางสู่การเปิดใช้งานรหัสไฟปลายทางของคุณ

 ภาพที่สวยงามคือรหัสแสงและนำมาจาก: https://www.facebook.com/RainbowPathToWholeness
 ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคนที่มาเป็นคน!

 "* ภาพนี้มาถึงฉันก่อนที่จะปิดการล็อกระดับโลก แต่ฉันได้รับคำสั่งไม่ให้เผยแพร่ในเวลานั้น

 การเปิดใช้งานนี้คือการเพิ่มขีดความสามารถของเราในการเดินทางของแต่ละบุคคลไปยังหัวใจของเราที่นั่งของอำนาจอธิปไตย  เมื่อเราไปถึงที่นั่นเราจะต้องผ่านเกตเวย์หลายระดับเพื่อปกป้องเส้นทางสู่หัวใจของเราฟื้นความเป็นผู้ปกครองในขณะที่เราก้าวไปสู่เป้าหมายของเรา

 เนื่องจากหัวใจของศูนย์รวมของเราเป็นเศษส่วนของ Heart of Gaia การเปิดทางเดินภายในจะสะท้อนให้เห็นถึงการเปิดของสิ่งเดียวกันโดยไม่ต้องอยู่บนระนาบโลก

 นี่จะเป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนจะเริ่มได้ยินเสียงเรียกไปยังสถานที่ที่จะทำงานของเราและของขวัญชิ้นนี้คือการอำนวยความสะดวกและความสะดวกในการเดินทางจำนวนมากของเรา

 สูดลมหายใจและรู้สึกถึงพลังงานของภาพเพราะนี่เป็นความลับที่สำคัญสำหรับการเปิดใช้งานหายใจเบา ๆ อย่างสงบเข้าหาหัวใจของคุณค้างไว้นานเท่าที่คุณสามารถหายใจได้สะดวกสบายและหายใจออกเบา ๆ รู้สึกเท้าของคุณอยู่บนพื้น  ทำต่อไปจนกว่าคุณจะได้รับสิ่งที่คุณต้องการโดยสังหรณ์ใจ

 โปรดแบ่งปันรูปภาพและคำแนะนำเหล่านี้เนื่องจากการเปิดใช้งานเหล่านี้กำลังค้นหาการเดินทางไปทั่วโลกและรวบรวมกลุ่มของขวัญที่เราทุกคนพร้อมที่จะรวบรวม  การตื่นอยู่ที่นี่  คุณและการกระทำของคุณเป็นส่วนสำคัญของการปฏิวัติของวิญญาณนี้

 ครอบครัวฉันรักคุณฉันเห็นคุณและฉันซาบซึ้งอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้  🌟💖🌟🙏

 ** ความรักและความเอาใจใส่มากมายได้เข้ามาในช่องทางและการสร้างรหัสแสงเหล่านี้  ฉันแบ่งปันได้อย่างอิสระ แต่คุณควรรู้สึกว่าทำเช่นนั้นได้รับเงินบริจาคด้วยความขอบคุณที่ https://paypal.me/walterwboyd "

https://www.facebook.com/112072623763758/posts/122297946074559/

พุทธคุณ พาหุง มหากา

จากคำสอนหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

หลวงพ่อจรัญ " พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดูเคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์
อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ
บอกว่าโยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด "พาหุงมหากา" หายเลย
สติก็ดีขึ้นเท่าที่ใช้ได้ผลสวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา
จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล "

<<เริ่มสวด>>
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

๑. พุทธคุณ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

๒. ธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

๓. สังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

๔. พุทธชัยมงคลคาถา (ถวายพรพระ)

๑. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๒. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๕. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๖. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๘. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน - เม แปลว่าข้าพเจ้า)

๕. มหาการุณิโก

มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ
จารีสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน - เม แปลว่าข้าพเจ้า)

กราบ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วสวดเฉพาะพุทธคุณ ดังต่อไปนี้

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชา จาระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถาเทวะ มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

ให้สวดพุทธคุณเกินอายุ ๑ จบ เช่น อายุ ๒๘ ปี ให้สวด ๒๙ จบ
เมื่อสวดพุทธคุณครบตามจำนวนจบที่ต้องการแล้ว จึงตั้งจิตแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลดังนี้

คาถาแผ่เมตตาตนเอง

อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์
อะหัง อะเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด

แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิดฯ

บทกรวดน้ำ (อุทิศส่วนกุศล)
อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แด่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลาย ขอให้เทวดาทั้งหลายจงมีความสุข
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลาย ขอให้เปรตทั้งหลาย จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงมีความสุข
อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพสัตตา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

<<จบบทสวด>>

คำแปล "พาหุงมหากา" หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" มีอยู่ ๘ บท และมีความมุ่งหมายแตกต่างกันทั้งแปดบท กล่าวคือ

บทที่ ๑ สำหรับเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น ในการสู้รบ
บทที่ ๒ สำหรับเอาชนะใจคนที่กระด้างกระเดื่องเป็นปฏิปักษ์
บทที่ ๓ สำหรับเอาชนะสัตว์ร้ายหรือคู่ต่อสู้
บทที่ ๔ สำหรับเอาชนะโจร
บทที่ ๕ สำหรับเอาชนะการแกล้ง ใส่ร้ายกล่าวโทษหรือคดีความ
บทที่ ๖ สำหรับเอาชนะการโต้ตอบ
บทที่ ๗ สำหรับเอาชนะเล่ห์เหลี่ยมกุศโลบาย
บทที่ ๘ สำหรับเอาชนะทิฏฐิมานะของคน

เราจะเห็นได้ว่า ของดีวิเศษอยู่ในนี้ และถ้าพูดถึงการที่จะเอาชนะหรือการแสวงหาความมีชัย ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
นอกเหนือไปจาก ๘ ประการที่กล่าวข้างต้น
ก่อนที่จะนำเอาตัวคาถาบทสวดมนต์และคำแปลมาไว้ให้จำจะต้องทำความเข้าใจคำอธิบายบทต่างๆ
ไว้พอสมควรก่อน เพราะความในคาถาเองเข้าใจยาก ถึงจะแปลออกมาก็ยังเข้าใจยากอยู่นั่นเอง เมื่อเราไม่เข้าใจ
เราอาจจะไม่เกิดความเลื่อมใส จึงควรจะหาทางทำความเข้าใจกันให้แจ่มแจ้งไว้ก่อน

ในบทที่ ๑. เป็นเรื่องผจญมาร ซึ่งมีเรื่องว่าพระยามารยกพลใหญ่หลวงมา พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถเอาชนะได้
จึงถือเป็นบทสำหรับเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น ในการสู้รบ
คำแปล- พระยามารผู้นิรมิตแขนได้ตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างชื่อ ครีเมขละ พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องมา
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะมารได้ ด้วยทานบารมีด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๒. เรื่องเล่าว่า มียักษ์ตนหนึ่ง ชื่ออาฬะวกะ เป็นผู้มีจิตกระด้างและมีกำลังยิ่งกว่าพระยามาร
พยายามมาใช้กำลังทำร้ายพระองค์อยู่จนตลอดรุ่ง ก็ทรงทรมานยักษ์ตนนี้ให้พ่ายแพ้ไปได้
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะปฏิปักษ์หรือคู่ต่อสู้
คำแปล- อาฬะวกะยักษ์ผู้มีจิตกระด้าง ปราศจากความยับยั้ง มีฤทธิ์ใหญ่ยิ่งกว่าพระยามาร
เข้ามาประทุษร้ายอยู่ตลอดรุ่ง องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยขันติบารมี ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๓. มีเรื่องว่าเมื่อพระเทวทัตทรยศต่อพระพุทธเจ้า ได้จัดการให้คนปล่อยช้างสาร ที่กำลังตกมันชื่อนาฬาคีรี
เพื่อมาทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่เมื่อช้างมาถึงก็ไม่ทำร้าย จึงถือเป็นบทที่เอาชนะสัตว์ร้าย
คำแปล- ช้างตัวประเสริฐ ชื่อนาฬาคีรี เป็นช้างเมามัน โหดร้ายเหมือนไฟไหม้ป่า มีกำลังเหมือนจักราวุธ และสายฟ้า
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยพระเมตตาบารมีด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๔. เป็นเรื่องขององคุลีมาล ซึ่งเรารู้กันแพร่หลาย คือ องคุลีมาลนั้นอาจารย์บอกไว้ว่า
ถ้าฆ่าคนและตัดนิ้วมือมาร้อยเป็นสร้อยคอ ให้ได้ครบพัน ก็จะมีฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่
องคุลีมาลฆ่าคนและตัดนิ้วมือได้ ๙๙๙ เหลืออีกนิ้วเดียวจะครบพัน ก็มาพบพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงสามารถเอาชนะถึงกับองคุลีมาลเลิกเป็นโจรและยอมเข้ามาบวช กลายเป็นสาวกองค์สำคัญองค์หนึ่ง
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะโจรผู้ร้าย
คำแปล- โจร ชื่อ องคุลีมาล มีฝีมือเก่งกล้า ถือดาบเงื้อวิ่งไล่พระองค์ไปตลอดทาง ๓ โยชน์
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยการกระทำปาฏิหาริย์ ด้วยเดชะอันนี้ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๕. หญิงคนหนึ่งมีนามว่า จิญจมาณวิกา ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า โดยเอาไม้กลมๆ
ใส่เข้าที่ท้องแล้วก็ไปเที่ยวป่าวข่าวให้เล่าลือว่าตั้งครรภ์กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ ให้ความจริงปรากฏแก่คนทั้งหลายว่าเป็นเรื่องกล่าวร้ายใส่โทษพระองค์โดยแท้
จึงถือเป็นบทที่เอาชนะคดีความหรือการกล่าวร้ายใส่โทษ
คำแปล- นางจิญจมาณวิกาใช้ไม้มีสัณฐานกลมใส่ที่ท้อง ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์ เพื่อกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยวิธีสงบ ระงับพระทัยในท่ามกลางหมู่คน ด้วยเดชะอันนี้ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๖. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะสัจจะกะนิครนถ์ ซึ่งเป็นคนเจ้าโวหาร เข้ามาโต้ตอบกับพระพุทธเจ้า
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะในการโต้ตอบ
คำแปล- สัจจะกะนิครนถ์ ผู้มีนิสัยละทิ้งความสัตย์ใฝ่ใจจะยกย่องถ้อยคำของตนให้สูงประหนึ่งว่ายกธงเป็นผู้มืดมัวเมา
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยรู้นิสัยแล้วตรัสเทศนาด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๗. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ให้พระโมคคัลลาน์ อัครมหาสาวกไปต่อสู้เอาชนะพระยานาคชื่อ นันโทปนันทะ
ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมในการต่อสู้มากหลาย จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะเล่ห์เหลี่ยมกุศโลบาย
คำแปล- องค์พระจอมมุนี ได้โปรดให้พระโมคคัลลาน์เถระ นิรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพระยานาคชื่อ
นันโทปนันทะ ผู้มีฤทธิ์มากให้พ่ายแพ้ด้วยวิธีอันเป็นอุปเท่ห์แห่งฤทธิ์ ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

ในบทที่ ๘. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ ผกาพรหม ผู้มีทิฏฐิแรงกล้าสำคัญว่าตนเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุด แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถทำให้ผกาพรหมยอมละทิ้งทิฏฐิมานะ และยอมว่าพระพุทธเจ้าสูงกว่า
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะทิฏฐิมานะของตน
คำแปล- พรหม ผู้มีนามว่า ท้าวผกา มีฤทธิ์และสำคัญตน ว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์
มีทิฏฐิที่ถือผิดรัดรึงอยู่อย่างแน่นแฟ้น องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ด้วยวิธีเทศนาญาณ ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

คำแปล มหาการุณิโก

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อันเป็นที่อภิเษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนั้นเถิด เวลาที่กำหนดไว้ดี งานมงคลดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความปรารถนาดีอันเป็นกุศล ผู้ได้ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

---------------------------------------------------------------

ที่มาและอานิสงส์ของบทสวดมนต์ ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหาการุณิโก
ที่มาของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา อาตมาได้ตำราเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นใบลานทองคำจารึกของสมเด็จพระพนรัตน์
วัดป่าแก้ว ปัจจุบันเรียกว่า วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา ได้รจนาถวายพระพรชัยมงคลคาถาแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระพนรัตน์เป็นอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
อานิสงส์ของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่เคยแพ้ทัพ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไม่เคยแพ้ทัพ พระชัยหลังช้างของ ร.๑ นั้นมาจากบทพาหุง มหากา
ผู้ใดสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากา เป็นประจำทุกๆ วันแล้ว มีแต่ชัยชนะทุกประการ
เรียนหนังสือก็เกิดปัญญา มีแต่ความเก่งกล้าสามารถ ผู้ใดสวดทุกเช้า ค่ำ คิดสิ่งใดที่ดีเป็นมงคล
จะสมความปรารถนาทุกประการ

เมื่ออาตมา(หลวงพ่อจรัญ)ได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับแล้ว ฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่งได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ
สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโสผู้รัตตัญญูจึงน้อมนมัสการท่าน
ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมาแล้วกล่าวกับอาตมาว่า
"ฉันคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็นเจ้า เนื่องในวาระที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาแห่งพม่าและประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย
จากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"
ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้วก็ตกใจตื่นนอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝันก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิตด้วยพระกรรมฐานมีสติอยู่เสมอเรื่องฝันฟุ้งซ่านก็เป็นไม่ม
ี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ในวัดใหญ่ชัยมงคล
และจะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ และจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น
อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่งเพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย
ซุ้มเสมาขอ ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับวัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำ
ที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอาให้อาตมาตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ๆ แต่แตกหักผุพังทั้งนั้น หลายสิบปี๊บ
อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง

วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึงก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว มองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง
มีร้านไม้พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านม้าก็ยอมตาย
คนที่ร่วมเดินทางมาเขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ ๐๙.๐๐ น.
อาตมาลงไปภายในแล้วก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริงๆ
อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วท่านได้จารึกถวายพระพร
ก็คือบทสวดที่เรียกว่า "พาหุงมหาการุณิโก" ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วศรีอโยธเยศ
คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช"
พาหุงมหากาก็คือบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็พรพาหุงอันเริ่มด้วย
"พาหุงสหัสไปจนถึงทุคคาหทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึงมหาการุณิโกนาโถหิตายะ
และจบลงด้วยภาวะตุ สัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธัมมา สัพพะสังฆา นุภาเวนะสะทาโสตถี ภะวันตุเต"
อาตมา เรียกรวมกันว่าพาหุงมหากา
อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือบทสวดมนต์ที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไว้สวดเป็นประจำเวลาอยู่กับพระมหาราชวังและในระหว่างศึกสงคราม
จึงปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใด ทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมามิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลยแม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า
ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคนก็ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่าด้วยการกระทำยุทธหัตถี
มีชัยเหนือพระมหาอุปราชาที่ดอนเจดีย์ปูชนียสถานแม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากัน
พระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปานแต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง

อาตมาพบนิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมา ด้วยความสบายใจถึงปากปล่องที่ลงไปเกือบสามชั่วโมง เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ แต่อาตมาไม่ตอบ
ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา
จากพญาวัสวดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคิรี จากองคุลีมาล จากนางจิญมาณวิกา จากสัจจะกะนิครนถ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้ประจำทุกวันจะมีชัยชนะมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน
มีสติระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากากันให้ทั่วหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้ว
ยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมากๆ เข้า สวดกันทั้งประเทศก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า

ไม่ใช่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น
ที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงมหากา แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงพบเช่นกัน
โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ว่าดังนี้
"เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเห็นว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนา
และยืดยาวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุง มหากาบรรจุไว้ในองค์พระและพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ด้วยการเจริญพาหุงมหากาจึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"
สวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มากๆ จะมีแต่ความรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร
เพราะชินบัญชรนั้นเจ้าประคุณสมเด็จท่านได้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงมาถึงชินบัญชรให้จดจำกันเอาไว้ นั่นแหละมงคลในชีวิต
อันที่จริงถ้าเราทำบุญ เราจะได้ยินพระสวดคาถา "พาหุงมหากา" หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" ให้เราฟังทุกครั้ง
บางทีเราจะเคยได้ยินพระสวดเจนหูเกินไปจนไม่นึกว่ามีความสำคัญ แท้จริงแล้วคาถาดังกล่าวนี้ มีของดีอยู่ในตัวให้เราใช้มากทุกบททุกตอน เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า อ้างอานุภาพของพระพุทธเจ้าเพื่อนำชัยมงคลมาให้แก่เรา ทุกตอนลงท้ายว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ"
เวลาพระสวดให้เรา ท่านต้องใช้คำว่า "เต" ซึ่งแปลว่า "แก่ท่าน" แต่ถ้าเราจะเอามาสวดหรือภาวนาของเราเอง
เพื่อให้ชัยชนะเกิดแก่ตัวเราเอง เราก็จะต้องใช้ว่า "เม" ซึ่งแปลว่า "แก่ข้า" คือสวดว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเม
ชะยะมังคะลานิ"