: พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
1.พระโสดาบัน ผู้เข้าถึงกระแสคือเข้าสู่มรรค เดินทางถูกต้องอย่างแท้จริง หรือปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคอย่างแท้จริง เป็นผู้รักษาศีลให้สมบูรณ์มิให้ศีลขาดหรือด่างพร้อย ทำได้พอประมาณในสมาธิ (คือทำได้ยังไม่เต็มที่เหมือนรักษาศีล) และทำให้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์กิเลสได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน) วิจิกิจฉา (ความสงสัย) สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นในศีลและข้อวัตรอย่างงมงาย)
2.พระสกทาคามี ผู้จะกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว ก็จะกำจัดทุกข์ได้หมดสิ้น เป็นผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำได้พอประมาณในสมาธิ ทำได้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์กิเลส 3 ข้อ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงด้วย
3.พระอนาคามี ผู้จะปรินิพพานในที่ที่ผุดขึ้น ไม่เวียนกลับมาอีก เป็นผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำสมาธิให้บริบูรณ์ได้เต็มที่ แต่ทำได้พอประมาณในปัญญา (มีใจเป็นสมาธิ แต่ยังไม่เห็นแจ่มแจ้ง) ละสังโยชน์ได้อีก 2 คือ กามราคะ (ความกำหนัดในกาม) และ ปฏิฆะ (ความขุ่นเคืองใจ) รวมเป็นละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ข้อ
4.พระอรหันต์ ผู้ควรแก่ทักษิณาหรือการบูชาพิเศษ หรือผู้หักกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสิกขาทั้ง 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และละสังโยชน์กิเลสเบื้องสูงได้อีก 5 ข้อ คือ รูปราคะ (ความติดใจปรารถนาอยู่ในรูปภพ) อรูปราคะ (ความติดใจปรารถนาอยู่ในอรูปภพ) มานะ (ความถือตัว) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) อวิชชา (ความไม่รู้อริยสัจจ์) รวมละสังโยชน์ได้ 10 ข้อ
ภาพ พระพุทธรูปสี่พระองค์ ประดิษฐานอยู่หน้าพระพสี่พระองค์ใหญ่ประธาน ในวิหารวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น