วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2566

พระเจ้าอชาตศัตรูตายจากความเป็นคนไปอยู่โลหะกุมภีเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

พระเจ้าอชาตศัตรูตายจากความเป็นคน
ไปอยู่โลหะกุมภีเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
"...พระเจ้าอชาตศัตรูมีความทรยศต่อพระราชบิดาคือพระเจ้าพิมพิสาร เป็นกบฏคิดฆ่าพ่อ ด้วยอำนาจของพระเทวทัตยุยงส่งเสริม เจตนาเดิมของพระองค์ไม่มี ในจิตใจของท่านนั้นไม่เต็มใจจะทำ แต่ว่าโดนพระเทวทัตยุหนักๆ เข้าก็ทนไม่ไหว ในที่สุดก็ต้องตามใจเพราะถือว่าเป็นอาจารย์ จึงคิดประหัตประหารพระราชบิดาซึ่งเป็นพระโสดาบัน โดยแย่งราชสมบัติและก็ทรมานพ่อ จับขังคุก ต่อมาก็ให้อดข้าว 

แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านเดินจงกรม จึงอยู่ด้วยธรรมปีติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตาย ผิวพรรณยังผ่องใส ในที่สุดก็ถูกเฉือนเท้าไม่ให้เดิน ท่านมีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจของพระองค์ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าจึงมีจิตใจชุ่มชื่น

หลังจากการฆ่าพระราชบิดาตายแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูก็เข้าหาพระ ทำบุญเป็นการใหญ่ ต่อมาได้ขอขมาต่อพระรัตนตรัย และเป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนา ตั้งแต่ปฐมสังคายนาเป็นต้นมา 

ความจริงโทษอันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า "จะต้องตกอเวจีมหานรก แต่อาศัยบุญใหญ่อันนี้ จึงช่วยให้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ต้องลงอเวจีมหานรก มาตกอยู่แค่โลหะกุมภี ซึ่งเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑" 

สำหรับนรกขุมนี้ไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่เหมือนนรกขุมใหญ่บอกอายุไว้ แต่ก็นานเหลือเกินเพราะพอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒-๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย โลหะกุมภี สำหรับโทษปาณาติบาต ถ้าทำปาณาติบาตก็ต้องไปตกนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วไปผ่านนรกบริวาร เศษของกรรมยังไม่หมดต้องมาลงโลหะกุมภี 

"โลหะ" แปลว่า "ของแข็ง" เช่น เหล็ก ทองแดง ทองเหลือง เป็นต้น

"กุมภี" แปลว่า "หม้อ"

รวมแล้วแปลว่า "หม้อโลหะใหญ่" มีหม้อทองแดงใหญ่มหึมา ใหญ่เท่าๆ กับปริมาณของสัตว์นรกที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์นรกมากหม้อก็ใหญ่มาก ถ้ามีสัตว์นรกน้อยหม้อก็ใหญ่น้อย ในหม้อทองแดงนี้มีนํ้าทองแดงเป็นนํ้าโลหะที่ถูกเคี่ยว มีความร้อนจัดและมีความรัดตัว 

บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม นายนิรยบาลก็เอาลงหม้อทองแดง โดยเอาหอกเสียบแล้วก็โยนลงไปในหม้อทองแดงบ้าง เอาค้อนใหญ่ตีหัวให้คะมำลงไปในหม้อบ้าง ในหม้อทองแดงมีนํ้าโลหะร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกถูกความร้อนเผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นมาปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ เมื่อจมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนกันอยู่แบบนั้นไม่มีเวลาหยุด จนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาตและก็ใช้เวลานานมาก

บางท่านบอกว่าสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของคน สำหรับคนเลวเท่านั้นที่พูดแบบนี้ สัตว์ทุกตัวรักชีวิตจะเห็นว่า เวลาที่เราจะเข้าไปจับหรือเวลาที่เราจะฆ่ามัน มันมีอาการดิ้นรนหนีเพื่ออิสรภาพ ไม่ต้องการให้ใครทำร้ายมัน การฆ่าสัตว์ที่ยังมีชีวิตทุกประเภทจะต้องลงโลหะกุมภี 

เคยมีพวกหมอมาถามว่า "พวกพยาธิที่อยู่ในท้องก็ดี บรรดาเชื้อโรคทั้งหลายก็ดี ก็มีร่างกายมีชีวิตเหมือนกัน อย่างนี้ถ้าเราฆ่ามีโทษไหม" อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก บอกแต่พวกเล็นพวกไรต่างๆ แต่ว่าการฆ่าต้องเต็มไปด้วยเจตนา ถ้าหากว่าเราเดินไปเหยียบตายโดยไม่เห็น ไม่มีเจตนาอย่างนี้ ท่านไม่จัดว่าเป็นกรรมต้องลงนรก เวลายุงกัดเรารำคาญเอามือไปลูบไปแตะคิดว่าจะให้ยุงหนีไป บังเอิญเป็นยุงก้นปล่องมันกินเลือดเราเข้าไปเต็มที่แล้วมันไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน พอไปถูกเข้าตายโดยไม่มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย อย่างนี้ไม่มีโทษต้องลงโลหะกุมภี

ถ้าไม่ต้องการมายมโลกียนรกขุมที่ ๑ คือโลหะกุมภี ก็มีเมตตาปรานีเข้าไว้ หรือทรงพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมด ก็จะไม่ปรากฏร่างของเราในอบายภูมิ..."

#อารมณ์ฌาน

เมื่อเข้าบวชได้ ๓ วันนับตั้งแต่วันออกบวช หลวงพ่อปานท่านสั่งให้รักษาอารมณ์ ลมหายใจเข้าออก ท่านถือเป็นหลักใหญ่ ก่อนภาวนาท่านให้ปลงขันธ์ ๕ ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ต้องอธิบายนะ และสอนให้ใคร่ครวญอารมณ์ชั่วที่ใจให้ระงับเสียชั่วคราว คือ นิวรณ์๕ ได้แก่ การพอใจในรูปสวย เสียงเพราะหรือเสียงประจบใจ กลิ่นที่ชอบใจ รสอร่อยจากรสอาหารหรือรสสัมผัส และให้ตั้งอารมณ์เมตตาไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรับคนและสัตว์ทั้งโลก ตัดความสงสัย ตัดอารมณ์นอกรีต นอกรอยที่คิดเกินครูสอน ระงับความง่วงเมื่อมันเข้ามาขัดจังหวะ แต่ไม่ให้ทนง่วงจนเกินพอดี ท่านบอกว่าจะเกิดโรคประสาท เขาจะหาว่าทำกรรมฐานบ้า ความจริงทำกรรมฐานให้รักษาอารมณ์ให้เป็นปกติเป็นเป็นการปฎิบัติตัดอารณ์บ้า แต่ถ้าใครทำจนบ้า คนนั้นเป็นคนทำเกินพอดี เกินคำสั่งของพระพุทธเจ้า เรียกว่าศิษไม่เชื่อครู เรื่องการพยายามเกินพอดีท่านำชักำชับมาก ห้ามทำเด็ดขาด ถ้าทราบจะถูกประณามในที่ประชุม ท่านสอนการใคร่ครวญท่านให้ทำให้มาก เมื่อมีอารมณ์ระงับความชั่วได้แล้วและพอมองเห็นจริงกับไตรลัษณ์บ้างแล้ว จึงให้ภาวนา วิธีสอนของท่านมีผล ๒ ทาง คือ

อารมณ์คิดหรือไคร่ครวญเป็นการปล่อยให้เรือไหลไปตามระแสน้ำ คือไม่เอาเรือขวางเมื่อน้ำเชี่ยว ทั้งนี้เพราะจิตมีความสัมพันธ์กับความคิดที่ไม่มีขอบเขตมาแล้วหลายแสนกัป คิดเป็นชาติ เกิดก็หลายล้านชาติ ทุกชาติที่เกิดมันคิดตามอารมณ์ของมัน ไม่มีใครห้ามปรามมัน มันมีอิสระในความคิด ตอนนี้เราจะเกิดมาห้ามมันคิด เอะอะก็ห้ามมันเลย มันจะไหวเหรอ ท่านให้คิดก่อน แต่หาเรื่องให้คิดมุมกลับ คือ คิดตัด คิดระงับ แต่ไม่ตัดไม่ระงับทันทีทันใด เช่น คิดถึงรูป มันต้องมองความสวยกันก่อน เมื่อจะระงับอารมณ์ที่ติดในความสวย คราวนี้ต้องกแก้ผ้าคนสวยกัน เมื่อแก้ผ้าแล้วยังเห็นว่าสวย ต้องผ่าท้อง กันเอาตับไตใส้ปอดออมาดู คราวนี้จะมีอะไรสวย มันก็หมดเรื่องกัน 

เมื่อหาเรื่องให้คิด จิตพอมีอารมณ์สบาย แม้ไม่มีโอกาสเที่ยวใกลนักแต่ยังมีโอกาสเที่ยว อารมณ์กลุ้ม บรรเทา อันนี้ เป็นวิธีบรรเทาอารมณ์กลุ้มของจิต

อันดับ ๒ เมื่อใคร่ครวญตามนั้นก็เกิดอารมณ์เบื่อใน รูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส หมดความสงสัยเพราะเห็นจริงกับความจริงที่มองเห็น เกิดอารมณ์ยับยั้งใจไม่ดิ้นมีอารมณ์เบื่อ หมดสงสัยใจก็เป็นสมาธิง่าย 

ถ้าพิจารณาไม่เห็นตอนความเปลี่ยวไม่ลด ท่านห้ามภาวนา เมื่อทำตามท่านรู้สึกว่ามันง่ายจริงๆ ใคร่ครวญพอสมเหตุผลแล้วเริ่มจำความเคลื่อนใหวของลมหายใจ จับภาพพระโดยเฉพาะหลวงพ่อองค์ยิ้มง่ายมากและแจ่มใสชัดเจน ทรงอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง

คืนที่ ๒ ลองตั้งอารมณ์อย่างนั้น ๕ ชั่วโมง เห็นทรงได้สบาย จะทรงอารมณ์เมื่อไหร่ก็ได้ พอย่างวันที่ ๓ ยิ่งมีความคล่อง ทรงอารมณ์ได้ฉับพลัน นานเท่าไหร่ก็ได้ พอเช้าวันที่ ๔ เวลาฉันข้าวเช้า หลวงพ่อท่านฉันอิ่ม ท่านวางมือ มองไป มองมา ท่านหัวเราะและพูดว่า เอ่อเจ้ากระทิงเปลี่ยว ๔ ตัว มันเก่งวะ มันทรงฌาน ๔ ทั้ง ๔ องค์ น่ารักนะ เขามา ๓ วัน เขาทรงฌาน ๔ ได้ พวกที่บวชพร่ะก่อนเขาได้อะไรกันบ้าง เรื่องของฌานที่ท่านบอกฉัน ฉันไม่เห็นมีอะไร มีอารมณ์สบายและตั้งมั่นเท่านั้น ไม่เห็นมีรูปร่าง คิดว่าหนังสือที่เขาเขียน เขียนมากไป ถ้าเราทรงฌานจริง ไม่มีอะไร นอกจากใจไม่กังวล รักษาอารมณ์ให้ทรงตัวเท่านั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์อะไรเลย

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ได้ถูกไฟ 11 กอง เผาอยู่เสมอ

อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และเทวดา 
ได้ถูกไฟ 11 กอง เผาอยู่เสมอ 
เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ 11 กอง คือ 
1.ราคะ ความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ 5 มีรูปเป็นต้น 

2.ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ 

3.ไฟโมหะ ได้แก่ ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง 
โผฎฐัพพะ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์ 

4. ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์ 

5. ชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์ 

6. มรณธ คือ ไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์ 

7. โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก 

8. ปริเทวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไร รำพัน 

9. ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ 

10.โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ 

11.อุปายโส คือ ไฟแห่งความคับแค้นใจ 

ไฟทั้ง 11 กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลาย 
ให้ต้องพากันงมงาย เวียนว่ายตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ 

องค์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่

ถ้าขาดสติแล้ว...สมถะ และวิปัสสนานั้น...ไม่มี ทางเจริญได้เลย

"ใครจะเจริญสมถะ หรือวิปัสสนา
ขั้นใด ก็ตาม ถ้าขาดสติแล้ว...
สมถะ และวิปัสสนานั้น...ไม่มี ทางเจริญได้เลย 
นับแต่เริ่มแรกปฏิบัติมา 
จนสุดทางเดิน ผมไม่มองเห็นธรรมใด  
ที่เด่น และฝังลึกในใจ เท่าสติ...นี่เลย 

สติ...
เป็น ทั้งพี่เลี้ยง 
เป็น ทั้งอาหาร 
เป็น ทั้งยารักษา ของสมาธิ และปัญญา
ทุกขั้นธรรม 

ดังกล่าวนี้...
จะเจริญได้ จนสุดขั้นของตน  
ล้วนขึ้น อยู่...กับสติ...
เป็นผู้บำรุงรักษา โดยจะขาดไม่ได้

ท่านจงฟังให้ถึงใจ 
ยึดไว้ อย่าหลงลืม สติ...นี่แล คือขุมกำลังใหญ่ แห่ง...ความเพียรทุกด้าน 
ต้องผ่านสติ...นี้ก่อน จะเคลื่อนไหวโยกย้าย
ความคิดเห็นไปในทางใด หยาบหรือ ละเอียด
ในธรรมขั้นใด 

ต้องมีสติ...
เป็นตัวการสำคัญ ในวงความเพียร."
____________________________________________
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

#พระแท้ !!

"พระ" ในพระศาสนา
ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม 
ที่ไม่ได้บวชพระ ไม่ได้บวชเณร 

ถ้าเป็น " #พระโสดาบัน" 
พระพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า "พระ" 
เพราะว่าเป็น "พระแท้"

สำหรับคนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา
ที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ท่านเรียก "สมมติสงฆ์"
เพราะว่า เป็น สงฆ์สมมติ ไม่ใช่ "สงฆ์แท้"

ความเป็น "พระแท้" ของความเป็น "พระ"
ก็เริ่มตั้งแต่ "พระโสดาบัน"

🔳ที่มาจาก คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 
ฉบับที่ ๓๐ หน้า ๗๕
ขออนุญาตนำมาเผยแผ่เป็นธรรมทานค่ะ
แบ่งปัน : มงกุฎเพชร อภิญญา

#อดีตชาติหลวงพ่อฤาษีตอนเกิดเป็นขุนหลวงพระงั่ว

 ท่านผกาพรหมก็บอกว่า “นี่พ่อพรหมจ๋า ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิ พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ในประเทศไทย แต่ถ้าไทยยังแตกกันอยู่อย่างนี้เพียงใด พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีคนนับถือ ไม่มีคนปฏิบัติตาม พระพุทธศาสนาเกิดไม่ได้ ฉะนั้นท่านต้องกลับลงไปรวมไทยเดิมให้เป็นไทยตามเดิม” เอาอีกแล้ว

ท่านองค์นี้ขยันเตือนจริง ๆ จะลงมาเกิดเองก็ไม่ลงมา จึงถามท่านว่า จะไปลงที่ไหนล่ะ
 
 ท่านผกาพรหมบอกว่า “โน่น ไปลงที่อู่ทอง ไปหาทางเข้าครองเมืองให้ได้ เป็นกำลังใหญ่ของเมือง อย่าเพิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน”
ถามว่า จะจัดใครลงไปบ้าง
ท่านผกาพรหมก็บอก จะจัดเทวดา พรหม ลงมาช่วยพอสมควร แหมท่านผกาพรหมนี่มีหน้าที่จัดอย่างเดียว น่าจะแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีพรหมจัด ประเภทจัดให้คนอื่นเขาทำงาน แต่ตัวเองไม่ทำน่ะ
 นี่ พอคุยละมายืนต่อว่า

ท่านบอกว่า “มันเป็นหน้าที่ของพระเจ้ามังรายเขา เขามีความปรารถนาอย่างนั้น ก็คอยบอกเขาให้ทำอย่างนั้น”
 
 เป็นอันว่าพรหมพระเจ้ามังราย ก็ลงมาเกิดเป็นวาระที่ ๖ ในช่วงระยะเพียง ๒,๐๐๐ ปีเศษ เกิดในเมืองอู่ทอง เขาให้นามว่า “ขุนหลวงพระงั่ว”
ตอนนี้ก็หาทางรวมไทยเข้าด้วยกัน ใช้วิธีการทั้ง ๒ อย่าง คือ รบด้วยอาวุธ และรบด้วยลิ้น

การรบด้วยลิ้นถือว่ามีความสำคัญมากกว่าการรบด้วยอาวุธ เมื่อหาทางไปตีสุโขทัยเข้ามารวมกันไม่ได้ ก็เจรจาเป็นเพื่อนกันดีกว่า เพราะตอนนี้พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ที่หนองโสนแล้ว
 
 ขุนหลวงพระงั่วเข้าไปหาพระเจ้าลิไท เจรจากันว่า “คนไทยเรานับถือพระพุทธศาสนา และเวลานี้ พระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจัดกระจายไป เราควรจะรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่ จะได้เป็นหลักฐานในการสร้างความดีของคนไทย”
 
 พระเจ้าลิไท ท่านก็เป็นคนดี บอก โอ.เค. ด้วย ไม่ถือโทษโกรธเคืองที่เคยยกทัพไปตีท่าน
 ต่อมามีการนิมนต์พระสงฆ์ไปรวบรวมพระธรรมวินัย ใครรู้อะไร ใครมีตำราอะไร ก็มารวบรวมกันไว้
ต่อมาท่านก็คิดว่า ควรจะให้คนไทยรู้จักบาปรู้จักบุญ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง “ไตรภูมิพระร่วง” ขึ้น การร่างไตรภูมิพระร่วงนี่ ความจริงพระร่วงไม่ได้ทำ ท่านเป็นเพียงศาสนูปถัมภ์ มีขุนหลวงพระงั่วไปร่วมกับบรรดาพระสงฆ์ที่นิมนต์มาด้วย เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยา

และต่อมาก็ได้ร่วมกันอีกสร้าง พระพุทธชินราช สร้างพระพุทธชินสีห์ และสร้างพระศากยมุนี ขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวอยู่ได้ด้วยเหตุ ๓ เส้า ด้วยกันคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์
 พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา
 พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ

การสร้างคราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ท้าวโกสีสักกะเทวราช ให้พระวิษณุกรรมมาช่วย นี่ท่านผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้นะ ถ้าใครไม่เชื่อก็ไปเอาคนตายมาถามดูก็แล้วกัน
 
 ต่อมาภายหลังขุนหลวงพระงั่ว ก็มีโอกาสเข้ารวมไทยให้เป็นไทยเดียวกัน เป็นอันว่าสุโขทัย กับกรุงศรีอยุธยาก็รวมเป็นประเทศเดียวกัน เรื่องทั้งหลายนอกจากนี้เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์เขาเขียนไว้แล้ว ถูกบ้าง ผิดบ้าง เราจะมานั่งพูดเรื่องประวัติศาสตร์กันก็ไม่ดีจะกลายเป็นรือฟื้นหาตะเข็บ ดีไม่ดีเล็บจะไปทิ่มเอาเข็มเข้าไม่เกิดประโยชน์
 
 ลูกรักทั้งหลาย เป็นอันว่าพระเจ้ามังรายนี่เป็นพระเจ้าจอมเกิด เกิดทีไรยุ่งทุกทีจะต้องหาทางรวมไทยให้เป็นไท สร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิด เห็นไหมว่า พระเจ้ามังรายท่านสร้างบุญแค่ไหน เวลานี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนมาเกิดก็ดีหรอก ถ้าใช้ลัทธิพระเจ้าพรหมมหาราช และพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ มีหวังหัวขาดไปตาม ๆ กัน เพราะมีไทยขายชาติไทยทำลายชาติ นี่ไอ้พวกขอมเก่ามันมาเกิดในประเทศไทยแล้วมันก็หวังความเป็นใหญ่ในประเทศไทย

เราจะสังเกตได้ว่า ไอ้พวกขอมเก่าที่มาเกิดแทรกแซงนี่ เวลามันพูดละก็มันพูดดี แต่เวลาทำมันทำเลว และนิสัยของคนไทยไม่ค่อยจำ เจ็บแล้วไม่จำเพราะว่าเขาให้สตางค์เมื่อไรเลิกจำเมื่อนั้น จำได้อย่างเดียวเขาให้สตางค์ เพียงเขาให้สตางค์ ๑๐ บาท ก็ลงคะแนนให้เขา ไม่ได้คิดเลยว่าการที่เขาให้สตางค์เรามาน่ะ เขาต้องหากำไร ชาติจะฉิบหายวายป่วงยังไงช่างมัน ขอให้ได้สตางค์ก็แล้วกัน นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ การที่เด็กนักศึกษาเข้าป่าไปน่ะ ความจริงเราจะไปหาว่าเขาเป็นคอมมูนิสต์ก็ไม่ถูกเสมอไป เราต้องดูน้ำใจเขา เช่น บางคนก็หวังผิดไปจริง ๆ บางคนก็ว่าตามเข้าไม่ใช้มันสมองก็มี แต่บางคนคิดเพื่อความหวังดีของชาติอันนี้ก็มีมาก เพราะเคยพบ เคยเห็น เคยคุยกัน บางคนเจตนาเขาดี แต่มันไม่เป็นที่ถูกใจของคนบางพวก
 
ที่มา : จากเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ศีลนั้นจะมาคุ้มครองเรา

ถ้าเราเคยให้ทาน
ทานนั้นจะกลับมาหาเรา
ถ้าเราเคยรักษาศีล เมื่อมีภัย
ศีลนั้นจะมาคุ้มครองเรา
ถ้าเรามีภาวนา มีปัญญา
เมื่อเจอทางตัน อุปสรรค เราก็จะหาทางออกได้
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

⚜️ #อธิษฐานตามกันมา⚜️

         
           🙏#อันนี้หมายถึงว่า #การสั่งสมบารมีของเรามันเกินกำลัง #เกินกำลังที่จะไปนิพพาน #ที่จะไปนิพพานจริงๆมันเต็มมานานแล้ว 
🙏#แต่มันก็ติดอยู่ที่อธิษฐานบารมี #บอกถ้าหลวงตาองค์นี้ไปเมื่อไหร่ #ก็จะไปพร้อมกัน 
           🙏#การอธิษฐานไว้ #ก็ถือว่าอย่างไรฉันจะไปพร้อมพ่อฉัน นี่เรื่องเก่า จึงต้องลากมาถึงจุดนี้ แล้วถ้าตามฉันจริงๆ ก็ต้องรออีกเท่าไหร่ คือนับจากพระศรีอริย์ไปอีก 22 องค์ ไปนั่งเต้นแร้งเต้นกาบนดาวดึงส์ อยู่นั่นลงไม่ได้
้ 🙏#เมื่อฉันตัดก็ไปด้วยกัน ที่นี่ในเมื่อเราทราบว่าความดีเดิมมันอยู่ ก็ขอทุกคนรักษาความดีเดิมไว้ให้ทรงตัว การประมาทพลาดพลั้ง #ในเรื่องกรรมที่เป็นอกุศลย่อมมีบ้างเป็นของธรรมดาไม่มีใครเกิดมาในโลกนี้จะไม่ทำผิด หรือไม่ทำบาปเลยนี่ไม่มี
ี 🙏#แต่ว่าอารมณ์ความดีให้มันทรงตัวไว้ เวลานี้เรารู้ตัว ความดีอื่นมีได้อย่างไรก็ช่างเถอะ จะพลาดก็ช่าง แต่ส่วนที่จะไม่พลาดเลยในอารมณ์ก็คือ
      ⚜️ ประการที่ 1 
#คิดไว้เสมอว่าชีวิตของเราจะต้องตาย ตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสกับคณะของเปสการีว่า เธอทั้งหลายชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง คนและสัตว์ทั้งหมดมีความตายเป็นที่สุดเหมือนกันหมด พวกเธอจงตั้งใจไว้ในความดีไม่ประมาทในความตาย อันดับแรกคิดไว้ก่อน
       ⚜️ ประการที่ 2 
#มีการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ
       ⚜️ ประการที่ 3 
#ระมัดระวังเรื่องศีล 5 ความจริงมันง่าย ระมัดระวังเรื่องศีล 5 ไว้เป็นปกติ จนกระทั่งให้จิตมันเป็นอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องระวังมัน มันจะไม่ยอมละเมิดศีล 5 โดยเจตนา  
        🙏 #แต่การพลาดพลั้งโดยไม่ตั้งใจเป็นเรื่องธรรมดา เขาไม่ถือว่าบาป เท่านี้เอง #เท่านี้เราก็ไม่ลงอบายภูมิแล้วไม่ต้องทำอะไรกันหนักมาก
         🙏แล้วต่อไปถ้าเราไม่ลงเอาไปภูมิ จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เราก็ดูชาติปัจจุบันว่าเวลานี้เรามีความสุขหรือความทุกข์ กำลังใจของเรามีความสุขเพราะธรรมมีความเอิบอิ่มในธรรม 
         🙏แต่ว่าร่างกายมันต้องทุกข์ ร่างกายต้องทำมาหากิน ต้องเหนื่อย ต้องป่วยไข้ไม่สบาย ต้องมีความแก่ ต้องมีกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่พอใจ เป็นของธรรมดา แล้วก็มีความตายไปในที่สุด
         🙏ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ถือว่ามันไม่ดีเพราะร่างกาย แล้วโอกาสของเราจะมีในชาตินี้ก็ตัดสินใจไว้โดยเฉพาะว่า #ถ้าตายเมื่อไหร่จุดที่เราจะไปจริงๆนั่นคือนิพพานจุดเดียว นี่สำหรับคนที่ไม่ได้มโนมยิทธินะ ก็อย่าคิดว่าเราไม่มีสิทธิ์ มีแน่นอน 
         🙏 #สำหรับผู้ที่ได้มโนมยิทธิมีกำไรมากคือขึ้นไปนิพพานทุกวัน อันนี้เรื่องใหญ่ #ถ้าขึ้นไปนิพพานทุกวันให้อารมณ์มันชิน ไปถึงที่นั่นก่อนจะลงมาก็ตัดสินใจว่า #ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไหร่ขอมาที่นี่จุดเดียว อันนี้มันแน่นอนเหลือเกิน ที่ว่ากันถึงอารมณ์ที่ทรงตัว

🖋️📚คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๕๕ หน้า 110-111 
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2566

อานาปานัสสติกรรรมฐานนั้น มีอุบายเป็นเครื่องนำมา ดังต่อไปนี้:-

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้าที่ 363
[อุบายเป็นเหตุนำอานาปานัสสติกรรมฐานมา]
ในอธิการว่าด้วยอานาปานัสสติกรรรมฐานนั้น มีอุบายเป็นเครื่องนำมา ดังต่อไปนี้:-
จริงอยู่ ภิกษุนั้น รู้ว่ากรรมฐานไม่ปรากฏ ควรพิจารณาสำเหนียกอย่างนี้ว่า ชื่อว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ มีอยู่ในที่ไหน ? ไม่มีในที่ไหน ของใครมี ? ของใครไม่มี ?

ภายหลัง เมื่อภิกษุนั้น พิจารณาดูอยู่อย่างนี้ ก็รู้ได้ว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ (ของทารกผู้อยู่) ภายในท้องของมารดา ไม่มี พวกชนผู้ดำน้ำก็ไม่มี. พวกอสัญญีสัตว์ คนตายแล้ว ผู้เข้าจตุตถฌาน ท่านผู้พร้อมเพรียงด้วยรูปภพและอรูปภพ ท่านเข้านิโรธ ก็ไม่มีเหมือนกัน แล้วพึงตักเตือนตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า แน่ะบัณฑิต ! ตัวเธอไม่ใช่ผู้อยู่ในท้องของมารดา ไม่ใช่ผู้ดำน้ำ ไม่ใช่เป็นอสัญญีสัตว์ ไม่ใช่คนตาย ไม่ใช่ผู้เข้าจตุตถฌาน ไม่ใช่ผู้พร้อมเพรียง ด้วยรูปภพ และอรูปภพ ไม่ใช่ผู้เข้านิโรธ มิใช่หรือ ?

ตัวเธอยังมีลมหายใจเข้าและหายใจออกอยู่แท้ ๆ, แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถจะกำหนดได้ เพราะยังมีปัญญาอ่อน.

ภายหลัง เธอนั้น ควรตั้งจิตไว้ด้วยอำนาจที่ลมถูกต้องโดยปกตินั่นเอง ให้มนสิการเป็นไป. จริงอยู่ ลมหายใจเข้าและหายใจออกนี้ กระทบโครงจมูกของผู้มีจมูกยาวผ่านไป, กระทบริมฝีปากข้างบนของผู้มีจมูกสั้นผ่านไป. เพราะฉะนั้น เธอนั่น จึงควรตั้งนิมิตไว้ว่า ลมหายใจเข้าและหายใจออก ย่อมกระทบฐานชื่อนี้. 

ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงตรัสว่า ...
☝☝☝ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่กล่าวการเจริญอานาปานัสสติ แก่ภิกษุผู้หลงลืมสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่.*
//* ม. อุป. ๑๔/๑๙๖-๗.

วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2566

พระอริยสงฆ์ คือ ใคร

: พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์

1.พระโสดาบัน ผู้เข้าถึงกระแสคือเข้าสู่มรรค เดินทางถูกต้องอย่างแท้จริง หรือปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคอย่างแท้จริง เป็นผู้รักษาศีลให้สมบูรณ์มิให้ศีลขาดหรือด่างพร้อย ทำได้พอประมาณในสมาธิ (คือทำได้ยังไม่เต็มที่เหมือนรักษาศีล) และทำให้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์กิเลสได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน) วิจิกิจฉา (ความสงสัย) สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นในศีลและข้อวัตรอย่างงมงาย) 

2.พระสกทาคามี ผู้จะกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว ก็จะกำจัดทุกข์ได้หมดสิ้น เป็นผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำได้พอประมาณในสมาธิ ทำได้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์กิเลส 3 ข้อ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงด้วย

3.พระอนาคามี ผู้จะปรินิพพานในที่ที่ผุดขึ้น ไม่เวียนกลับมาอีก เป็นผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำสมาธิให้บริบูรณ์ได้เต็มที่ แต่ทำได้พอประมาณในปัญญา (มีใจเป็นสมาธิ แต่ยังไม่เห็นแจ่มแจ้ง) ละสังโยชน์ได้อีก 2 คือ กามราคะ (ความกำหนัดในกาม) และ ปฏิฆะ (ความขุ่นเคืองใจ) รวมเป็นละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ข้อ 

4.พระอรหันต์ ผู้ควรแก่ทักษิณาหรือการบูชาพิเศษ หรือผู้หักกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสิกขาทั้ง 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และละสังโยชน์กิเลสเบื้องสูงได้อีก 5 ข้อ คือ รูปราคะ (ความติดใจปรารถนาอยู่ในรูปภพ) อรูปราคะ (ความติดใจปรารถนาอยู่ในอรูปภพ) มานะ (ความถือตัว) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) อวิชชา (ความไม่รู้อริยสัจจ์) รวมละสังโยชน์ได้ 10 ข้อ

ภาพ พระพุทธรูปสี่พระองค์ ประดิษฐานอยู่หน้าพระพสี่พระองค์ใหญ่ประธาน ในวิหารวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน

กายในกาย(อทิสมานกาย) มี 5 อย่าง

กายในกาย(อทิสมานกาย) มี 5 อย่าง
ธรรมะโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
1. กายอบายภูมิ อทิสมานกายของกายอบายภูมิ
มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับคนขอทานที่มีแต่กาย
เศร้าหมองอิดโรย หน้าตาซูบซีดไม่ผ่องใส
พวกนี้ตายแล้วไปอบายภูมิ
2. กายมนุษย์ อทิสมานกายของกายมนุษย์
มีรูปร่างลักษณะค่อนข้างผ่องใส เป็นมนุษย์
เต็มอัตรา กายมนุษย์นี้จะต่างกันบ้างที่สัดส่วน
ผิวพรรณสวยสดงดงามไม่เสมอกัน พวกนี้
ตายแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์อีก
3. กายทิพย์ อทิสมานกายของกายทิพย์
คือกายเทวดาชั้นกามาวจร มีลักษณะผ่องใส
ละเอียดอ่อน ถ้าเป็นเทพชั้นอากาศเทวดา
หรือรุกขเทวดาขึ้นไป ก็จะเห็นสวมมงกุฏ
แพรวพราว เครื่องประดับสวยสดงดงามมาก
ท่านพวกนี้ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา
ชั้นกามาวจรสวรรค์
4. กายพรหม อทิสมานกายของกายพรหม
มีลักษณะคล้ายเทวดาแต่ผิวกายละเอียดกว่า
ใสคล้ายแก้ว มีเครื่องประดับสีทองล้วน
แลดูเหลืองแพรวพราวไปหมด ตลอดจน
มงกุฏที่สวมใส่ ท่านพวกนี้ ตายแล้ว
ไปเกิดเป็นพรหม
5. กายแก้ว อทิสมานกายของกายแก้ว
กายของท่านประเภทนี้เป็นกายของพระอรหันต์
จะเห็นเป็นประกายพรึกทั้งองค์ ใสสะอาด
ยิ่งกว่ากายพรหม ท่านพวกนี้ตายแล้ว
ไปพระนิพพาน การที่จะรู้กายพระอรหันต์ได้
ต้องเป็นพระอรหันต์เองด้วย
มิฉะนั้นจะดูท่านไม่รู้เลย

**เมื่อพระพุทธองค์ทรงบอกอดีตชาติที่แล้วของหลวงพ่อก่อนมาเกิด หลวงพ่อฤาษี**

**ขณะเมื่อตัดสินใจอย่างนี้เวลาที่ตัดสินใจเวลานั้น นั่งอยู่ที่ชั้นดาวดึงส์ อยู่ที่มุมหนึ่งของจุฬามณีเจดียสถาน เห็นพระกับเทวดาท่านมามาก** **ก็นึกในใจว่า ก่อนจะเกิด เรามาจากไหน**

แต่ความจริงถ้าใช้ **จุตูปปาตญาณ** ก็ทราบ แต่มันก็ไม่แน่ อาจจะเป็นอุปาทาน นึกในใจว่ามีพระองค์ไหนบ้างที่ท่านจะเมตตาบอกเราว่า **ก่อนที่เราเกิดมาจากไหน**

พอนึกเพียงเท่านี้ ก็มีพระองค์หนึ่งท่านเข้ามาใกล้ แต่พระองค์นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นพระที่ต้องเคารพอย่างสูงนั่นคือ **สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า**

ท่านบอกว่า **สัพพเกสี** ก่อนที่เธอจะไปเกิดเป็นคน **เธอไปจากพรหมชั้นที่ 4** เวลานั้น หลายชาติมาแล้ว

**เธอปรารถนาพุทธภูมิ **เวลานี้เธอก็ตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิ ตามที่หลวงพ่อปานสอน อันนี้ถูกต้อง

**แต่ว่าการเป็นพุทธภูมิของเธอไม่ตอลดรอดฝั่ง เพียงเข้าได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ เธอก็ต้องลาพุทธภูมิ**

ก็ถามท่านว่า **จะลาชาติไหน และชาติไหนจะได้ 99 เปอร์เซ็นต์**

ท่านก็บอกว่า **ชาตินี้แหละ มันเป็นชาติสุดท้าย**

ถ้าเธอเอาจริง ๆ ก็จบกันชาตินี้ พุทธภูมิ แต่ความจริงนี่เธอก็ทำจริงมาทุกอย่าง เอาจริงทุกอย่าง ทำชนิดที่เรียกว่า คนอื่นเขาไม่ค่อยจะทำกัน ไม่ใช่ไม่มีคนทำอย่างนี้ พระที่ทำอย่างนี้ มี คนที่ทำอย่างนี้ มี แต่ว่ามีจำนวนน้อย

เธอมาจากพรหมชั้นที่ 4 เวลาตายแล้วต้องกลับขึ้นไปสูงกว่านั้น ความรู้สึกในเวลานั้นก็คิดว่า คงจะเป็นพรหมชั้นที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ก็ว่ากัน ตามเรื่องตามราว

พอคิดอย่างนั้น **ท่านก็บอกว่า ไม่ถูก ต้องไม่ใช่ดินแดนของพรหม แต่ว่าก่อนจะตายเธอต้องรับภาระพุทธภูมิก่อน** **เมื่อเธอลาจากพุทธภูมิแล้ว เธอต้องทำงานพุทธภูมิจนกว่าจะสิ้นลมปราณ**

ก็เลยถามท่านว่า การสิ้นลมปราณ เมื่อไรกันแน่ อายุเท่าไร ท่านก็เลยบอกว่าสุดแล้วแต่กฏของกรรม กรรมมันมี 3 อย่าง

**1. กุศลกรรม** กรรมที่เป็นบุญ คือ ความดี ความดีส่งผลให้อยู่อายุเท่าไรก็อยู่อายุเท่านั้น

**2. กรรมที่เป็นอกุศล **คือ ผลของความชั่ว มันจะมาลิดรอนเมื่อไร ก็ต้องอยู่ได้แค่นั้นตามคำสั่ง **ถ้างานนั้นยังไม่เสร็จตามคำสั่งเพียงใด เธอก็ยังตายไม่ได้**

ก็ถามว่า ใครจะเป็นคนสั่ง ท่านก็ตอบว่า วันนั้นจะรู้เอง ถามว่า วันนั้น เวลากี่ปีพระเจ้าข้า ท่านบอกว่า การนับปี นับเดือน นับวันนั้นไม่ถูก สุดแล้วแต่กำลังใจของเธอ ถ้ากำลังใจของเธอถึงวันนั้นเมื่อไร จะทราบเรื่องนี้ แต่ก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่า ความตาย ยังไม่มีในป่า ในป่าของอำเภอศรีประจันต์

**ตอนนั้นท่านก็นิ่ง อาตมาก็นิ่งเหมือนกัน นึกในใจว่าข้อความใดที่เราอ่านหนังสือแล้ววันนี้ ที่มีความไม่เข้าใจ เราขีดเส้นไว้ มีพระองค์ใดไหมที่จะสอนเรา หรือเทวดาองค์ไหน หรือพรหมองค์ไหน**

**พอนึกอย่างนี้ ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าฉันนี่แหละจะเป็นคนสอน ท่านก็แนะนำให้บอกว่า ถ้าหากว่าจะสอบตามวิธีกรรม ที่เขาสอบต้องตอบอย่างนี้ ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ แต่ว่าถ้าจะเอาจริงตามแบบปฏิบัติในพุทธศาสนาจริง ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ คือมันผิดกัน รู้สึกว่ามันผิดกันมาก แล้วท่านก็ อธิบายให้ฟังจนมีความเข้าใจทุกข้อ**

หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อจากนี้ไป เธอก็ไปที่เก่าของเธอก็แล้วกันนะ ฉันจะเข้า** จุฬามณีเจดียสถาน **เพราะพรหม เทวดา พระอริยเจ้าท่านคอยอยู่

ก็ถามท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้น จะเข้าไปบ้างได้ไหม อยากจะเจอะพรหม เจอะเทวดามาก ๆ เจอะพระอริยเจ้า เพราะมีความเคารพในพระอริยเจ้ามาก

ท่านบอกว่า เข้าได้ แล้วท่านก็เสด็จเข้าไป

อาตมาเองก็เดินเข้าไป ก็พอดีอีก 2 องค์ก็มาพร้อมกัน เข้าไปพร้อมกัน เข้าไปก็เห็นว่า พระอริยเจ้า นั่งเป็นกลุ่ม ๆ ความจริง คำว่า พระอริยเจ้า บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ท่านตายไปแล้ว นั่นมันเรื่องหนึ่งต่างหาก **สำหรับพระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ที่มีความสำคัญที่ท่านเป็นพระก็มี ท่านเป็นอุบาสก อุบาสิกา คือ ผู้หญิง ผู้ชายที่ยังไม่ได้บวชก็มี เป็น พระอริยเจ้า ท่านนั่งตามลำดับของท่าน**

ต่างคนต่างตั้งใจสดับ รับรสพุทธพจน์เทศนาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพุทธบริษัทอ่านมาถึงตอนนี้แล้วจะรู้สึกว่า อาตมาบ้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบก็ไหน ๆ มันก็บ้ามาหลายสิบปีแล้ว ก็บ้ามันต่อไป

**หลังจากท่านเทศน์เสร็จ ท่านก็หายไป อาตมาก็หันไปมองพระอริยเจ้า ที่สนใจก็คือพระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ที่ตายแล้วนมัสการท่าน ท่านก็ยิ้ม ท่านก็จับมือไม้ ท่านก็ชี้มือชี้ไม้แสดงว่ารู้จักกันมาก่อนก็เยอะแยะในชาติก่อน ๆ แต่พระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย นี่ก็หลาย พระอรหันต์ก็มี พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็มี ฆราวาสที่เป็นอนาคามี ทั้งผู้หญิง ผู้ชายก็มี พระโสดาบันก็มี สกิทาคามีก็มี**

**เมื่อเห็นฆราวาสท่านเป็นพระอริยเจ้า ก็รู้สึกอายท่าน** ว่าท่านนุ่งกางเกง ท่านนุ่งผ้าโจงกระเบน ท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่เรายังไม่ใช่พระอริยเจ้าเราเลวกว่าท่านมาก ที่รู้จักท่านก็มีเยอะ และพระอริยเจ้าผู้ชาย ผู้หญิงนะ แหม..ญาติโยมบางคนก็แต่งตัวรุ่งริ่ง ๆ ผ้าเก่าแล้วเก่าอีก คนแต่งตัวดี ๆ ไม่ค่อยมี มีแต่คนจน ๆ แสนจน จนน้อยบ้าง จนมากบ้าง จนจริง ๆ ดูเครื่องแต่งตัว

แต่ถ้าดูความเป็นทิพย์ของท่าน มีความผ่องใสมาก ขอดูภาพเดิมท่านนะ ที่รู้เครื่องแต่งตัวและที่รู้จักกันก็มีที่ไม่รู้จักกันก็มี ที่รู้จักกันก็มีหลายคน ที่รู้จักกันก็รู้สึกว่า บรรดาประชาชนบางคน ดูถูกดูหมิ่นท่านว่า เป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น

ข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือหลวงพ่อธุดงค์ หลวงพ่อฤาษี ตอน ฝึกธุดงค์ ที่ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๑

#หลวงพ่อ**ธุดงค์**_**หลวงพ่อฤาษีลิงดำ **#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์8 #หลวงพ่อฤาษี5

วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2566

วิธีการเปิดตาที่สามหรือต่อม Pineal gland

กำหนดสติรับรู้ความรู้สึกที่จุดกึ่งกลางเหนือหว่างคิ้ว ที่เป็นจุดรับรู้ลมหายใจเข้า ภาวนา “พุท”
กำหนดสติรับรู้ลมหายใจออกที่ปลายจมูกลมออก ภาวนา “โธ”
พร้อมกับกำหนดเห็นภาพในมโนจิตเป็นดวงแก้วสีแดง สีเหลือง สีเขียว (เอาสีที่ชอบสีเดียว) วางไว้ที่จุดกึ่งกลางเหนือหว่างคิ้ว จุดเดียวกับ ภาวนา “พุท” ให้เห็นดวงแก้วที่มโนจิตตลอดเวลา ถ้าลืมภาพดวงแก้ว ให้ตั้งสติกำหนดภาพดวงแก้วขึ้นมาใหม่ พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกระหว่าง จุดกึ่งกลางเหนือหว่างคิ้วกับปลายจมูกให้รู้สึกจุดกระทบทั้งสองจุดชัดจิต

เมื่อจิตเริ่มสงบดวงแก้วจะเริ่มสวยงามระยิบระยับสวยงาม สลับสีกันแดง เหลือง เขียว ทำให้เกิดปีติ น้ำตาไหล ขนลุกขนพอง ตัวขยาย เย็นซาบซ่านแผ่ทั้งกายและทิ้งคำบริกรรม พุท-โธ อยู่กับลมหายใจเข้า-ออกและดวงแก้ว

เมื่อจิตสงบมากขึ้น ลมหายใจละเอียดแผ่วเบาจะเริ่มกำหนดรู้ที่จุดกึ่งกลางเหนือหว่างคิ้วจุดเดียว ดวงแก้วเปลี่ยนเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ เมื่อถึงสภาวะนี้จะเกิดสุขแบบไม่มีสุขใดในโลกเทียบเท่า เอาสุขทั้งชีวิตมารวมกันก็เทียบไม่ได้กับสุขนี้

เมื่อถึงความสงบขั้นสุดท้ายลมหายใจและกายจะดับสนิท เหลือแต่ดวงแก้วใสประกายพรึกส่องสว่างไสวสวยงามกลางความว่างที่ไม่สัมผัสถึงกายอีกต่อไป ไม่มีความรู้สึกทั้งสุขและทุกข์ มีแต่ความสงบและอุเบกขา อยู่กับความสงบจนเต็มอิ่มแล้วจิตจะถอนออกมารับรู้ความสุข ลมหายใจและกายตามลำดับ

สภาวะนี้จิตจะมีกำลังมากเหมาะแก่การเจริญวิปัสสนากำหนดภาพร่างกาย หรือโลกธาตุให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เห็นกฏไตรลักษณ์ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาให้เห็นเป็นภาพได้อย่างชัดเจน ให้จิตเกิดปัญญาเบื่อหน่ายการเวียนว่าย ตาย เกิดในวัฏสงสาร

เมื่อท่านเปิดตาที่สามสำเร็จแล้วเมื่อภาวนาพุทโธจะรู้สึกตึงๆ หรือชีพจรเต้น ตุ๊บๆๆ และปรากฏดวงแก้วประกายพรึกที่จุดกึ่งกลางเหนือหว่างคิ้ว ตลอดเวลา 

ข้อดีของตาที่สาม คือ เกิดทิพยจักขุญาณ มองเห็นอดีตหรืออนาคต มองเห็นวิญญาณสิ่งลี้ลับ จับกระแสพลังงาน รัศมีกาย อารมณ์และความคิดของผู้อื่นได้ดี การรับรู้ระดับสูงในทางจิตวิญญาณ และเป็นสัญลักษณ์ของการรู้แจ้ง รวมถึงการหยั่งรู้พิเศษ เช่น การเห็นนิมิต ตาทิพย์ รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า ติดต่อกับเทวดาเบื้องบนได้ และอธิษฐานขอสิ่งใดกับดวงแก้วมักจะสมปรารถนา ดังนั้นไม่ควรสาบแช่งใครจะเป็นกรรมหนัก

ข้อเสีย คือ ท่านจะรับรู้พลังงานผู้อื่นได้ง่ายทั้งพลังงานบวกและพลังงานลบ เมื่อรับพลังงานลบของผู้อื่นมากๆจะทำให้เกิดความเครียดสะสม ใครปิดตาทีสามเมื่อไม่ใช้งาน

⚜️ #เราเกิดมามากพอแล้ว⚜️

✴️ #ก่อนจะมีความเข้าใจในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าใจคำว่านิพพานอันนี้แสนยากมาก #คนที่จะเข้าใจคำว่านิพพานได้นี่ต้องเกิดมา #เกิดมาชั่วแสนชั่วนับกัปไม่ถ้วน แล้วต่อมาก็เริ่มดี เริ่มดีหมายความว่าเริ่มจิตเป็นกุศล รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการบำเพ็ญภาวนาบ้าง มาเรื่อยๆมาตั้งแต่ต้น มาจนกระทั่งถึงชาติสุดท้ายกว่าจะถึงนี่

 ✴️ #ถ้าเป็นสาวกภูมิ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 อสงไขย กับแสนกัป เกิดนะ ไอ้ที่ไม่มาเกิดในภพนี้เขาไม่คิด เป็นเทวดาหรือพรหมหรือสัตว์นรกเขาไม่คิด คิดเฉพาะมาเกิดอย่างน้อยที่สุดต้องบำเพ็ญบารมีมาแล้วอย่างน้อยที่สุด 1 อสงไขยกับแสนกัป อสงไขยนี่แปลว่านับไม่ถ้วน นับไปๆๆจนนับไม่ถ้วนแล้วก็แถมอีกแสนกัป

✴️ #คนที่จะเข้าใจคำว่านิพพานนี่ต้องบำเพ็ญบารมีมากกว่านี้ นั่นเป็นเพียงแค่หลักสูตร จริงๆแล้วต้องทำกันมามากกว่านี้ #การที่จะเข้าใจคำว่านิพพานจริงๆ ต้องมีบารมีเป็นปรมัตถบารมี

🖋️🧑‍✈️ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๘๒ (๒๕๓๐) หน้า ๘๔
⚜️พระราชพรหมยานเถระ⚜️
🙏หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง🙏

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน.

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2566

“เสรีภาพ” ที่เป็นอันตรายที่สุดสมัยนี้คนบูชาเสรีภาพโดยตามใจกิเลสยุคที่...กลายเป็นปีศาจในร่างของมนุษย์

“เสรีภาพ” ที่เป็นอันตรายที่สุด
สมัยนี้คนบูชาเสรีภาพโดยตามใจกิเลส
ยุคที่...กลายเป็นปีศาจในร่างของมนุษย์
.
…. “ ในมหาวิทยาลัยนี่ ก็ลองคิดดูซิ ก็มีการทะเลาะวิวาทกัน อย่างอันธพาลในหมู่นักศึกษานิสิตกันเอง, ไม่เคารพครูบาอาจารย์ เห็นครูบาอาจารย์เป็นลูกจ้าง, แล้วก็ไม่มีใครว่าอะไรใคร ไม่มีใครเห็นว่ามันเป็นของผิด. ถ้าเป็นอย่างนั้นสมัยก่อน เพียง ๕๐ - ๖๐ ปีมาแล้ว เขาประณามเป็นเรื่องเสียหาย เป็นเรื่องที่จะไม่มีอะไรที่น่าอับอายขายหน้าเท่ากับสิ่งเหล่านั้น
…. ถ้าในสํานักศึกษาอันเป็นที่สร้างดวงจิตดวงวิญญาณของมนุษย์เป็นอย่างนี้เสียแล้ว แล้วนอกนั้นมันจะเป็นอย่างไร? เพราะอะไรๆก็ออกไปจากสํานักศึกษา, เพราะว่าเราต้องผ่านสํานักการศึกษา จนกว่าจะเติบโตแล้วออกไป. ถ้าในสํานักสําหรับการศึกษานั้น เป็นแหล่งเพาะวิญญาณของซาตาน ของวัตถุนิยมเสียแล้ว มันก็หมดกัน ไม่มีอะไรเหลือ
…. ฉะนั้น ถ้าใครยังรักบ้านรักเมือง รักเกียรติยศของความเป็นมนุษย์แล้ว, ก็ช่วยกันไปคิดให้ดีๆ ช่วยกันต่อต้านไว้บ้าง อย่าไปตามกันอาจารย์ฝรั่งไปเสียทุกอย่างทุกทาง...ฯ
.
…. สมัยนี้คนบูชาเสรีภาพโดยตามใจกิเลส.
…. ยังมีสิ่งที่ร้ายกาจอีกสิ่งหนึ่ง ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ”. ทุกคนบูชาเสรีภาพ แต่มันเป็นเสรีภาพเพื่อจะเป็นภูตผีปีศาจ หรือเป็นสัตว์เดรัจฉานในที่สุด. เสรีภาพของเขาต้องการอย่างนี้ : ต้องการจะเสรีภาพตามใจกิเลส ตามใจซาตาน ตามใจพญามาร ไม่มีศีลธรรม. นี่เขาต้องการเสรีภาพอย่างนี้ : อยากจะไว้ผมยาว, อยากจะแต่งตัวให้แปลกประหลาด, อยากจะมีเสรีภาพ. ไม่รู้ว่า เสรีภาพอะไรกัน
…. ทีนี้ เสรีภาพที่เป็นอันตรายที่สุด ก็คือการแสดงอะไรได้ตามชอบใจ : เขียนก็จะเขียนได้ตามชอบใจ, จะแสดงศิลปอะไรก็แสดงได้ตามชอบใจ, ไม่ถือว่าเป็นลามกอนาจาร สิ่งที่เป็นลามกอนาจาร ก็บัญญัติกันเสียใหม่ว่า ไม่ใช่ลามกอนาจาร
…. เรื่องที่เขาแก้ไขกันเสียใหม่ว่าไม่ลามกอนาจารนะ มันมากมายด้วยกัน : การประกวดนางหน้าด้านนั้น, ก็กลายเป็นของดีของวิเศษ ของอะไรไป ทั่วโลกสมัยนี้เขาเห็นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ดีที่สุด ประกวดกันทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ ผมเรียกว่าประกวดนางหน้าด้าน ถ้าหน้าไม่ด้านพอ ก็ไปเปิดแข้งเปิดขาเปิดอะไร แสดงอย่างนั้นไม่ได้
…. ถ้าเป็นสมัยก่อน คุณย่า คุณยาย เป็นลมตายแน่ ถ้าลูกหลานของแกไปทําอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ เขาเห็นว่าถูกต้องดีงามไปหมด; นี่ก็คือ “เสรีภาพ” ผลของเสรีภาพมันเป็นอย่างนี้ นี้เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดๆ โต้งๆ แล้วที่มันยังละเอียด เห็นได้ยาก แฝงอยู่ในอะไรต่างๆ ยังมีอีกมาก
…. เสรีภาพในการเขียน ไม่มีใครว่าใครได้ แล้วก็เขียนเรื่องลามก อนาจาร ลงไปในหนังสือประจําวัน, แพร่หลายทั่วไปหมด ; ย้อมนิสัยเด็กๆ ให้เสียไปโดยไม่รู้สึกตัว, โดยไม่ต้องรู้สึกตัว, เขียนเรื่องอ่านเล่นโดยนามปากกา ที่มีชื่อเสียง นิยมนับถือกันทั้งประเทศ แต่แล้วก็เขียนเรื่องที่ทําให้เด็กมีจิตใจเลวทราม, เสื่อมเสียทางศีลธรรมโดยไม่รู้สึกตัว คุณไปเอาหนังสือพิมพ์มาพิจารณาดูเอาก็แล้วกัน ก็จะมองเห็น
…. ยังมีอะไรอีกมาก ที่ทําให้เด็กๆกลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์น, มีอีกมาก ทําให้คนเรากลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์, คนโต ๆ ไม่เป็นไร, ไม่กี่ปีก็ตาย. แต่ว่าการที่ทําให้เด็กๆ มากลายเป็นอย่างนั้นนั้น มันน่าอันตรายอย่างยิ่ง เพราะว่าเขายังจะอยู่ไปอีกนาน
.... การพูดจาก็ดี การเขียนก็ดี ศิลปวัตถุ นิทรรศการ ภาพยนตร์ อะไรต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นอย่างเดียวกันหมด เขามีเสรีภาพ มีอิสรภาพ มีเสรีภาพที่จะทํา, ใครห้ามกันไม่ได้ หรือบางทีเขาก็มีอํานาจอย่างอื่น มาช่วยให้เขาต้องทําหรือได้ทํา
…. เมื่ออ้างเสรีภาพไม่ได้ ก็ใช้อํานาจอย่างอื่นมาช่วยให้ได้ทํา เขาก็ทํากันทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่ง ทุกหัวระแหง, ทําลูกเด็ก ๆ ของเราให้กลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์นมากขึ้นๆเหลือที่จะป้องกัน, เหลือที่จะแก้ไขแล้ว นี่แหละ คือรากฐานอันแท้จริงของการเสื่อมทางศีลธรรม, แล้วเรื่องอื่นๆ มันก็ต้องตามมาแน่นอน ; เรื่องอันธพาล, เรื่องอะไรก็ตาม มันก็ต้องตามมามากเหลือที่จะประมาณได้
…. นี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องทั้งหมดของมนุษย์ หรือของโลกมนุษย์ ที่จะอยู่หรือว่าจะล่มจม มีมูลมาจากการศึกษาแผนใหม่ วัฒนธรรมแผนใหม่ ที่มาจากข้างนอก เข้ามาสู่ประเทศไทย, เรียกว่าเราอยู่ในยุคของอะไร ลองคิดดู พวกเรากําลังอยู่ในยุคอะไร? ควรจะเรียกชื่อของยุคนี้ว่ายุคอะไร. ลองคิดู ? ส่วนผมนั้น สมัครเรียกว่า ยุคที่กลายเป็นปีศาจในร่างของมนุษย์..”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนาชุดชุมนุมล้ออายุ หัวข้อเรื่อง “ยิ่งจะทำให้ดี, โลกมันยิ่งบ้า” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๓ กัณฑ์ค่ำ ณ ลานหินโค้ง จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ชุมนุมล้ออายุ เล่ม ๑” หน้า ๕๑๕-๕๑๖,๕๑๙-๕๒๑

...หนังสือ "ชุมนุมล้ออายุ เล่ม ๑" โหลดได้ฟรีที่ลิงค์นี้
http://www.buddhadasa.org/files/pdf/B_Bnew/new206.pdf

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2566

หลวงปู่บุดดา ถาวโร ทิ้งขันธ์ ๕ เข้าสู่พระนิพพาน

 ทั้งทีวีและน.ส.พ.ออกข่าวว่า หลวงปู่ บุดดาฯ ทิ้งขันธ์ ๕ ไปเมื่อวันพุธที่ ๑๒ ม.ค. ๒๕๓๗ เวลา ๒๐.๐๐ น. โดยประมาณ ด้วยอาการสงบ เพื่อนของผมท่านเล่าว่า ขณะที่กวาดวัดในตอนเช้าพอรู้ข่าวทั้ง ๆ ที่ตนเองก็รู้ล่วงหน้าว่าท่านจะทิ้งขันธ์หลังวันเกิดท่าน เมื่อ ๕ ม.ค. ๒๕๓๗ แต่อารมณ์จิตก็อดหวั่นไหวมิได้ ซึ่งก็เป็นของธรรมดา เพราะรู้ว่าตนยังมีอารมณ์ ๒ อยู่ (พอใจกับไม่พอใจ) พอทำจิตให้สงบลง ก็เห็นหลวงปู่กับหลวงพ่อยืนอยู่ หลวงปู่ท่านสอนว่า 

 ๑. ขันธ์ที่ช่วยตัวเองไม่ได้อย่างนี้ ไม่มีใครต้องการเอาไว้หรอก ข้าเหมือนคนอยู่บ้านผุๆ หลังคาก็รั่ว เพดานก็โหว่ บันไดก็ใช้การอะไรไม่ใคร่จะได้ มันซ่อมไม่ไหว ก็ต้องไปดีกว่า นี่มันเรื่องธรรมดานะท่านฤๅษี

 ๒. ไอ้คนโง่เท่านั้นแหละที่มันไม่ยอมรับธรรมดา ร่างกายไม่ดีมันก็บอกว่าดี ร่างกายสกปรกมันก็ว่าสะอาด ร่างกายมันจะไปไม่ไหว มันก็บอกว่าไปไหว มันฝืนความจริง เกาะร่างกายแจอย่างนี้ มันจะไปนิพพานได้อย่างไรกัน (ฟังแล้วสะอึกเพราะท่านพูดแทงใจดำ)

 ๓. เอ็งเห็นดอกไม้ที่ร่วงไหม? ก็รับว่าเห็นดอกที่ร่วงอยู่นี้ มีทั้งดอกอ่อนที่ยังไม่ตูม ดอกที่ตูมแล้วยังไม่บาน ดอกที่บานแล้วยังไม่โรย ดอกที่โรยแล้วยังไม่เหี่ยว ดอกที่เหี่ยวแล้วยังไม่แห้ง ดอกที่แห้งแล้วเป็นที่สุดก็มี นี่มันร่วงลงมาจากต้นไม้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่สภาวะของมันไม่เท่ากัน

 ๔. ชีวิตร่างกายของคนก็เหมือนกัน บางรายตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ บางรายคลอดออกมาแล้วตาย บางรายตายตั้งแต่ยังเป็นเด็ก บางรายตายตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางรายตายตอนวัยกลางคน บางรายตายเมื่อแก่ อย่างข้านี่ตายเมื่อแก่ ก็ไม่ต่างกับดอกไม้ที่แห้งคาต้น แล้วร่วงหล่นลงมา สภาวะความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกมีอนัตตาเป็นที่สุด อย่างร่างกายก็คือตายไปในที่สุด

 ๕. แล้วเอ็งเห็นดอกไม้ร่วงหล่นอยู่นี่ เอ็งมีความเศร้าโศกบ้างหรือเปล่า (ก็ตอบว่าเปล่า)

 ๖. นั่นซิ มันร่วงมันหล่นมากมายเกลื่อนกลาดอย่างนี้ มันก็เป็นปกติของมัน ร่างกายก็เหมือนกัน มันร่วงมันหล่นก็เป็นปกติของมัน จะเศร้าโศกเสียใจอยู่ทำไม ภาวะปกติมันเป็นอยู่อย่างนี้ มันเป็นธรรมดา ก็จงอย่าไปฝืนมัน ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วไม่ตาย

 ๗. จากนั้นหลวงปู่บุดดา ท่านก็เมตตามาปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นรูปกายพระสงฆ์ก่อน แล้วเปลี่ยนกายเป็นพระวิสุทธิเทพ เป็นกายแก้วใสสะอาดตา แล้วสอนว่า กายนี้ซิสบาย - ไม่เจ็บไม่ป่วย - ไม่แก่ - ไม่ตาย ตับ - ไต - ไส้ - ปอดไม่มี เครื่องในไม่มี สะอาดเกลี้ยงเกลา ถ้าอยากได้กายนี้ ก็ต้องพยายามวางอารมณ์เกาะยึดร่างกายลงเสียให้ได้ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยความเพียรนะลูก
 
ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๗ มกราคมตอน ๑
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์2   #หลวงปู่บุดดา
#สมเด็จองค์ปฐม  #ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2566

"อาหาร 5 ชนิดสำหรับต่อมไพเนียล

อาหาร 5 ชนิดสำหรับต่อมไพเนียล
   1. - สับปะรด:
   สับปะรดเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับการขจัดคราบต่อมไพเนียล อันที่จริง ต่อมไพเนียลได้ชื่อมาจากรูปร่างของโคนต้นสน สับปะรดมีวิตามินซี แมงกานีส และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพจำนวนมาก ซึ่งช่วยในการขจัดคราบของต่อมไพเนียลและช่วยให้มีสภาพดี นอกจากนี้ ผลไม้ชนิดนี้ยังมีพลังสูงเนื่องจากมีเอ็นไซม์ที่ช่วยลดน้ำหนักและเร่งการเผาผลาญ เช่น โบรมีเลน
   2. - กล้วย:
   กล้วยเป็นผลไม้แห่งความสุข ความจริงก็คืออาหารนี้เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ แต่ในกรณีนี้ มันทำให้เรามีทริปโตเฟนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของเซโรโทนินหรือฮอร์โมนแห่งความสุขในปริมาณมาก ในทางกลับกัน เซโรโทนินจะสร้างเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับการนอนหลับของเราอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับเมื่อเราตื่นและเมื่อเราหลับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมลาโทนินมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับต่อมไพเนียล และตราบใดที่เรามีฮอร์โมนนี้ในระดับที่ดี ต่อมไพเนียลก็จะอยู่ในสภาพที่ดี กล้วยช่วยให้ต่อมไพเนียลคลายตัวได้ดีมาก นอกจากจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในทุกๆ ด้านแล้ว ในทางกลับกันก็มีวิตามินบีจำนวนมากเช่นกัน
   3. - มะพร้าว:
   น้ำมะพร้าวหรือผลไม้นั้นยอดเยี่ยมในการขจัดต่อมไพเนียล เกิดอะไรขึ้นกับมะพร้าว ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นถั่ว ไม่ใช่ผลไม้ เนื่องจากน้ำที่นำมาให้เราได้รับน้ำในระดับลึก เราจึงสามารถทำให้ต่อมไพเนียลหลุดลอกได้ นี่เป็นเพราะ: ยิ่งเรามีน้ำมากเท่าไหร่ โอกาสที่ต่อมไพเนียลจะแห้งและกลายเป็นปูนก็จะน้อยลง น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่ยอดเยี่ยมในการรักษาอิเล็กโทรไลต์และระดับน้ำในร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ดี
   4. - อะโวคาโดและ/หรืออะโวคาโด:
   ประกอบด้วยไขมันที่จำเป็นและสำคัญมากสำหรับอาหารมังสวิรัติหรืออาหารที่มีพืชเป็นหลัก คุณอาจรู้เรื่องนี้แล้ว แต่คุณอาจไม่รู้มาก่อนว่าอะโวคาโดมีลูทีน ลูทีนช่วยให้ต่อมไพเนียลคลายตัวและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรง นอกจากนี้ อะโวคาโดยังมีกรดโอเลอิกซึ่งเกี่ยวข้องอย่างมากกับการทำงานของสมองและเซลล์ประสาท เมื่อเรากินไขมันในปริมาณที่เหมาะสม จิตใจของเราจะเร็วขึ้นและเราสามารถคิดได้อย่างชัดเจน สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอะโวคาโดและกรดโอเลอิกทำให้เซลล์ประสาทของเราทำงานเร็วขึ้น
   5. - ต้นข้าวสาลีหรือผักใบเขียวที่มีไอโอดีนสูง:
   การบริโภคผักเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลัดเซลล์ของต่อมไพเนียล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นผักใบเขียวหรือผักที่อุดมด้วยไอโอดีน ตัวอย่างเช่น ต้นข้าวสาลี คะน้าหรือผักโขม สิ่งที่เกิดขึ้นกับผักชนิดนี้ก็คือ เนื่องจากผักชนิดนี้มีไอโอดีนในปริมาณมาก จึงช่วยชะล้างโลหะหนักทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายของเราได้ พวกมันล้างพิษอย่างล้ำลึกและกำจัดสิ่งเหล่านี้ซึ่งร่างกายมักสะสมอยู่ในต่อมไพเนียล ทำให้กลายเป็นปูนอย่างช้าๆ เนื่องจากสารพิษที่เราสัมผัสเข้าไป
   กล่าวโดยย่อ อาหารเหล่านี้คืออาหารที่ทรงพลังที่สุดที่คุณสามารถรวมไว้ในอาหารของคุณเพื่อทำให้ต่อมไพเนียลคลายตัวได้”

  ( บทความแปล Cr.Maria Quintana )

วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566

กรรมฐานหลัก

หลักพื้นฐานที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติมากที่สุดก็คือ “ให้พิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ คือรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ทั้งหยาบและเอียด ทั้งเลวและประณีต ทั้งที่มีในที่ใกล้หรือที่ไกล ทั้งของตัวเราเองและของผู้อื่น ทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคต ทั้งหมดทั้งสิ้น โดยเห็นความเป็นสิ่งไม่เที่ยง ต้องทนอยู่ และไม่ใช่ตัวตน”

จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด เพราะนอกจากจะทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมแล้วยังจะเป็นการกำจัดอนุสัยของกิเลสให้ลดน้อยลงด้วย ซึ่งการปฏิบัติจะต้องพิจารณาดูจากร่างกายและจิตใจของเราเองจริงๆจึงจะได้ผล ไม่ใช่คิดคำนวณเอาหรือท่องตามตัวหนังสือ ซึ่งนั่นจะเป็นเพียงการท่องเหมือนนกแก้วนกขุนทองเท่านั้น

๑. ธาตุกรรมฐาน

อีกวิธีหนึ่งในการปฏิบัติอริยมรรคก็คือ “การพิจารณาทุกสิ่งโดยความเป็นธาตุ” คือให้พิจารณาทุกสิ่งโดยเฉพาะร่างกายและจิตใจของเรา ว่าเป็นเพียงธาตุมาปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น คือร่างกายก็มาจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลมปรุงแต่งขึ้นมาและอาศัยธาตุว่างตั้งอยู่ ส่วนจิตใจก็มาจากวิญญาณธาตุปรุงแต่งขึ้นมา จึงไม่มีตัวตนใดๆที่จะมาเป็นเราหรือของเราหรือของใครๆอย่างแท้จริงได้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าทุกสิ่งเป็นเพียงกระแสการปรุงแต่งของธรรมชาติเท่านั้น ชีวิตจึงเหมือนมายา หรือเหมือนกับความฝันที่พอตื่นขึ้นมาทุกสิ่งในฝันก็จะหายไปหมดสิ้น 

๒. อสุภะกรรมฐาน

อีกวิธีหนึ่งในการปฏิบัติอริยมรรคก็คือ การพิจารณาถึงความไม่งามของร่างกาย ที่เรียกว่า อสุภะ โดยสมัยพุทธกาลนั้นภิกษุที่เจริญแนวทางนี้จะเข้าไปในป่าช้าอันเป็นที่ทิ้งศพของชาวบ้านในสมัยนั้น แล้วก็ไปยืนเพ่งพิจารณาซากศพในลักษณะต่างๆ เช่น ศพที่ขึ้นอืดพอง ศพที่ขึ้นเขียว หรือศพที่มีแต่กระดูก เป็นต้น โดยน้อมเข้ามาในร่างกายของตนเองและแม้ในของคนอื่นว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ ไม่พ้นไปได้ 

การเพ่งอสุภะนี้เป็นการกำจัดราคะ (ความติดอกติดใจ) ในเรื่องเพศโดยตรง คือถ้าเรามองเห็นเพศตรงข้ามเป็นสิ่งสวยงามเราก็จะเกิดราคะ แต่ถ้ามองเห็นเป็นสิ่งไม่สวยงามก็จะไม่เกิดราคะ วิธีนี้จึงเหมาะสมแก่ผู้ที่มีราคะจัด อีกทั้งการเพ่งซากศพจนเกิดเป็นนิมิตติดตาที่เรียกว่า อสุภะนิมิต และนำนิมิตนั้นมาเพ่งต่อไป ก็จะทำให้เกิดรูปฌานได้อีกด้วย

๓. อนุสติ ๑๐

การปฏิบัติง่ายๆสำหรับผู้ครองเรือนก็คือ การเจริญอนุสติ คือการตามระลึกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งที่จะใช้ระลึกก็ได้แก่

๑. พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นทุกข์ (พุทธคุณ ๙)

๒. ธรรมานุสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรมที่ปฏิบัติตามแล้วทำให้พ้นทุกข์ได้ (ธรรมคุณ ๙)

๓. สังฆานุสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ที่นำพระธรรมมาสอนแก่เรา (สังฆคุณ ๙)

๔. สีลานุสติ ระลึกถึงคุณของศีลที่ช่วยให้เรามีความปรกติสุข (และคุ้มครองเราไม่ให้ตกไปในอบายภูมิ)

๕. เทวตานุสติ ระลึกถึงธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา (คือหิริและโอตตัปปะ) ที่ช่วยคุมครองโลกให้มีความสงบสุข (เราก็ควรเอาอย่างท่านในการมีหิริและโอตตัปปะ)

๖. จาคานุสติ ระลึกถึงทานที่ตนได้เคยบริจาคไว้ (ทำทานเพื่อละความตระหนี่ในใจ และรู้ว่าทานที่ทำไว้ดีแล้ว จะเป็นเสบียงในการเดินทางในวัฏฏะ ไม่ต้องอดอยาก ยากจน)

๗. มรณานุสติ ระลึกถึงความตายที่จะต้องเกิดขึ้นแก่ตนอย่างแน่แท้ (ทำให้ไม่ประมาทในชีวิต รีบขวนขวายละอกุศล สร้างกุศล)

๘. อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้า-ออก (มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า ออก อย่างต่อเนื่อง)

๙. กายคตาสติ ระลึกถึงอาการ ๓๒ ของร่างกาย มี ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง เป็นต้นเนื่องๆ (จะได้เห็นความจริงว่า ร่างกายนี้ไม่สวยงาม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์อย่างไร เพื่อละคลายความยึดมั่นในตนบ้าง)

๑๐. อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบ อันได้แก่ นิพพานว่าเป็นที่พักผ่อนของจิตวิญญาณอันดิ้นรน (เมื่อระลึกถึง.. จึงควรปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์๘ เพื่อเข้าถึงพระนิพพานในที่สุด)

๔. สัญญา - ความสำคัญมั่นหมาย

การเจริญอริยมรรคอีกแนวทางหนึ่งก็คือ
การเจริญสัญญา คือสัญญาหรือความจำสิ่งต่างๆได้ หรือความสำคัญมั่นหมายของเรานี้ปรกติมันจะเป็น สัญญาวิปลาส คือผิดเพี้ยนไม่ตรงกับความเป็นจริง อันเป็นเหตุให้เกิดอนุสัยของกิเลสขึ้นมา คือเรามักจะมีสัญญาว่าเที่ยง ว่าเป็นสุข ว่าเป็นตัวตนอยู่เสมอ ดังนั้นเราจึงต้องมาเจริญสัญญาใหม่ให้เป็นไปในทางที่จะไม่เกิดอนุสัยของกิเลส แต่จะเกิดความเคยชินของปัญญาหรือของอริยมรรคขึ้นมาแทน ซึ่งสัญญาที่ควรเจริญก็ได้แก่

๑. อนิจจสัญญา ความกำหนดหมาย ว่าไม่เที่ยง (ในขันธ์ทั้ง ๕)

๒. อนัตตสัญญา ความกำหนดหมาย ว่าไม่ใช่ตัวตน (ในอายตนะทั้งในและนอก)

๓. อสุภสัญญา ความกำหนดหมาย ว่าไม่งาม น่าเกลียด (ในอวัยวะต่างๆของร่างกาย)

๔. อาทีนวสัญญา ความกำหนดหมาย ว่าเป็นโทษ (จากโรคต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้ในร่างกายของเรา)

๕. ปหานสัญญา ความกำหนดหมาย ในการละ (อกุศลวิตก ๓)

๖. วิราคสัญญา ความกำหนดหมาย ในธรรมอันปราศจากราคะ (ความสงบเย็นของนิพพาน)

๗. นิโรธสัญญา ความกำหนดหมาย ในธรรมเป็นที่ดับ (ดับสนิทเพราะคืนกิเลส)

๘. สัพพโลเกอนภิรติสัญญา ความกำหนดหมาย ในความไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง (คือในกามภูมิ, รูปภูมิ, อรูปภูมิ)

๙. สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ความกำหนดหมาย ว่าไม่เที่ยงในสังขารทุกกลุ่ม (ทั้งภายในและภายนอก)

๑๐. อาหาเรปฏิกูลสัญญา ความกำหนดหมาย ในความสกปรกน่าเกลียดของอาหารที่กินเข้าไปจนกระทั่งถ่ายออกมา

๑๑. อนิจเจทุกขสัญญา ความกำหนดหมาย ในความทุกข์จากความไม่เที่ยง

๑๒. ทุกขนัตตสัญญา ความกำหนดหมาย ในความเป็นอนัตตาแห่งทุกข์ทั้งปวง

๑๓. อัฏฐิกสัญญา ความกำหนดหมาย ในศพที่มีแต่กระดูก

๑๔. ปุฬวกสัญญา ความกำหนดหมาย ในศพที่มีแต่หนอน

๑๕. วนีลกสัญญา ความกำหนดหมาย ในศพที่ขึ้นเขียว

๑๖. อุทธุมกสัญญา ความกำหนดหมาย ในศพที่ขึ้นพอง

๑๗. มรณสัญญา ความกำหนดหมาย ในความตายที่จักมีแก่ตนเป็นแน่แท้

การเจริญสัญญานี้ก็เหมือนกับการเจริญอนุสติ คือให้หมั่นพิจารณาอยู่เสมอๆไม่ว่าจะทำกิจวัตรใดอยู่ หรือต้องทำอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายตลอดทั้งวันจนกระทั่งหลับ พอตื่นขึ้นก็รีบทำต่อทันที คือทำให้เกิดเป็นความเคยชินยิ่งกว่าความเคยชินตามธรรมดา เพื่อให้กระทุ้งเข้าไปถึงจิตใต้สำนึก หรือเปลี่ยนจิตใต้สำนึกให้ฉลาดหรือมีปัญญามากขึ้น คือทำให้มีสัญญาว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนมากยิ่งขึ้น ซึ่งผลโดยตรงของการเจริญสัญญาต่างๆก็ได้แก่

อสุภสัญญาเป็นเครื่องทำจิตให้หวนกลับ งอกลับ ถอยกลับ ไม่ยื่นเข้าไปดื่มด่ำอยู่ในเมถุนธรรม (การร่วมเพศ) แต่มีความวางเฉยหรือมีความรู้สึกปฏิกูล (สกปรกน่าเกลียด) ดำรงอยู่ในจิต

มรณสัญญาเป็นเครื่องทำจิตให้หวนกลับ งอกลับ ถอยกลับ จากความยินดีในชีวิต จะได้ไม่ประมาท

อาหาเรปฏิกูลสัญญาเป็นเครื่องทำให้จิตถอยกลับจากตัณหาในรสของอาหารทั้งหลาย

สัพพโลเกอนภิรติสัญญาเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับจากความเป็นจิตที่ติดอยู่ในโลก

อนิจจสัญญาเป็นเครื่องทำจิตให้ถอยกลับจากลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ

อนิจเจทุกขสัญญา เมื่อเจริญอยู่เป็นอันมาก สัญญาว่าความน่ากลัวอันแรงกล้าย่อมปรากฏขึ้น ในความไม่ขยัน ในความเกียจคร้าน ในความทอดทิ้งการงาน ความประมาท ความไม่ประกอบความเพียร และความสะเพร่า เปรียบเหมือนมีเพชฆาตเงื้อดาบอยู่ตรงหน้า

ทุกขนัตตสัญญาอันเป็นเครื่องทำให้จิตถอยกลับจากมานะว่าตน ทั้งในกายอันประกอบด้วยวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหลายภายนอกด้วย

#ทานแบ่งออกเป็น_๒อย่าง

สรุปในเรื่องของทานก็คือ ทานแปลว่าการให้นั้นมีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน

๑. #อามิสทาน ได้แก่ การให้วัตถุ จะเป็นเงินหรือวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องบริโภคก็ตาม

๒. #ธรรมทาน มี ๒ ประเภท ประเภทแรกในที่นี้ได้แก่ การบอกธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวร
บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ชี้เหตุผลให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว

และธรรมทานอีกส่วนหนึ่ง ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า สำคัญที่สุดจัดว่า #เป็นปรมัตทาน คือเป็นทานที่ไม่ต้องลงทุน ก็ได้แก่ #อภัยทาน 

ทานทั้งสองอย่างกล่าวคือ อามิสทานกับอภัยทานนี้มีผลต่างกัน อามิสทานนั้นให้ผลอย่างสูงก็แค่กามาวจรสวรรค์ แต่สำหรับ #ธรรมทาน กล่าวคือให้ธรรมเป็นทานก็ดี ให้ #อภัยทานก็ดี ทานทั้งสองประการนี้ เป็นปัจจัยแห่งนิพพาน พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว คำว่า #ปรมัตถบารมีนี้เป็นบารมีสูงสุด เป็นบารมีที่จะทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน...

โอวาทธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ ธรรมสัญจร เล่ม ๓ หน้า ๒๖ - ๒๗