วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2563

กำเนิดชีวิต

กำเนิดชีวิต  อันมีธาตุดินกับน้ำ ธาตุตั้งต้น เมื่อผสมถูกส่วน  ธาตุไฟของจิตจึงได้ปฏิสนธิในธาตุ  จึงเกิดธาตุลม ขับเคลื่อนสืบต่อเนื่องครบวงจรการดำเนินชีวิต  หากธาตุลมหยุดเดิน จิตก็อยู่ไม่ได้ จิตต้องออกไปคือการตาย น้ำก็ไหลออกตามมา ดินก็คืนสู่ธาตุเดิม ต่างก็สลายไป คือการแยกประชุมธาตุ แต่จิตยังต้องเดินทางต่อไปตามวิบากกรรมของตน

การกระทำสิ่งดี ไม่ดี ทั้งหลาย ต่างก็นำธาตุของพ่อ แม่ ไปก่อกรรมทำดีด้วย จึงพึ่งระลึกเสมอว่า จะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างไร และจะตอบแทนบุยคุณแผ่นดินที่ได้อยู่อาศัยนี้อย่างไร สุดท้ายเหลือแต่ความว่างเปล่า เหลือแต่ความดีงาม บุญกุศลที่ติดตามจิตไปเท่านั้น 

เรื่อง "กายอันนี้เป็นมูลมรดกจากบิดามารดา"

(คติธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

นะ เป็นธาตุของมารดา โม เป็นธาตุของบิดา

“ฉะนั้น เมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นาม ว่า “กลละ” คือน้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ปฏิสนธิในธาตุ “นโม” นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว “กลละ” ก็ค่อย เจริญขึ้นเป็น “อัมพุชะ” คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น “ฆนะ” คือเป็นแท่ง และ เปสี คือ ชั้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็น ปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑

ส่วนธาตุ “พ” คือลม “ธ” คือไฟนั้น เป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี คนตายลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่าเป็น "ธาตุอาศัย" ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นดั้งเดิม

ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้ว ก็ต้องอาศัย “น” มารดา “โม” บิดาเป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดา ว่า “ปุพพาจารย์” เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดา จะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ท่านทำให้ กล่าวคือ รูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิม ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง

ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่า
ไม่มีอะไรเลย เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น “มูลมรดก” ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณของท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อน แล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่า นอบน้อมนั้นเป็นการแปล เพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตน ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ

นโม เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้คือ เอาสระอะ จากตัว “น” มาใส่ตัว “ม” เอาสระโอ จากตัว “ม” มาใส่ตัว “น” แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่า ใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจ เต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้

มโน คือใจนี้ เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่
จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมดได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา

ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจ คือมหาฐานนี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก นโม แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมบัติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากนโมทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมบัติ บัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะ จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลงถือว่าตัวเป็นเราเป็นของเราไปหมด"

(คัดบางส่วนจากหนังสือ "มุตโตทัย")

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น