........ลูกหลานทุกท่านโปรดทราบ วันนี้วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๐ เป็นวันที่หลวงพ่อหลังจากป่วยมาแล้ว แต่วันนี้อาการดีขึ้นบ้างพอสมควร พอจะมีแรงบ้าง อาศัยที่มีความห่วงใยลูกรักทุกคน ที่มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษา แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติความดี ในด้านพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนได้มโนยิทธิซึ่งเป็นหมวดหนึ่งของอภิญญา สามารถรู้ความเป็นจริง ตามพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
........การตายแล้วมีสภาพไม่สูญ การเกิดเป็นคนแล้วตายจากความเป็นคน เป็นผี เป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพาน หรือว่า เป็นสัตว์นรกก็ตาม ก็ชื่อว่าเป็นการเกิด มีสภาพต่อไปมีสภาพไม่สูญ และอีกประการหนึ่ง ลูกรักทุกคนมีความขยันหมั่นเพียร ในการงาน มีความดีพอที่บรรดาท่านทั้งหลายที่มีจิตเมตตาสงเคราะห์ ให้ทุนการศึกษาบ้าง แจกเสื้อผ้าบ้าง ให้อุปกรณ์การศึกษา มีหนังสือเรียนเป็นต้นบ้าง แล้วก็เลี้ยงดูให้ความเป็นสุขตามสมควร อาหารการบริโภคก็มีความอิ่มหนำสำราญ มีความสมบูรญ์ดี ทั้งนี้ก็อาศัยความดีของลูกรักทุกคน
........ฉะนั้นขอลูกรักทุกคน จงรักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม ตามธรรมดาเกลือจะอยู่กับส้มเกลือก็เค็ม อยู่กับยาดำขมจัดเกลือก็เค็ม อยู่กับน้ำตาลซึ่งมีรสหวานเกลือก็เค็ม ข้อนี้ฉันใดขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีไว้อย่าปล่อยความดีให้สลายตัว ผลของความดีที่ลูกรักปฏิบัติเห็นแล้วว่า ได้ความเมตตาปราณีจากบรรดาท่านพุทธบริษัท พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ผู้ใหญ่ทุกคน จนกระทั่งมีความสุขยิ่งกว่านักเรียนโรงเรียนอื่น
........วันนี้หลวงพ่อจะนำนิทานมาเล่ากับลูกหลานฟังเป็นวันต้น ความจริงร่างกายก็ไม่ดีนัก นิทานเรื่องนี้ถ้ากล่าวเป็นนิยาย ก็เป็นนิยายอิงพระพุทธศาสนา หรือว่าเป็นเรื่องจริงอิงนิทาน บางอย่างก็จริง บางอย่างก็เป็นนิทาน
........เรื่องราวก็มีอยู่ว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งมีอายุย่างขึ้นเพียง ๕ ขวบ เธอเป็นคนที่มีบิดามารดาเป็นคนดี บิดามารดาเคารพพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระอริยสงฆ์ แล้วก็ทรงศีล ๕ ก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดีครบถ้วน นอกจากนั้นก็มีจิตหวังพระนิพพานเป็นที่ไป
........เรื่องพระนิพพานนี่บรรดาลูกรักทั้งหลาย จงอย่าคิดว่าเป็นเรื่องปรำปรา เป็นของมีจริง ในฐานะที่ลูกชายและลูกหญิง เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าสอนความจริง และลูกรักทุกคนก็ปฏิบัติตามความเป็นจริงมาแล้ว ฉะนั้นขอลูกรักทุกคนจงรักษาความดีที่ตนมีไว้ นั่นก็คือความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้แก่ “มโนมยิทธิ”
........ต่อนี้ไปก็จะขอนำเรื่องราวต่างๆของนิทานมาเล่าสู่กันฟัง เด็กหญิงตัวน้อยๆคนนั้นชื่อว่า “จุไร” เธอปฏิบัติความดีตามบิดามารดาสอน
........อันดันแรกมีความกตัญญูรู้คุณ บุคคลใดที่มีคุณแก่เธอๆ ไม่เคยลืม ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้มีคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิดามารดา เธอมีความเคารพมาก
........วันหนึ่งเธอนั่งคุยกับมารดาก็มีความรู้สึกว่า มารดานี่สามารถพาไปโลกไหนก็ได้โลกนี้มีอะไรอยู่ที่ไหนมารดาก็สามารถจะบอกได้ แต่ทว่าเธอยังทำไม่ได้จึงได้ถามมารดาหรือคุณแม่ว่า ปฏิบัติอย่างไรแม่จึงมีใจเป็นทิพย์สามารถเห็นผีก็ได้ เห็นเทวดาก็ได้ ไปภพต่างๆได้ แม่ก็แนะนำให้ลูกสาวที่รัก ลูกสาวคนดีของเธอ มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
........เด็กหญิงจุไรซึ่งมีอายุ ๕ ขวบ ก็ตอบว่าทุกสิ่งทุกอย่างในการเคารพผู้มีพระคุณมีอยู่แล้ว แม่ก็ยืนยันว่าจริง
........ข้อที่ ๒ ให้ความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก่อนจะหลับไหว้พระสวดมนต์ตามกำลัง แล้วภาวนาว่า
“พุทโธ” จุไรก็ทำแล้ว
........ประการที่ ๓ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น เธอก็ทำแล้ว
........ประการที่ ๔ ให้จิตว่างจากนิวรณ์ ๕ ประการ ในขณะที่บูชาพระพุทธเจ้าคือ
๑. ไม่ติดในความสวยของโลก
๒. ไม่คิดประทุษร้ายใคร
๓. ทำสมาธิบูชาพระแต่หัวค่ำอย่าให้ง่วง
๔. ตั้งใจตรงนึกถึงพระพุทธเจ้าตรง นึกถึงพระพุทธรูปตรง พระพุทธเจ้าก็ได้ พระพุทธรูปก็ได้ จับภาพพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปให้มั่นคง ให้ทรงอยู่ในจิตเธอก็ทำได้
๕. ไม่สงสัยในความรู้สึกที่เกิดขึ้นเธอก็ทำได้
........เมื่อเธอทำได้แล้วแม่ก็แนะนำว่า ต่อนี้ไปตั้งใจนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง จะเป็นพระพุทธรูปนั่งก็ได้ นอนก็ได้ ที่ชอบใจเธอก็นึกถึงภาพพระที่เธอบูชา แม่ถามว่าเวลานี้จำภาพพระได้ไหม เธอก็บอกว่าจำได้แม่นยำชัดเจนมาก เอาจิตนึกเห็น หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำให้ภาวนาว่า “พุทโธ” บ้าง บางครั้งก็ “นะ มะ พะ ธะ” บางครั้งก็ “นะโมพุทธายะ” ตามใจชอบ
........ต่อมาเมื่อจุไรเด็กเล็กอายุ ๕ ปี อยากจะไปชมโลกต่างๆ โดยเฉพาะดวงอาทิตย์ที่เธอเห็นทุกวัน ก็อยากจะทราบว่าดวงอาทิตย์จริงๆอยู่ไกลจากโลกเท่าไร แล้วก็เป็นไฟดวงใหญ่จริงอย่างเขาว่าหรือไม่ ตามประสาของเด็กก็หันมาถามแม่ว่า “อยากจะไปเที่ยวดวงอาทิตย์” แม่ก็ตอบว่า “ไม่เกินวิสัยของแม่ที่จะแนะนำลูกได้ แต่ว่าลูกต้องปฏิบัติตามแม่สั่ง” เธอก็ยอมรับหลังจากนั้นแม่ให้บูชาพระเสร็จ เอาจิตใจจับให้เห็นภาพพระพุทธรูปที่สามารถจะจำได้
........เธอก็บอกแม่ว่า “ชัดเจนแจ่มใสเจ้าค่ะ เพราะลูกบูชาทุกวัน” หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำว่าจงตามแม่มา เวลานั้นแม่ก็ใช้กำลังความเป็นทิพย์ เอาจิตออกจากร่างเดิมที่เรียกว่า “อทิสมานกาย” จุไรก็ทำได้เพราะเด็กไม่มีนิวรณ์ พอออกจากร่างกายแล้วก็มีร่างกายสวยสดงดงาม มีชฎามีเครื่องประดับแบบนางฟ้า ร่างกายก็เป็นแก้ว เห็นแม่เป็นแก้วมีความสว่างไสวมาก
........หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำให้ตามพระพุทธรูปไป เวลานั้นพระพุทธรูปที่เธอนึกถึงกลายเป็นพระสงฆ์ มีความสวยงามมาก มีรัศมีกายสว่างมาก เห็นภาพพระนำเธอไป ในที่สุดก็ไปพักอยู่ที่ “พระจุฬามณีเจดียสถาน” ในเขตสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พระจุฬามณีสวยสดงดงามมาก ใสประกายเป็นเพชรเหมือนกันหมด เข้าไปไหว้องค์กลางที่ใหญ่ที่สุดก็คือ “พระพุทธเจ้า” พระพุทธเจ้าองค์นี้ (ถ้าหากใครเขาบอกว่าเป็น “พระพุทธนิมิตร” ก็จงอย่าเถียงเขา)
........เมื่อจุไรมนัสการแม่ มนัสการพระแล้ว ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า “อยากจะไปชมดวงอาทิตย์” ท่านก็ตรัสว่า “เธอปฏิบัติอย่างนี้ไม่เกินวิสัยที่จะพึงพาไปได้” หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร (อันนี้เป็นนิทานนะ อย่าลืมว่าเป็นนิทาน) ก็นำจุไรกับแม่มายืนที่หน้าพระจุฬามณี
........สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่า พระอาทิตย์หรือดวงอาทิตย์ที่ต้องการจะไปนั้นอยู่ใกล้กับโลกมนุษย์อยู่ในจักรวาลเดียวกัน ที่ทั้งสองคนมาที่นี่นั้น ไกลเกินไปหลายแสนเท่า ถ้านับจากโลกมนุษย์ไปหาดวงอาทิตย์ แล้วก็นับจากโลกมนุษย์มาหาพระจุฬามณี คือ “ดาวดึงส์” ไกลกว่าโลกมนุษย์ ไปโลกอาทิตย์หลายแสนเท่า
........แล้วพระองค์ก็ทรงชี้ให้ดูโลกอาทิตย์ว่า ก่อนที่จะไปดวงอาทิตย์ดูสียก่อน ดูที่นี่จะเห็นชัดว่าสภาพของดวงอาทิตย์จริงๆ ที่โลกอาทิตย์จริงๆ นั้นไม่มีไฟ มันมีสภาพเป็นแร่ธาตุทั้งลูก สำหรับสิ่งที่เป็นไฟ ไฟอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก แต่ไฟจะเกิดขึ้นได้เพราะไอระเหยจากดวงอาทิตย์มีสิ่งระเหยออกมาแล้วพุ่งออกมาไกลแสนไกล สัมผัสกับอากาศกลายเป็นไฟดวงใหญ่ขึ้นมา มีความร้อนสูงมาก
........หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงให้ดูการหมุนของโลกอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ที่หมุนเหมือนลูกข่างๆ ที่เราปั่นไป มันจะมีเหล็กปักกับพื้น แล้วก็หมุนข้างรอบๆ ข้อนี้ฉันใด ดวงอาทิตย์ก็มีสภาพหมุนอย่างนั้น เรามองไปดูที่โลกมนุษย์โลกที่เราอาศัยอยู่นี่ มองจากจุฬามณีจะเห็นโลกนี่เล็กนิดเดียว ลอยวนขึ้นด้านเหนือของดวงอาทิตย์ ขึ้นทางด้านหัววนไปวนมา ขึ้นหัวลงข้างล่างวนไปวนมาแบบนั้น (นึกภาพเอาแล้วกัน)
........จุไรเห็นก็นึกแปลกใจว่าโลกมนุษย์มันเล็กนิดเดียว แต่โลกพระอาทิตย์นี่ใหญ่มาก โลกมนุษย์ลอยอยู่ห่างดวงไฟมาก ไฟที่เกิดจากความเร่าร้อน กับ โลกมนุษย์ มันต่ำกว่าความร้อนที่ดวงไฟใกล้ดวงอาทิตย์หลายสิบล้านเท่า หรือหลายร้อยล้านเท่า เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็นำทั้งสองคนไปใกล้ดวงอาทิตย์ เมื่อเข้าไปใกล้แล้วก็ชี้ให้ดูว่า โลกอาทิตย์นี้ความจริงมันเป็นแร่ธาตุทั้งหมด มีความแข็งตัวมาก แล้วก็หมุนรอบตัวเองช้าๆ ในโลกอาทิตย์ทั้งหมดหาดินแท้ๆไม่ได้เลย เป็นแร่ทั้งหมดแต่แร่อะไรบ้าง อันนี้ก็ไม่ต้องพิสูจน์กัน
........เป็นอันว่าไปดูดวงอาทิตย์แล้ว ไม่เห็นแสงไฟที่ดวงอาทิตย์ แต่ว่ากระแสหรือไอระเหยเกิดเป็นแสงไฟภายนอกเป็นไฟดวงใหญ่ นี่เรียกว่า “รู้จักโลกอาทิตย์” แต่ความจริงเรื่องของนิทานนี่ลูกรักทั้งหลาย จะให้ตรงกับนักวิทยาศาสตร์เสมอไปไม่ได้ เพราะว่านิทานก็ต้องเป็นนิทาน บางอย่างของนิทานก็เป็นความจริง บางอย่างก็เป็นเรื่องคิดขึ้นมา
........ฉะนั้นท่านผู้ฟังก็ดีผู้อ่านก็ดี ก็จงคิดว่าเรื่องที่เล่านี่เป็นนิทาน จุไรจึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า “ความร้อนของแสงอาทิตย์หรือว่าไฟที่ล้อมดวงอาทิตย์อยู่นี่ มีความร้อนขนาดไหน” องค์สมเด็จพระจอมไตรบอกว่า “ประมาณไม่ได้ จะเปรียบเทียบไม่ได้มันร้อนจัด” เธอก็ถามองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ว่า “ถ้าหากว่าคนจะเข้ามาในเขตนี้จะเข้ามาได้ไหม” พระท่านก็บอกว่า “เข้ามาก็ตาย เพราะร้อนกว่าไฟในโลกมนุษย์มาก”
........เธอก็ถามว่า “ถ้าคนจะทำยานพาหนะอย่างใดอย่างหนึ่งผ่านกระแสไฟเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์จะเข้ามาได้ไหม” (ขอใช้คำว่า “พระ” อย่างเดียวก็แล้วกันนะ) พระท่านก็ตอบว่า “วัตถุที่สามารถจะเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ได้ จะต้องสามารถทนความร้อนได้หลายร้อยล้านเท่าหลายล้านองศา”
........สมมุติว่าทนความร้อนได้ ๒ ล้านองศา อย่างนี้วัตถุจะเข้าถึงดวงอาทิตย์ได้ แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในวัตถุนั้นจะสลายตัวหมดถ้าคนก็ตายวัตถุวิทยาศาสตร์ก็เสียหมด ผิวของวัตถุหรือตัววัตถุหรือจรวดก็ตาม จะเข้าถึงดวงอาทิตย์ได้ หรือว่าผ่านไฟเข้าไปในดวงอาทิตย์ได้ นี่เป็นเรื่องของ “โลกพระอาทิตย์” จงมีความเข้าใจว่าพระอาทิตย์จริงๆ ไม่ไช่มีไฟก่อตั้งขึ้น พระอาทิตย์คือล้อมรอบๆเป็นไฟทั้งหมดไม่ไช่อย่างนั้น ไฟอยู่ไกลจากโลกอาทิตย์นี่เข้ามาเล่าซ้ำน่ะ เพราะคาสเซทก่อนเล่าไว้เหมือนกัน แต่ว่าฟังไม่ถนัด
........หลังจากนั้นจุไรก็มีความสงสัยกราบเรียนถามพระว่า “ภายในดวงอาทิตย์มีอะไรบ้าง” พระท่านก็ตอบว่า “ภายในดวงอาทิตย์มีแร่ธาตุที่มีความสำคัญมาก แต่ทว่าแร่ธาตุทั้งหมดก็มีการเผาตัวเอง มันมีแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีสภาพคล้าย “แมงกานีส” เป็นเชื้อไฟแตไม่ไช่แมงกานีสโดยตรงคล้ายกันเป็นเชื้อไฟก่อตัวให้เป็นไฟ ขึ้นแล้วก็เผาผลาญตัวเอง
........หลังจากนั้นพระท่านก็นำทั้งสองคนเข้าไปในโลกพระอาทิตย์ ถ้าจะถามว่าต้องขุดไหม ก็ต้องตอบว่ากายไปเป็นกายทิพย์ ที่เราเรียกว่า “อทิสมานกาย” ไม่ได้เอาเนื้อไปด้วย เหมือนกับบรรดาลูกหลานทุกคนที่ฝึกมโนยิทธิการจะไปไหนใช้กายทิพย์ไป แล้วเวลาที่ฟังอยู่นี่จะตามเสียงไปก็ได้ เสียงไปถึงไหนปล่อยจิตหรือว่ากายทิพย์ไปถึงนั่น ก็จะรู้ความจริง เข้าไปภายในแล้ว ก็พบแร่ธาตุมาก แต่ไปพบเชื้อเพลิงอันร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา เป็นไฟแต่ไฟมาได้แลบออกมาข้างนอก มันเผาผลาญตัวเอง มีความร้อนมาก
........พระท่านก็แนะนำ ๒ คน คือ “จุไรกับแม่” ว่าการเผาผลาญของไฟอันนี้มันก็เป็นเรื่องแปลก เพราะว่ามันเผาผลาญแทนที่จะสลายตัว เผาร้อนมากเพียงใดสลายตัวมากเพียงไหนก็ตาม มันก็จะสร้างตัวมันเองอยู่เสมอ แล้วความเร่าร้อนของดวงอาทิตย์ ไฟในดวงอาทิตย์จะลุกหนักขึ้นมาทุกทีกระแสความร้อนจะเผาผลาญโลก
........รวมความว่าความร้อนของดวงอาทิตย์ มีความร้อนต่ำกว่านี้ไม่มี มีแต่ทวีสูงขึ้น จุไรกราบทูล ถามพระว่า “ดวงอาทิตย์นี่ใครสร้าง” พระท่านก็บอกว่า “อย่าไปถามเลยเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนสร้าง มันเกิดของมันเองตามสภาพของมัน จะถือว่ามีชีวิตจิตใจก็ไม่ไช่ ถ้าถามถึงคนสร้างไม่มีใครสร้างแน่”
........แล้วเธอก็ถามพระว่า “ตามที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่า กัปแห่งโลกมนุษย์เมื่อใกล้จะหมดกัป จะมีไฟบรรลัยกัลป์เกิดขึ้นต่อไป จะมีพระอาทิตย์ขึ้นเป็นดวงที่สอง แล้วก็ดวงที่สาม แล้วก็ดวงที่สี่ ดวงที่ห้า ดวงที่หก แล้วก็ดวงที่เจ็ด ตอนนั้นไฟจะลุกท่วมโลก จะไหมโลกทั้งหมด เป็นความจริงไหม”
........พระก็ตอบเธอว่า “เป็นความจริง” แล้วเธอก็ถามว่า “อาทิตย์ดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๗ เวลานี้อยู่ที่ไหน” พระท่านก็ตอบว่า “เริ่มก่อตั้งแล้ว แต่ความสมบูรณ์แบบยังไม่มี มันค่อยๆก่อตัวขึ้น ดวงที่ ๒ จะเต็มดวงก่อน ความร้อนจะเริ่มเผาผลาญโลกมนุษย์ต่อไป ต่อไปก็ดวงที่ ๓ ดวงที่ ๔ ดวงที่ ๕ ดวงที่ ๖ ดวงที่ ๗ เพียงแต่ ๒ ดวงก็ปรากฏว่าน้ำในมหาสมุทรแห้งหมดแล้ว สัตว์ก็ตายหมด เมื่อความร้อนปรากฏทุกดวงอย่างนี้ สิ่งทั้งหลายที่แห้งจะกลายเป็นไฟลุกท่วมโลก
........รวมความว่าโลกมนุษย์ต้องสลายตัว คือคนก็ตายหมด น้ำแห้งหมดสัตว์ก็ตายหมด ต้นไม้ก็ไหม้หมดเป็นโลกที่กลายเป็นดินถูกเผาผลาญ คือดินถูกเผาจะมีความหอมระอุขึ้นมา ตอนนั้นก็ถือว่าสิ้นกัป หลังจากนั้นไปจุไรก็กราบทูลพระว่า “เมื่อสิ้นกัปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป” พระท่านก็บอกว่า “นั่นมันเรื่องที่หลัง” แล้วผู้ที่จะมาเกิดในกัปนี้ ชุดแรกเป็นพรหม พรหมที่หมดบุญวาสนาบารมีในการเป็นพรหม คือว่าหลังจากที่ไฟไหม้หมดแล้วไฟดับฝนก็ตก ทำน้ำในมหาสมุทรให้เต็ม น้ำในคลองบึงหนองเต็มหมด ดินก็ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำ พืชพันธุ์ธัญญาหารบางอย่างเริ่มเกิดขึ้น
........ตอนนั้นพรหมที่หมดบุญวาสนาบารมีหาพ่อแม่เกิดไม่ได้ ก็อยากจะกินง้วนดิน ลงมากินง้วนดินเพราะดินหอมจากไฟเผา ร่างกายก็เลยหนักมีเนื้อมีหนังขึ้นมา ในระหว่างตอนแรกพรหมพวกนี้ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีความเป็นผู้หญิง ยังไม่มีความเป็นผู้ชาย พระอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏในเวลานั้น ไม่ทราบพระอาทิตย์หายไปไหน
........จุไรก็ถามว่า “พระอาทิตย์ตั้ง ๗ ดวงหายไปไหน” ท่านก็บอกว่า “ ๖ ดวงสลาย ตัวดวงเดิมที่ปรากฏก็จะอยู่ห่างมาก ยังลอยเข้ามาไม่ใกล้กัน ดวงเดิมนี่ทรงตัวไม่ได้สลายตัวไปด้วย ดวงที่สลายตัวก็ไม่ได้แตก เพียงแต่ว่าความร้อนกระแสไฟภายในดับมีความเยือกเย็นตามเดิมแต่ว่าดวงเก่านี่ก็มีกระแสไฟอ่อนลง มีความร้อนแต่น้อยลง ฉะนั้นยังไม่เผาผลาญโลกให้บรรลัย ไม่เหมือนเก่า”
.........หลังจากนั้นบรรดาพรหมทั้งหมด ที่มาเกิดเป็นคน มากินง้วนดินก็กลายเป้นคนมีเนื้อมีหนังขึ้นมา อาศัยที่บุญบารมียังมีอยู่ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีการเสพกาม ตัณหาอุปทาน ยังไม่ปรากฏ แสงสว่างจากตัวก็ยังมี ไปที่ไหนก็มีแต่แสงสว่าง เหมือนกับมีพระอาทิตย์ตอนฟ้าสางตอนเช้า แล้วก็สว่างมาก แต่ไม่มีดวงอาทิตย์ไม่มีความร้อน มีความสุขเพราะอาศัยบุญยังมีมาก อาหารการบริโภคที่ปรากฏก็เป็นอาหารสำเร็จรูป
.........รวมความว่ากินง้วนดินกันมาเรื่อยๆ ต่อไปง้วนดินความสุขค่อยๆสลายตัว พืชก็เกิดขึ้นที่เป็นอาหาร ข้าว เกิดขึ้นข้าวก็เป็นเม็ดข้าวสาร เพราะบุญ เก็บข้าวมาแล้วก็มาหุงมาต้มได้ทันทีทันใด กับที่จะพึงกินก็ไม่ต้องหา นึกอยากจะกินอะไรอย่างนั้นก็เกิดเพราะบุญเก่า รวมความว่าหลังจากนั้นมาโลกก็มีความเยือกเย็น ต่อมาภายหลังความเป็นเพศปรากฏขึ้น คือมีเพศหญิงเพศชาย ก็อยากจะมีสามีภรรยามีผัวมีเมียอารมณ์อย่างนี้ เกิดขึ้น แสงสว่างในกายก็ดับ เมื่อแสงสว่างในกายดับ โลกก็ดับแสงสว่างในโลกก็ดับเกิดความมืด
........บรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้นก็ตกใจว่ามืดเสียแล้ว ต่อจากนั้นไปแสงอาทิตย์ก็ปรากฏ ความสว่างปรากฏขึ้นเธอก็ดีใจ แต่พระอาทิตย์เกิดขึ้นไม่นานตอนเย็นก็ลับหายไป พวกเขาก็ตกใจว่าโลกจะมืด ต่อนั้นมาพระจันทร์ก็ปรากฏ เป็นแสงอ่อนๆนวลมีความเย็นสว่างเธอก็ดีใจ พระจันทร์เดิมทีเดียวเขาเรียกว่า “ฉันทะ” แปลว่า “ดีใจ พอใจ” แต่ตอนหลังเรียกเพี้ยนกันมาว่า เป็น จันทระ
........ก็รวมความว่าเรื่องราวของพระอาทิตย์ก็ดี ความเป็นมาของพระจันทร์ก็ดี เล่าโดยย่อเพียงเท่านี้ ขอบรรดาลูกหลานทั้งหมด อย่าลืมว่า นี่เป็นนิทาน หลังจากนั้นพระก็เตือนจุไรกับแม่ ๒ คนกลับบ้านได้ เวลานี้ใกล้สว่างแล้ว ก่อนที่เธอจะลากลับ พระก็แนะนำว่า ทั้งแม่ก็ดีลูกก็ดีให้ทรงความดีไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม
........อันดับแรก หนึ่งมีความกตัญญูรู้คุณ เพราะคนที่มีความกตัญญูรู้คุณ ใครเขาสงเคราะห์เคารพคนนั้น ปฏิบัติตามคนนั้น ตามคำแนะนำของเขา ทุกคนจะมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั้งหมด ไปไหนไม่อดตาย ไปทางไหนก็มีคนรัก จะพบแต่ความยิ้มแย่มแจ่มใส
........ปราการที่ ๒ ให้เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สำหรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติครั้งแรกก็คือ “กรรมบถ ๑๐”
๑. มีเมตตาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์หรือคน
๒. ไม่ลักไม่ขโมยของใคร
๓. ไม่แย่งความรักของคนอื่น (นี่ทางกาย)
ทางวาจามี ๔ คือ
๑. ไม่พูดปด ไม่พูดคำไม่จริง
๒. ไม่พูดวาจาหยาบคาย
๓. ไม่ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน
๔. ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์
ทางด้านจิตใจ
๑. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม
๒. แล้วไม่คิดประทุษร้ายใคร
๓. สร้างความเห็นถูกตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
........แล้วเวลาที่ต้องการจะให้จิตเป็นทิพย์ต้องการจะไปไหน โลกอื่นก็ตามให้พยายามระงับอารมณ์ชั่ว ๕ ประการ
๑. ความสวยสดงดงามของโลกถือว่ามันไม่ใช่ของจริง
๒. อารมณ์ไม่พอใจโกรธคนอื่น
๓. ความง่วง
๔. อารมณ์ฟุ้งเกินไป จับภาพพระให้มั่นคงให้แจ่มใส
๕. ไม่สงสัยอารมณ์ที่เกิดขึ้น
........เพียงเท่านี้ ถ้าเธอทั้งสองคนปฏิบัติได้อย่างนี้เป็นปกติ เธอสามารถจะไปไหนก็ได้ ถ้าไม่แน่ใจจะไปไหนได้ก็นึกถึงฉัน ฉันจะช่วยทันที
........เอาล่ะลูกหลานที่รักฟังเรื่องนี้แล้ว ขอทุกคนจงจำไว้ว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแนะนำ ลูกทุกคนปฏิบัติได้แล้ว จงปฏิบัติให้ครบถ้วนตลอดกาล อย่าทิ้งความดีนี้ ต่อไปลูกรักทุกคนจะศึกษาอะไรก็ตาม จะสำเร็จผลทุกประการ
........เวลานี้รู้สึกว่าครบเวลา ๓๐ นาที เรื่องพระอาทิตย์นี้เคยเล่ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่ามาเล่าย้อนหลังเพื่อเป็นการให้ติดต่อกัน ระหว่างคาสเซท ต่อไปนี้หลวงพ่อก็ขอพักประเดี๋ยวนะ ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องพระจันทร์ต่อไป พักดื่มน้ำกันสักหน่อย เพราะเวลา ๓๐ นาทีพอดีหยุดไว้เพียงเท่านี้ สวัสดี.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น