วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เรื่องความเป็นพระอรหันต์ และ พระอรหันต์มี ๔ หมวด : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


........ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ยังเป็น วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ วันนี้ให้นามว่า วิมานรออยู่แล้ว แต่ก่อนจะพูดถึงวิมานรออยู่แล้วนี่เรื่องไม่มาก   ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเอง ก็จะขอพูดเรื่องความเป็นพระอรหันต์ก่อน พระอรหันต์จะเป็นได้ต้องตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ คอยฟังให้ดีนะ

    ๑. สักกายทิฏฐิ
    ๒. วิจิกิจฉา
    ๓. สีลัพตปรามาส
    ๔. กามราคะ
    ๕. ปฏิฆะ
    ๖. รูปราคะ
    ๗. อรูปราคะ
    ๘. มานะ
    ๙. อุทธัจจะ
    ๑๐. อวิชชา
   
.....ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ขอย้อนต้น สังโยชน์ ๓ เบื้องต้นคือ

๑.สักกายทิฏฐิ     มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี แล้วสักกายทิฏฐินี้ ถ้ามีความรู้สึกเบื่อหน่าย เห็นว่าเป็นของโสโครก สกปรก สะอิดสะเอียน ไม่น่ารัก ไม่ติดใจในรูปกาย อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี อารมณ์ของพระอรหันต์มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มีจิตเป็นสังขารุเบกขาญาณ เป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์

๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ
   
๓.สีลัพตปรามาส มีศีลบริสุทธิ์ ไม่บกพร่อง
   
*** ถ้าตัดได้ ๓ อย่างนี้ เป็น "พระโสดาบัน" ก็ได้ เป็น
"พระสกิทาคามี" ก็ได้ ***

ถ้าตัดข้อที่ ๔.กามฉันทะ ไม่มีความรู้สึกในกามารมณ์
   
ข้อที่ ๕.ปฏิฆะ ไม่มีอารมณ์ไม่พอใจ
   
อย่างนี้เป็น "พระอนาคามี"

ต่อไปก็ตัดอีก ๕ คือ
   
๖.รูปราคะ ไม่ติดใจในรูปฌาน คือไม่หลงใหลใฝ่ฝันในรูปฌาน
   
๗.อรูปราคะ ไม่หลงใหลในอรูปฌาน
   
๘.มานะ ไม่ถือตัวถือตน

๙.อุทธัจจะ ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตตรงพระนิพพาน
   
๑๐.อวิชชา ตัดความโง่ทั้งหมด
 
อย่างนี้เป็น "พระอรหันต์"

แล้วพระอรหันต์ยังแบ่งเป็น ๔ หมวด
   
***หมวดที่ ๑ เรียกว่า สุกขวิปัสสโก สุกขวิปัสสโกนี้เจริญกรรมฐานมีสมาธิเบื้องต้นเล็กน้อย หลังจากนั้น ก็เจริญวิปัสสนาญาณควบสมถภาวนา      ไม่ใช่สมถะเฉย ๆ ต้องเป็นสมถะด้วย และไม่ใช่วิปัสสนาล้วน ๆ ตามที่เข้าใจกัน วิปัสสนาล้วนนั้นทำไม่ได้ต้องมีศีล มีสมาธิ สมาธิคือสมถะเป็นพื้นฐาน และมีวิปัสสนาญาณควบ จนกระทั่งตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน อย่างนี้เรียกว่า
"อรหันต์สุกขวิปัสสโก"

*** หมวดที่ ๒ เรียกว่า เตวิชโช คือมีวิชชาสามก่อนจะเป็นพระอริยเจ้า ตอนฌานโลกีย์ ก็
๑.ได้ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นอะไร เห็นจิตใจคนได้หมด แล้วก็
๒.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ แล้วต่อไปทำกิเลสให้สิ้น ไปอย่างนี้เป็น อรหันต์วิชชาสาม

***หมวดที่ ๓ ก็เป็น อภิญญา ๖ อรหันต์อภิญญา ๖ ขณะที่ได้ฌานโลกีย์ต้องได้ฤทธิ์ มีอภิญญา คือ
๑.แสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ อิทธิฤทธิ์ แปลว่า แสดงฤทธิ์ได้

๒.ทิพโสตญาณ หนังสือนี้เขียนว่า ทิพโสตเฉย ๆ ไม่ถูกต้องเป็นทิพโสตญาณ โสต คือ เนื้อ มันเป็นทิพย์ไม่ได้ อาตมาไม่ได้ค้านหนังสือ หนังสือเขียนผิด ก็ต้องค้านตามความเป็นจริง ต้องเขียนว่า ทิพโสตญาณ มีความรู้ทางหู ที่เรียกกันว่า หูทิพย์ หูนี่ไม่ทิพย์ หูมีแต่เศร้าลงไป หูคนมันมีแต่แก่ลง ๆ ประสาทเสื่อมลง ๆ

.....แต่ว่าฌานเป็นเครื่องรู้ทางหูรู้ได้ ไกลแสนไกล เสียงเทวดา เสียงผี เสียงพรหม เสียงนิพพาน เสียงนรก เสียงเปรต เสียงอสุรกาย รู้ได้หมด คนจะพูดไกลแสนไกลขนาดไหนก็ตาม ต้องการจะทราบทราบได้ ฌาน กับความเป็นทิพย์ของหูธรรมดาต่างกัน

.....ถ้าความเป็นทิพย์ของหูธรรมดา เขาต้องฟังเฉพาะเวลาที่เขาพูด ถ้าญาณนี่ไม่เป็นอย่างนั้น เขาพูดมาแล้วกี่ปี กี่เดือน กี่วัน กี่แสนกัปก็ตาม ถ้าต้องการจะได้ยิน ได้ยินได้ทันที เสียงจะขังอยู่ ญาณจะถอยหลังเข้าไปรู้

    รวมความว่าพระอภิญญา ๖ มี ๖ อย่างคือ
    ๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้
    ๒. ทิพโสตญาณ มีญาณทางหู คล้าย ๆ หูทิพย์
    ๓. เจโตปริยัติญาณ รู้จิตใจคนอื่น
    ๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
    ๕. ทิพจักขุญาณ (หนังสือเขียนว่า ตาทิพย์อีกแล้ว ไม่ใช่ตา   ทิพย์) มีจิตใจเป็นทิพย์ รู้ได้คล้ายตาทิพย์

.....ทั้ง ๕ อย่างนี้ต้องทำได้เมื่อฌานโลกีย์ แล้วต่อไปเมื่อทำกิเลสหมด ทำอาสวักขยญาณ ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็น อรหันต์ ครบ ๖ ประการ

***อรหันต์หมวดที่ ๔ เขาเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณนี้ไม่เกี่ยวกับฤทธิ์ คือไม่เกี่ยวกับฤทธิ์ทั้งหมด มีความฉลาด
ความฉลาดข้อที่

๑.คืออัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ คือข้อธรรมใดใดที่สั้น ๆ สามารถอธิบายให้กว้างขวางได้ และถูกต้อง
   
๒.ธัมมปฏิสัมภิทา ข้อความใดใดที่ยาว ก็สามารถจะย่อให้สั้นได้ความชัด

๓.นิรุตติปฏิสัมภิทา ฉลาดในภาษา ก็รวมความว่าฉลาดในภาษา จะรู้ภาษาทุกภาษากระมัง อาตมาขอทิ้งไว้แค่นี้นะ
   
๔.ปฏิภาณปฏิสัมปทา มีความฉลาดในปฏิภาณ คือการพูด พูดฉลาดมาก

    ก็รวมความว่า อรหันต์จริง ๆ มี ๔ หมวด
    ๑. สุกขวิปัสสโก
    ๒. เตวิชโช
    ๓. ฉฬภิญโญ
    ๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

.....ก็รวมความว่า สำหรับสุกขวิปัสสโกนั้น ถ้าไม่มีกรณีพิเศษ ไม่มีญาณพิเศษ แต่ความเป็นจริงแล้วเขาต้องการแค่อาการตักิเลส
ถ้าจะถามว่าอรหันต์สุกขวิปัสสโก ต้องการจะศึกษาวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ได้ไหม
   
.....ก็ขอตอบว่าถ้าท่านศึกษาจริง ๆ มันต้องได้ เพราะความเป็นอรหันต์จิตใจบริสุทธิ์เป็นของยาก ทำยาก ท่านได้แล้ว ส่วนญาณต่าง ๆ ในวิชชา ๓ อภิญญา ๖ เป็นของง่ายกว่า

.....ถ้าจะถามว่าแล้วทำไมไม่ทำกัน
ก็ขอตอบว่าคนทุกคนทำงานเพื่อ ต้องการความร่ำรวย ทีนี้เมื่อรวยเต็มที่แล้ว เคยทำไร่ไถนามาก่อน ขุดดินกินทรายมาก่อน ต่อมาก็ฐานะดีขึ้น ก็ทำการค้าขายบ้าง มีนาให้เช่าบ้าง ในที่สุดเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ตั้งธนาคาร เมื่อตั้งธนาคารได้แล้ว เงินมีเป็นแสนล้าน แล้วใครจะกลับไปทำนาอีก ไปฟันดินอีก

.....การไปศึกษา สองในวิชชาสาม ห้าในอภิญญาหก เหมือนกับกลับไปฟันดินอีก ไม่มีใครเขาทำกัน ก็รวมความว่า คนต้องการความร่ำรวย ไม่ต้องการอยู่ในฐานะกรรมกรที่ยากไร้ฉันใด เมื่อเป็นมหาเศรษฐีแล้ว ก็ไม่กลับไปขุดดินทำไร่ ถ้าจะทำไร่ก็จ้างเขาทำ ไม่ทำเอง

.....ก็รวมความว่า พระอรหันต์ก็เช่นเดียวกัน การศึกษา ๒ ในวิชชา ๓ ก็ดี ๕ ในอภิญญา ๖ ก็ดี ก็ต้องการเพื่อเป็นกำลังช่วยในการตัดกิเลสเพื่อให้เป็นสมุจเฉทปหาน

.....ทีนี้มีอยู่เรื่องหนึ่ง สำหรับคำว่า ปฏิสัมภิทาญาณ อาตมาเองก็อึดอัดตันใจมานานแล้ว  เรื่องปฏิสัมภิทาญาณ   ขณะที่เรียนบาลีอยู่ หรือเรียนนักธรรมก็ตาม   อ่านแล้วบางท่านฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บางท่านไม่ทันจะโกนหัว เป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บางท่านบวช ๒-๓ วันเป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ

.....และคำว่าปฏิสัมภิทาญาณ ท่านลงท้ายว่า   ทรงพระไตรปิฎก ก็เลยอึดอัดคิดว่า เราเรียนเกือบตาย ใช้เวลาตั้ง ๑๐ ปีกว่า ยังไม่สามารถทรงพระไตรปิฏกได้    แล้วทำไมคนที่ไม่เคยเรียนเลยทำไมจึงทรงได้ ไม่เคยฟังมาก่อนเลย ก็เลยคิดอึดอัดตันใจอยู่นาน

.....ในที่สุด ก็มาทราบภายหลังว่า พระที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณแล้ว เข้าใจในพระไตรปิฎกจริง คือสิ่งใดที่ยังไม่เรียนก็เข้าใจ
ที่เรียนแล้วก็เข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้เพราอะไร เพราะว่าท่านเป็นอรหันต์ที่มีปัญญาสูง มีความเข้าใจว่าพระไตรปิฎกพูดถึงอะไร ท่านจับเพียงแค่จุดหมายปลายทาง สิ่งที่มีความสำคัญไม่ใช่อ่านทุกตัว ไม่มีความจำเป็น

.....อาตมาขณะที่ยังเรียนหนังสืออยู่ก็ไปถาม สมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์  ท่านแตกฉานความรู้หลายอย่าง  ถามท่านว่าการทรงพระไตรปิฎกทำอย่างไร
ท่านถามว่า เธอเคยอ่านพระไตรปิฎกหรือ
ก็กราบเรียนท่านว่า เคยอ่านมา ๓ ปี ปีละจบ

.....ท่านก็ถามใหม่ว่า เธอกลับไปดูใหม่ว่า พระไตรปิฎกหน้าไหนไม่พูดถึงขันธ์ ๕
   
.....ก็รวมความแล้วว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ทั้งหมด เทศน์เรื่องขันธ์ ๕ เรื่องเดียว แต่เปลี่ยนสำนวนไป พอท่านพูดเท่านี้ก็เข้าใจ กราบท่านว่า อย่างนี้ผมเข้าใจแล้วครับ คำว่า เข้าใจ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นปฏิสัมภิทาญาณไปด้วย เป็นแต่เพียงว่าอ่านหนังสือมาแล้วไม่เข้าใจในหนังสือ

จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๖ เรื่องที่ ๘
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน  วัดท่าซุง

หมายหตุจาก...ผู้โพสต์  ที่ได้นำเรื่องนี้ของหลวงพ่อมาโพสต์ไว้ก็เพื่อ  ให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจเรื่องของพระอรหันต์ได้อย่างถูกต้อง  เพราะยังมีความเข้าใจผิดๆ  เกี่ยวกับพระอรหันต์อยู่อีกมาก  เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วคงจะได้ความกระจ่างแจ้งชัดมากขึ้น 

.....และขอเพิ่มเติมอีกเรื่องหนึ่ง  ที่หลวงพ่อฤาษีท่านเมตตาและคอยย้ำเตือนลูกหลานของท่านอยู่เสมอว่า  ในการปฏิบัติธรรมนั้นต้องใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องมือวัด  ว่าตัวเราตัดสังโยชน์ไปได้กี่ข้อแล้ว  อย่างน้อยต้องตัด ๓ ข้อแรกให้ได้  เพื่อจะได้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าขั้น "พระโสดาบัน"  เพื่อปิดอบายภูมิและเดินหน้าเข้าสู่พระนิพพานต่อไป  เมื่อท่านเป็น "พระโสดาบัน" แล้วความเสื่อมถอยในทางธรรมจะไม่มีกับท่านอีกต่อไป  จะมีแต่เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้น  จนพ้นไปจากกองทุกข์เข้าถึงซึ่ง "พระนิพพาน" ในที่สุด  

(ที่เล่าให้ฟังนี้เพื่อเป็นแนวทาง  และเป็นเครื่องมือวัดผลของการปฏิบัติธรรมของทุกท่าน  ว่าได้ปฏิบัติธรรมไปถึงขั้นไหนกันแล้ว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น