วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2567

#เรื่องวันข้าวประดับประดิน#

หลวงปู่ชา สุภัทโท เทศนา...
#เรื่องวันข้าวประดับประดิน#
  • อย่างวันนี้แหละที่เรียกว่า วันข้าวประดับประดิน บรรพบุรุษของเราทั้งหลาย ที่บ้านเรา ที่ต้องห่อข้าว ห่อข้าวเล็ก ๆ กล้วยบ้างข้าวบ้างอะไรบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ห่อเสร็จแล้วก็เอาไปวางไว้บริเวณวัดบริเวณหน้าวัดต่าง ๆ เพื่อคิดว่าจะให้ผีพ่อผีแม่นั้นมากิน อืม เป็นธรรมดา เป็นธรรมเนียมของพวกเราทั้งหลาย ทำมาก็เพราะอะไร เพราะเป็นอนุสติ ความระลึกถึงผู้มีพระคุณ แต่ไม่รู้จักว่าจะทำอย่างไร ก็เลยทำปีหนึ่งผ่านไป นึกถึงบิดามารดา ท่านเคยพาทำก็เลยทำ ก็เลยเอาแกง เอาส้ม เอาข้าว เอาหวาน เอาอะไรต่าง ๆ พากันห่อแล้วไปวางไว้

ตามภาษาบุญชนิดนี้เรียกว่าข้าวประดับประดิน ข้าวประดับดิน คือทำบุญอุทิศให้ผีพ่อผีแม่เรา ซึ่งเรามาควรนึกดูว่าในหนึ่งปีเราเอาให้กินหนึ่งครั้ง มันจะเหลืออยู่มั๊ย?!! และให้กินนิดเดียวด้วยซ้ำ ห่อใส่ใบตองกล้วยห่อเท่าสองสามนิ้วนี่ กล้วยลูกหนึ่งก็ตัดสี่ชิ้นห้าชิ้น แล้วให้กินเพื่ออุทิศให้ ผีพ่อผีแม่ผีปู่ย่าตายายเรากิน ปีหนึ่งทำครั้งหนึ่งน่ะ

  ถ้าหากว่าเรารอเอาบุญตอนตาย ถ้าเขาห่อให้เรากินแบบนี้ มันจะเป็นอย่างไร??!! หือ!! นี่แหละ การกระทำบุญให้ทานนั้น ให้เราวิจัย ให้เราพิจารณา ฉะนั้นบุญกุศลอันนี้ ให้พวกเราถือเสียว่า ให้ทำเอาตอนแต่เมื่อเรามีชีวิตอยู่ บางคนทอดธุระ น่ะ หาข้าวของเงินทอง ให้ลูกหลาน เพื่อไปสร้างบุญสร้างกุศลให้ แล้วก็ตายไปเฉย ๆ เพื่อให้เขาทำให้ คนนี้คิดผิดมาก ไม่มีที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้ทำบุญตอนตาย ให้บุคคลอื่นทำให้นั้นไม่มี ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก

เรื่องการทำบุญให้คนตายนั้น มันก็เป็นกตัญญูกตเวที แก่บุคคลที่มีคุณ จะให้มันเต็มเม็ด เต็มหน่วยนั้น ไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สรรเสริญ ถึงแม้ว่าฟังพระธรรมเทศนาก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เกี่ยวถึงคนตายฟังธรรม ฟังเทศน์ ท่านไม่ได้เกี่ยว เพราะมันฟังไม่เป็น..ฯ|.

ธรรมเทศนา
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

**แม่ที่มีลูกเป็นพระอรหันต์ถึง ๗ องค์**

**พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรนิพพาน**

ในปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่พระบรมศาสดาประทับ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี
พระสารีบุตรถวายวัตปฏิบัติแด่พระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลลาไปสู่ที่พักของตนนั่งสมาธิเข้า
สมาบัติ เมื่อออกจากสมาบัติแล้วพิจารณาตรึกตรองว่า **“ธรรมดาประเพณีแต่โบราณมา พระบรม
ศาสดาทรงนิพพานก่อน หรือพระอัครสาวกนิพพานก่อน”** ก็ทราบแน่ชัดในใจว่า **“พระอัครวาวก
นิพพานก่อน”
**จากนั้นได้พิจารณาอายุสังขารของตนเองก็ทราบว่า **“จะมีอายุดำรงอยู่ได้ อีก ๗ วัน เท่า
นั้น”** จึงพิจารณาต่อไปว่า **“เราควรจะไปนิพพานที่ไหนดีหนอ**

และพระเถระ **ก็นึกถึงพระราหุลว่า พระราหุล**

**ไปนิพพานที่ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่ดาวดึงส์เทวโลก
พระอัญญาโกณฑัญญะ ไปนิพพานที่สระฉัททันต์ ป่าหิมพานต์**”

ลำดับนั้น พระเถระได้ปรารภ
ถึงมาดาของตนว่า:-
“**มารดาของเรานี้ ได้เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์** **ถึงกระนั้นก็ยังไม่เลื่อมใสใน
พระรัตนตรัย แล้วอุปนิสัยมรรคผลจะพึงมีแก่มารดาของเราบ้างหรือไม่หนอ**”

ครั้นพระเถระพิจารณาไปก็ได้ทราบว่า **“มารดานั้นมีอุปนิสัยแห่งพระโสดาบัน**” **จึงตก
ลงใจที่จะไปนิพพานที่บ้านของตน เพื่อโปรดมารดาเป็นวาระสุดท้าย**

เมื่อคิดดังนี้แล้ว พระเถระได้สั่งให้พระจุนทะ ผู้เป็นน้องชาย ให้ไปแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลาย
ผู้เป็นศิษย์ว่า “จะไปเยี่ยมมารดาที่นาลันทา ขอให้ภิกษุทั้งหลายเตรียมบริขารให้พร้อม เพื่อเดิน
ทางไปด้วยกัน” จากนั้นพระเถระ ก็ทำความสะอาดปัดกวาดกุฏิที่พักอาศัยของตน แล้วออกมายืน
ดูข้างนอก พลางกล่าวว่า “การได้เห็นที่พักอาศัยครั้งนี้เป็นปัจฉิมทัศนา โอกาสที่จะได้กลับมา
เห็นอีกนั้นไม่มีอีกแล้ว” เมื่อพระสงฆ์มาพร้อมกันแล้ว พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ก็พาพระ
สงฆ์เหล่านั้นไปเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลลาว่า:-

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้ ชีวิตของข้าพระองค์เหลืออีก ๗ วัน เท่านั้น ข้าพระองค์ขอ
ถวายบังคมลาปรินิพพาน ขอพระองค์ทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์สละอายุสังขารใน
ครั้งนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
**“สารีบุตร เธอจะไปนิพพานที่ไหน ?”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์จะไปนิพพาน ณ ห้องที่ข้าพระองค์เกิดในเมืองของ
มารดา พระเจ้าข้า”
**“สารีบุตร เธอจงกำหนดการนั้นโดยควรเถิด สารีบุตร บรรดาภิกษุน้อย ๆ ของเธอ จะ
ได้เห็นพี่ชายดุจเธอนั้นได้ยากยิ่ง เธอจงแสดงธรรมอันเป็นที่ต้องแห่งความระลึกแก่ภิกษุน้อง ๆ
ของเธอเหล่านั้นเถิด”
พระเถระเมื่อได้รับพุทธประทานโอกาสเช่นนั้น **จึงแสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปบน
อากาศสูง ๑ ชั่วลำตาล จนถึง ๗ ชั่วลำตาลโดยลำดับ แล้วกลับลงมาถวายบังคมพระบรมศาสดา
ในแต่ละครั้ง จากนั้นจึงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ ท่ามกลางอากาศแล้วลงมาถวายบังคมลา
พระผู้มีพระภาค คลานถอยออกจากพระคันธกุฎี
**ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จลุกออกมาส่งพระเถระ ถึงหน้า
พระคันธกุฎี พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร กระทำประทักษิณเวียน ๓ รอบ ประคองอัญชลี
นมัสการทั้ง ๔ ทิศ พลางกราบทูลลาว่า:-

“**ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในที่สุดอสงไขยแสนกัปล่วงมาแล้ว ข้าพระองค์ได้หมอบลง
แทบพระบาทแห่งอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตั้งปณิธานปรารถนาพบพระองค์ และแล้ว
มโนรถของข้าพระพุทธเจ้า ก็สำเร็จสมประสงค์ ตั้งแต่ได้เห็นพระองค์เป็นปฐมทัศนา บัดนี้ การ
ได้เห็นพระองค์ ผู้เป็นนาถะของข้าพระพุทธเจ้าเป็นปัจฉิมทัศนา โอกาสที่จะได้เห็นพระองค์ ไม่
มีอีกแล้ว”
**พระเถระ กราบทูลเพียงเท่านี้แล้ว ถวายบังคมออกไปได้ระยะพอสมควรก้มกราบ
นมัสการลงที่พื้นพสุธา บ่ายหน้าออกจากพระเชตะวันมหาวิหารพร้อมด้วยภิกษุผู้เป็นบริวาร
๕๐๐ องค์

ท่านพระเถระเดินทาง ๗ วัน ก็ถึงบ้านนาลันทา หยุดพักภายใต้ร่มไม้ใกล้หมู่บ้านนั้น
และในเย็นวันนั้น อุปเรวัตตกุมาร ผู้เป็นหลานชายของท่าน ออกมานอกบ้านพบท่านแล้วจึงเข้า
ไปนมัสการ

**พระเถระสั่งหลานชายให้ไปแจ้งแก่โยมมารดาให้ทราบว่า “ขณะนี้ท่านมาพักอยู่
นอกบ้าน ให้จัดห้องที่ท่านเกิดไว้ให้ท่านด้วย”
**ฝ่ายนางพราหมณี มารดาของพระเถระได้ทราบข่าวก็ดีใจคิดว่า **“ลูกชายบวชตั้งแต่หนุ่ม
คงจะเบื่อหน่ายแล้วมาสึกเอาตอนแก่”**จึงสั่งให้คนรีบจัดห้องให้พระลูกชายพัก และสถานที่
สำหรับพระสงฆ์ที่ติดตามมาด้วยเหล่านั้น เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้อุปเรวัตตกุมารไปนิมนต์
พระเถระพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เข้ามาในบ้าน

**เทศน์โปรดโยมแม่แล้วนิพพาน
**ในราตรีนั้น พระเถระเกิดอาพาธอย่างแรงกล้า ถึงกับอาเจียนและถ่ายออกมาเป็นโลหิต
แต่ก็อดกลั้นด้วยขันติธรรม ได้แสดงธรรมโปรดมารดาพรรณา พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ
และพระสังฆคุณ **ยังมารดาให้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา**
ได้ชื่อว่ากระทำปฏิการะสนองคุณมารดาดังที่ตั้งใจมา ปิดประตูนรก เปิดประตูสวรรค์ ให้แก่
มารดาได้สำเร็จ

ลำดับนั้น พระเถระบอกให้โยมมารดาออกไปข้างนอกแล้วถามพระจุนทะน้องชายว่า
“ขณะนี้เวลาล่วงราตรีสู่ยามที่เท่าไร ?” พระจุนทะน้องชายตอบว่า “ใกล้รุ่งสว่างแล้ว” จึงสั่งให้
ไปบอกแก่ภิกษุทั้งหลายให้มาประชุมพร้อมกัน เมื่อทุกท่านมาพร้อมแล้ว ขอให้พระจุนทะช่วย
พยุงกายลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวว่า:-

“ดูก่อนอาวุโส ท่านทั้งหลายติดตามข้าพเจ้ามาเป็นเวลา ๔๔ พรรษา แล้ว กายกรรม
และวจีกรรมอันใดของเรา ที่ท่านทั้งหลายมิชอบใจหากจะพึงมีขอท่านทั้งหลาย จงงดอดโทษ
กรรมอันนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นศิษย์ ตอบพระเถระว่า:-

**“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ติดตามท่านดุจเงาตามตัว มาตลอดกาลประมาณ
เท่านี้ กรรมอันใดของท่านที่มิชอบใจแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายนั้นไม่มีเลย แต่หากว่าข้าพเจ้าทั้งหลาย
มีความประมาทพลาดพลั้ง ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอท่านจงงดอดโทษานุโทษนั้น
แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด”
เมื่อแสงเงินแสงทอง อันเป็นสัญญาณแห่งรุ่งอรุณปรากฏขึ้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
ก็ดับขันธปรินิพพาน ในวันปุรณมีขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๑๒**

ครั้นเมื่อสว่างดีแล้ว พระจุนทะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์และหมู่ญาติ ประกอบพิธีคารวะศพ
พระเถระแล้วนำไปสู่เชิงตะกอนทำพิธีฌาปนกิจ เมื่อเพลิงดับแล้วพระจุนทะได้นำอัฐิธาตุ และ
บริขารคือบาตรและจีวรของพระสารีบุตร ไปถวายแด่**พระพุทธองค์ ซึ่งก็รับสั่งให้สร้างเจดีย์
บรรจุอัฐิพระเถระที่ซุ้มประตู แห่งพระเชตะวันมหาวิหารนั้น**

ที่มา
[#พระไตรปิฎก](https://www.facebook.com/hashtag

วิธีฝึกตาทิพย์ แบบง่าย ๆ (ฝึกทิพยจักษุญาณ แบบโบราณ )

เรื่อง      🪬   วิธีฝึกตาทิพย์ แบบง่าย ๆ   
          (ฝึกทิพยจักษุญาณ แบบโบราณ )
โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ

..." ท่านวางแบบของท่านไว้ว่า.. 

 ให้จัดธูป ๗ ดอก.. เทียนหนัก ๑ บาท ๗ เล่ม.. ดอกไม้ ๗ กระทง.. ข้าวตอก ๗ กระทง.. บาตรใส่น้ำเต็ม ๑ ใบ..

~ ท่านให้ภาวนาด้วยคาถานี้ ตามแต่จะสบาย..

💠️  คาถาภาวนา..

" นะมะพะธะ  พุทโธ  โลกทีปัง  อาโลกกสิณัง  วิโสธายิ

  ธัมโม โลกทีปัง  อาโลกกสิณัง  วิโสธายิ

  สังโฆ โลกทีปัง  อาโลกกสิณัง  วิโสธายิ "

* เมื่อภาวนา จนจุใจแล้ว ท่านให้เอาน้ำมนต์ในบาตรนั้น อาบทุก ๆ วัน  ตามตำราท่านว่า.. ทำอย่างนี้ ๗ วัน ของท่านได้ทิพยจักษุญาณ จงรักษาสมาธิให้ดี..

  ดูของท่านแล้ว ก็ อาโลกกสิณ ดี ๆ นั่นเอง  ถ้าว่าคาถาเป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่มีหวังแน่..  ต้องตั้งอารมณ์ตามแบบกสิณ  มีหวังแน่ตามที่ท่านบอกไว้..."

( จากหนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน โดย พระมหาวีระ ถาวโร  ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )

🚩 ขอเชิญฝึกปฏิบัติธรรมในกลุ่ม 
"นิพพานชาตินี้" ทางออนไลน์
💎 เพื่อก้าวเข้าสู่พระอริยบุคคล 
ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป 
📝 ฝึกให้ฟรีไม่มีการเก็บเงินเก็บทอง ค่าสอน 
ค่าฝึก ค่าปฏิบัติแม้แต่บาทเดียวครับ 
(#สอนธรรมะออนไลน์ฟรี)
ช่องทางสมัคร เข้าร่วมฝึกปฏิบัติธรรม 
👉 https://lin.ee/gWKFjQE 

#องค์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ    #กลุ่มนิพพานชาตินี้

ทางเดินของจิต

นักปฏิบัติหลายท่าน เมื่อเจริญกรรมฐานจนจิตสงบ เมื่อปีติ สุข ลมหายใจ กายและความคิดดับสนิท เหลือแต่ ผู้รู้และจิตตั้งมั่น เกิดสภาวะ จิตหดเล็กลงแล้วพุ่งออกไปผ่านรู สว่างไสวเป็นสายยาวดังรูป ลักษณะคล้าย “รูหนอน” (ที่เรียก “รูหนอน” เพราะไม่รู้จะเอาสมมุติบัญญัติใดมาอธิบายสภาวะธรรมนั้น)
บางท่านจิตพุ่งไปไม่สุด “รูหนอน” ก็ถอนจิตกลับมาแต่เมื่อท่านไปจนสุด “รูหนอน” จะพบความว่างที่ไร้สมมุติบัญญัติ ความว่างที่สว่างไสวเกิดจากจิตผสมผสานไปความว่างนั้น เหมือนร่องรอยกลางอวกาศความว่าง ไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้กาลเวลา ไม่สัมผัสถึงความรู้สึกทางกาย ลมหายใจ ความคิดใดๆ มีแต่สภาวะรู้และปัญญาสว่างไสวเกิดขึ้นเท่านั้น

ที่มา สมาธิแบบพระพุทธเจ้า